“อย่าให้ใครบอกว่า ทำไม่ได้” นักบิดสาวซูเปอร์ไบค์ไทย คนแรกของเอเชีย! 1 ปี

เผยแพร่:
  ปรับปรุง:
  



 

ใครว่า “ผู้หญิง” กับ กีฬาแข่งรถซูเปอร์สปอร์ต” ไปด้วยกันไม่รอด!? ล่าสุด สะเทือนวงการแข่งรถระดับโลก ผู้หญิงคนแรกของเอเชียปรากฏตัวในสนามปราบเซียน “World Superbike 2019” ดีกรีแชมป์ซูเปอร์ไบค์ 3 สมัยซ้อน แถมยังเป็นกัปตันทีม-เจ้าของอะคาเดมี่ฝึกเด็กรุ่นใหม่ เจ้าตัวเปิดใจ ผู้หญิงแข่งรถแล้วไง ก็ชนะได้เหมือนกัน!!

หญิงไทย “คนแรก” ใน “World Superbike”

“จริงๆ ความฝันของทุกคนคือการเข้าแข่งขันในรายการระดับโลก ตาลก็ได้เข้าร่วมเมื่อล่าสุดนี้เอง ต้องบอกว่าเป็นประวัติศาสตร์ของไทยเลยที่มีนักแข่งหญิงคนแรกของเอเชียลงแข่ง”



ตาล – รัชฎา นาคเจริญศรี หญิงไทยเพียงหนึ่งเดียวที่ได้ลงแข่งรายการชิงแชมป์ระดับโลก อย่าง ‘เวิล์ด ซูเปอร์ไบค์’ ที่ถือว่าเป็นสังเวียนที่โหดระดับเทพ ปราบเซียนนักแข่งมาแล้วนักต่อนัก! ในฐานะที่เธอเป็นตัวแทนประเทศไทยที่ได้เข้าไปสู่สนามระดับโลก เธอยอมรับตรงไปตรงมาเลยว่ารู้สึกภาคภูมิใจและตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน

 

“รายการนี้ต้องบอกว่าขนาดตัวตาลเองที่มีประสบการณ์ในวงการนี้เป็น 10 ปี ยังรู้สึกว่ามันโหดเลย แต่ด้วยความเป็นอาชีพของเรา เราก็สามารถที่จะผ่านทุกอย่างได้ และตั้งสติจนผลงานออกมาก็แฮปปี้ ย้อนไปตอนที่รู้ว่าตัวเองติดรายการแข่งขันระดับโลก อย่างแรกที่ทำคือฟิตร่างกาย



ตาลต้องออกกำลังกายทุกเช้าและเย็น ทุกๆ วันเราอยู่กับการฝึกซ้อม ช่วงก่อนแข่งนี้ฝึกซ้อมหนักเลยค่ะ รายการนี้รวมนักแข่งยอดฝีมือของทั่วโลกมาไว้ด้วยกัน เพราะต้องแข่งขัน 17 รอบสนาม บวกกับเราต้องขี่เร็วมากๆ การเตรียมพร้อมของตาลก็เต็มที่อยู่แล้ว





 

ทีม ยามาฮ่า ไทยแลนด์ เรซซิ่ง ก็ช่วยพัฒนารถอย่างเต็มที่ ถือว่าสนามนี้ดีพอสมควรเลย ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้ขึ้นโพเดี้ยม หรือได้คะแนนกลับมา แต่ทุกคนเข้าใจและรู้ว่าสนามนั้นโหดมากๆ ซึ่งความยากพอเราได้ไปเห็นนักแข่งระดับโลกขี่ เรารู้สึกทึ่งมาก”



แม้การแข่งขันในครั้งนี้จะมีอุปสรรคและความยากที่พร้อมทดสอบ แต่ก็ถือว่าเป็นรายการที่เธอนั้นภาคภูมิใจที่ได้เป็นตัวแทนผู้หญิงไทยคนแรกซึ่งได้เข้าประลองในสนามนี้



“นักแข่งมีทั้งหมด 24 คนค่ะ ผู้หญิงไทยเข้าที่ 19 ถือว่าตาลภูมิใจกับผลงานตรงนี้มาก เพราะสนามนี้เป็นสนามที่ต้องใช้รถคันใหม่ในการแข่งขัน แน่นอนอยู่แล้วว่าถ้าเราไม่คุ้นมือกับรถ ไม่ได้ปรับเซตติ้งรถเลย มันค่อนข้างที่จะทำเวลายากอยู่แล้ว ตาลมีเวลาเซตติ้งรถวันศุกร์ พอวันเสาร์ต้องคลอลิฟาย วันอาทิตย์ก็ต้องแข่งเลย



ตาลจะกดดันเรื่องนี้มากๆ ในสนามก็ไม่เหมือนบนถนน ทั้งเรื่องเซตติ้งรถ ทุกอย่างมันต้องใช้เวลาเป็นเดือนในการที่มันจะเข้ามือกับเรา แต่เวลาเรามีน้อยในสนามจริง ตาลก็พยายามทำให้ดีที่สุดค่ะ



ส่วนประสบการณ์ที่ได้กลับมา คิดว่าด้านร่างกายแน่นอนเราต้องฟิตอีกเยอะ ในเรื่องทักษะหลายอย่างในการพัฒนาไปถึงเขา ถามว่าทำได้ไหม ทำได้แน่นอน ต้องใช้เวลา ต้องฝึกฝนกันในวงการนักแข่งไทย



สิ่งที่ภูมิใจที่สุดในการแข่งขันครั้งนี้ ตาลเป็นผู้หญิงคนที่ 2 ของโลกที่ได้เข้าไปแข่ง แต่เป็นผู้หญิงคนแรกของเอเชียที่ได้เข้าไปแข่งรายการระดับโลกรายการนี้ ค่อนข้างตื่นเต้น และประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง”



ถ้าถามว่าคุณสมบัติสำหรับนักบิดสาวที่ได้ผ่านการคัดเลือกเข้าสู่รายการยิ่งใหญ่ ‘เวิล์ด ซูเปอร์ไบค์’ นี้ มีหลักเกณฑ์ใดในการทดสอบบ้าง เธอเล่าว่าอย่างแรกคือการเป็นแชมป์แข่งขันมาก่อน ส่วนต่อมาคือเรื่องของความเร็ว



“ด้วยความที่เป็นรายการระดับโลก เขาคัดเลือกจากการที่เคยเป็นแชมป์ ตาลเป็นแชมป์ซูเปอร์ไบค์ 1000 cc. ทั้งหมด 3 ปีซ้อน ในตอนนี้ทางตัว ‘ดอร์น่า‘ เอง ผู้จัดมอโต้จีพี (MotoGP) และ FHM เริ่มมองเห็นผู้หญิงและพัฒนาผู้หญิงขึ้นมา แต่ผู้หญิงที่จะได้ผ่านเข้าไป ตาลต้องบอกว่าเหนื่อยมาก ไม่ใช่ผ่านเข้าไปขี่ง่ายๆ



เขาต้องดูทุกอย่างเลย เราต้องขี่ให้เร็วจริงๆ และผ่านมาตรฐานที่เขาตั้งระบบไว้ในการที่เข้าไปแข่ง แน่นอนอยู่แล้วว่าเรื่องเวลา ตาลผ่านอยู่แล้ว เพราะตาลแข่งซูเปอร์สปอร์ต 600 cc. กับผู้ชายอยู่ เวลาค่อนข้างที่จะเร็ว แต่ตอนที่เข้าไปแข่งจริงๆ มันเป็นอะไรที่กดดันมาก เป็นรถคันใหม่ที่เราเพิ่งจับได้แค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง



มันยิ่งทำให้กดดันเข้าไปอีก เพราะเราปั่นเวลาไม่ได้ ค่อนข้างยาก ตอนที่คัดเลือกเข้าไป ต้องผ่านคุณสมบัติครบทั้งหมดถึงจะเข้าไปแข่งได้ ตอนนั้นเป็นเรื่องที่กดดันสุดๆ เลย เพราะต้องขี่กันเร็วมาก



การเตรียมพร้อมของเรากับเขาสู้กันไม่ได้อยู่แล้ว เพราะเขาแข่งทั้งซีซัน (ตลอดฤดูกาล) ส่วนของเราเป็นแบบไวด์การ์ด (Wild Card) คือ นักแข่งที่ได้รับอนุญาตให้แข่งเฉพาะสนาม การได้เข้าไปแข่งครั้งนี้ได้ก็ดีใจแล้วค่ะ



ซึ่งทุกคนแฮปปี้หมดเลย ทีมอื่นๆ ในการแข่งขัน เขารู้สึกตื่นเต้นทุกคนเลย ทั่วโลกแฮปปี้หมด ทุกคนให้ความสนใจมาก กระทั่งผู้จัดดอร์น่าเอง ตาลก็มีความสุขมาก เพราะเขาให้ความสนใจเรามากกว่านักแข่งชายอีก (หัวเราะ) หลายๆ คนบอกเราว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ที่มีการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตมา”



ครอบครัวนักแข่งซูเปอร์สปอร์ต

เรียกได้ว่ามีสายเลือดนักแข่งรถอยู่ในตัวอย่างเข้มข้นเสียจริง เพราะไม่เพียงแต่สาวตาลเท่านั้นที่มีดีกรีเป็นถึงแชมป์นักแข่งรถในวงการซูเปอร์สปอร์ตไทย แต่สมาชิกในครอบครัวของเธอก็มีตำแหน่งเป็นถึงนักแข่งรถอาชีพด้วยกันทั้งนั้น ถือว่าเป็นครอบครัวนักซิ่งเลยก็ว่าได้!



“ตาลขี่รถมอเตอร์ไซค์เป็นจริงๆ ที่จำได้ก็เด็กมากๆ เริ่มทำการแข่งขันช่วงอายุราวๆ 9-10 ขวบ แต่ขับรถเป็นตั้งแต่อายุ 6 ขวบ ต้องบอกว่าช่วงเด็กตาลจะเหมือนเด็กผู้ชายมากๆ มีคนล้อว่าเป็นทอม พอได้ติดตามคุณพ่อไปที่สนามตลอดทุกเดือน ได้ไปขี่รถ ได้ขับรถวิบาก เริ่มทำการแข่งขันรายการชิงแชมป์ประเทศไทยตั้งแต่อายุ 10 ขวบ



ครอบครัวตาลจะเป็นครอบครัวแข่งขันรถมอเตอร์ไซค์อยู่แล้ว เริ่มแรกเลย คุณพ่อ วีระ นาคเจริญศรี เป็นนักแข่งอาชีพ เป็นแชมป์ตั้งแต่ที่มีการจัดการแข่งขันขึ้นครั้งแรกเลย ต่อมาเป็นพี่ ซุป-อนุชา นาคเจริญศรี พี่ชายของตาลเอง และคนต่อมาก็คือตาล



ด้วยความที่เป็นกีฬาค่อนข้างอันตรายก็มีบ้างที่ครอบครัวเป็นห่วง แต่ส่วนตัวเราชอบความเร็วอยู่แล้ว ก็ขอเข้าไปลองแข่งดู ก็เข้าที่ 1 เลยในสนามแรก คือ รายการชิงแชมป์ประเทศไทย เป็นรายการที่ไม่จำกัดอายุ แต่จะเป็นรุ่นมือใหม่ทั้งหมด”



หลังจากการแข่งขันในสนามแรกนำมาซึ่งชัยชนะอย่างที่เธอตั้งใจ ไม่เพียงเท่านี้ความสามารถในการแข่งรถของเธอได้พาเธอไปสู่สนามในต่างแดนแค่วัยเพียง 12 ปีเท่านั้น ก่อนจะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นหลังจากนั้น 3 ปี



“หลังจากสนามแรกที่ได้เข้าที่ 1 ก็เลยเป็นแรงผลักดันมาตลอด พออายุ 12 ปี ได้เข้าร่วมแข่งขันรายการในระดับเอเชีย แข่งที่ต่างประเทศเลย ส่วนรถที่ใช้แข่งในช่วงนั้นจะเป็นรุ่น Wave 125 CC โซนิค เป็นรถเล็กก่อนในตอนนั้น



กว่าจะผ่านมาถึงทุกวันนี้มีเหตุการณ์เกิดขึ้นเยอะมากๆ แพ้บ้าง ชนะบ้าง ได้แชมป์มาหลายสมัยเหมือนกัน มีถึงขั้นอุบัติเหตุต้องรักษาตัวก็มี ตาลเคยไหปลาร้าหัก 3 ครั้ง ตอนอายุ 15-16 ปีที่เกิดอุบัติเหตุ



ถามว่าท้อไหม คงไม่ท้อ เพราะเป็นเรื่องปกติ เรารักษาเดือนหนึ่งก็หายแล้ว คิดว่ากีฬาประเภทนี้ถ้าเซพตี้ดีๆ ก็ไม่ได้อันตรายมาก ตาลมองว่าเป็นเรื่องปกติ ไม่รู้สึกกลัวหรืออยากหยุดเล่นเลย เพราะกีฬานี้เป็นกีฬาที่ตาลชอบมาก ตาลจะไม่ทิ้งไปแน่นอน”

พ่อและพี่ชาย

 

แน่นอนว่าทุกครั้งที่รู้สึกท้อใจ บางคนอาจนึกถึงความหอมหวานของความสำเร็จเพื่อปลุกพลังขึ้นมาอีกครั้ง แต่ไม่ใช่กับเธอ เพราะเธอมักจะนึกถึงช่วงเวลาที่กำลังจะพ่ายแพ้ ซึ่งชวนเราสงสัยไม่น้อยก่อนจะอธิบายต่อไป



“นักกีฬาทุกคนคาดหวังแน่นอน แต่ถ้ามันผิดหวังมา มันเป็นเรื่องปกตินะ อุบัติเหตุหรือการไม่ได้แชมป์ ทุกคนมีการเตรียมใจอยู่แล้ว มันผ่านไปแล้ว พอวันใหม่เราต้องเริ่มต้นใหม่ ตาลคิดแบบนี้ทุกครั้งนะ วันนี้เสียใจ วันรุ่งขึ้นเราก็เอาใหม่ วงการนี้เริ่มต้นใหม่ได้ทุกวัน วันนี้เราแพ้ พรุ่งนี้เราก็ชนะได้



ตาลไม่เคยคิดว่าแพ้แล้วต้องท้อเลย พรุ่งนี้ก็ชนะได้ มันไม่ได้มีสนามเดียว มันมีหลายสนาม ทุกครั้งที่เหนื่อยที่ท้อ ตาลจะนึกถึงช่วงเวลาที่แข่งมากกว่า อย่างเวลาที่เราแข่งกับผู้ชาย รอบท้ายๆ เราจะหมดแรงแน่นอน ตาลจะนึกถึงตอนนั้นและจะพยายามพัฒนาร่างกายให้แข็งแกร่งเรื่อยๆ



ยกตัวอย่าง ถ้าเป็นรถเล็กอย่างรุ่น 300 ร่างกายผู้หญิงจะไม่เสียเปรียบผู้ชายเลย ทุกอย่างจะได้เปรียบด้วยซ้ำ เพราะเราตัวเล็ก แต่พอเริ่มขึ้นมาเป็นรุ่น 600 – 1,000 cc. ต้องบอกว่าใช้แรงเยอะมาก ร่างกายเราจะอ่อนเพลียได้ง่ายมากกว่าในช่วงท้ายของการแข่งขัน



ตาลเคยคิดว่าด้วยใจเราไปก่อนรถอยู่แล้ว ใจเราคิดว่าเราสามารถเอาชนะผู้ชายคนนี้ได้ คิดว่าชนะผู้ชายทุกคนในสนามได้เลยด้วยซ้ำ แต่ทุกครั้งที่เวลาท้อจะเป็นรอบท้ายๆ ที่เราหมดแรงก่อน มันทำให้เราต้องฝึกหนักกว่าเดิม ฟิตร่างกายให้หนักกว่าเดิม



กีฬานี้จริงๆ เป็นกีฬาของผู้ชาย ต้องบอกว่าเราเองที่ข้ามกระโดดเข้ามาแข่งกับผู้ชาย และสามารถเอาชนะผู้ชายได้ ตรงนี้ตาลมองว่าถ้าผู้หญิงคนไหนสามารถที่จะทำได้เหมือนกัน มันทำให้ทุกคนยอมรับและรู้สึกท้าทายความสามารถของเรามากเลย”



สำหรับฉายาในวงการแข่งรถ มีคนยกให้เธอเป็น ‘โมโมโกะ’ แห่งประเทศไทย ซึ่งโมโมโกะเองก็เป็นสาวนักแข่งรถจักรยานยนต์จากประเทศญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงมากในเวลานั้น



“เจ้าของอะคาเดมี่-กัปตันทีม” สร้างรายได้จากสิ่งที่รัก

“วงการนี้เริ่มต้นครั้งแรกต้องใช้เงินอยู่แล้ว บอกเลยว่าต้องใช้เงินมหาศาล แต่วันหนึ่งถ้าคุณได้เข้ามาถึงจุดที่ตาลยืนอยู่ตรงนี้ ก็ค่อนข้างที่จะคุ้มค่า เราสามารถทำเป็นอาชีพได้เลย ถือเป็นวงการที่มีเม็ดเงินสูงมาก”



นอกเหนือไปจากการเป็นนักแข่งรถซูเปอร์สปอร์ตอาชีพ ความเก่งของเธอยังไม่หยุดอยู่แค่นั้น เพราะมันทะลุไมล์ไปสู่การเป็นเจ้าของทีม ‘ตาล เรซซิ่ง คอนเน็ก’ อีกทั้งยังตั้งโรงเรียนเป็นอะคาเดมี่ให้กับเด็กรุ่นใหม่ที่อยากชิมลางอาชีพนักแข่งอีกด้วย!



“จริงๆ กีฬาโมโตสปอร์ตเป็นกีฬาที่สามารถสร้างธุรกิจหลายๆ อย่างได้ในตอนนี้ ในประเทศไทยเราทุกคนให้ความสนใจมาก อย่างตัวตาลเองเป็นทั้งนักกีฬาอาชีพและเป็นเจ้าของทีม รวมถึงเปิดร้านซูเปอร์ไบค์ด้วย และทำอะคาเดมี่ในการฝึกสอนเป็นโรงเรียนเพื่อพัฒนาเด็ก



ตอนนี้เป็นปีที่ 2 ที่ตาลตั้งทีมขึ้นมาเอง คือ ‘ตาล เรซซิ่ง คอนเน็ก’ ส่วนด้านคุณพ่อจะมีอีกทีมหนึ่งเป็นของคุณพ่อ ซึ่งสปอนเซอร์จะแยกกัน จะไม่เหมือนกัน ของตาลจะเป็นซูเปอร์ไบค์ ส่วนของคุณพ่อจะเป็นรถเล็ก



ทีมของตาลต้องบอกก่อนว่าเป็นความฝันตั้งแต่เด็กแล้วว่าอยากมีทีมเป็นของตัวเอง ตอนนี้เราเป็นนักแข่งด้วย ต้องขอบคุณผู้ใหญ่หลายๆ คนที่ให้โอกาส และสปอนเซอร์ที่เข้ามาสนับสนุนทีมนะคะ ค่อนข้างที่จะดูแลตาลเป็นอย่างดี



อย่างปีที่แล้วที่จัดตั้งทีมขึ้นมาจะมีแค่ตาลคนเดียวในการแข่งขัน ช่วงหลังจะมีบางคนที่เป็นนักขี่ซูเปอร์ไบค์บนถนน ก็อยากที่จะลงสนาม ตาลก็เลยให้โอกาสมาลงสนามดู จนตอนนี้ตาลสร้างอะคาเดมี่ขึ้นมาในการปั้นเด็ก ตอนนี้เราพัฒนาเด็กเพื่อออกสู่โลกมากขึ้น



 

ตาลก็เป็นตัวแทนนักแข่งคนหนึ่งทีได้รับการสนับสนุนให้ช่วยพัฒนาเด็ก ต้องบอกว่าวงการนี้เป็นวงการที่เด็กๆ หลายคน และประชาชนหลายๆ คน อยากจะเข้ามาสู่วงการซูเปอร์สปอร์ตอยู่แล้ว เพราะว่าเป็นวงการที่ท้าทายและสนุก



ครั้งแรกที่จัดขึ้นก็มีคนเข้าร่วมเยอะมากเกือบ 100 คน แต่ตาลก็คัดเหลือแค่ 30 คนเท่านั้นเอง ส่วนคนที่ผ่านเข้ารอบเข้ามาก็มี 2 คน ส่วนตอนนี้ในทีมก็มีราวๆ 4 คนค่ะ ที่ผ่านการคัดเลือกเข้ามา



อาจไม่ได้เรียกว่าเป็นพี่เลี้ยงสักทีเดียว ตาลเป็นคนที่ช่วยพัฒนามากกว่า พัฒนาเด็กรุ่นหลังๆ เพื่อส่งต่อให้กับทีมโรงงาน ส่งต่อให้เป็นตัวแทนในทีมไทยให้ไปแข่งมากกว่า



ซึ่งอะคาเดมี่ที่ตาลจัดขึ้นมันเกี่ยวข้องกับนักขี่บิ๊กไบค์บนท้องถนนด้วยเหมือนกัน สังเกตอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นส่วนมากเพราะไม่รู้ช่วงรถ ไม่รู้การเบรก ขี่กันเร็ว ถ้าได้เข้ามาเรียนจะได้ทักษะเยอะมาก และสามารถคุมรถได้ง่าย ขี่ในสนามตาลจะบอกทุกอย่างว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น เป็นเพราะอะไรกันบ้าง”

ด้วยประสบการณ์ในแวดวงแข่งรถที่มีมากว่า 10 ปี เธอได้เก็บเกี่ยวทักษะจากการแข่งขันทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อถ่ายทอดความพร้อมและความแตกต่างระหว่างสนามในไทยกับต่างแดนแก่น้องๆ เยาวชนไทย



“จากที่ตาลได้ไปแข่งทั้งในประเทศและต่างประเทศ รู้เลยว่าอุปสรรคมันมีเยอะกว่าในไทยอยู่แล้ว ทั้งเรื่องภูมิอากาศและพื้นสนามที่ไม่ชิน แต่นักแข่งทุกคนที่ไปแข่งต่างประเทศ ก็สามารถที่จะปรับตัวได้อยู่แล้ว คิดว่าไปเอาประสบการณ์



นักแข่งไทยตอนนี้ในเอเชียถือว่าเก่งกันแล้ว แต่ถ้าเทียบระดับโลก ตรงนี้ถ้าอนาคตรัฐบาลไทยหรือประเทศไทยมีการสนับสนุนมากขึ้นเหมือนประเทศอื่นๆ กีฬานี้จะเป็นกีฬาที่เม็ดเงินเยอะเลย ที่เมืองนอกเขาสนับสนุนกีฬานี้กันมาก ของเรายังเทียบไม่ได้กับต่างประเทศ”



 

มากไปกว่าการได้ทำตามฝันคือการจัดตั้งทีมและสร้างอะคาเดมี่เป็นของตัวเอง สิ่งที่เป็นผลตามมาจากความมุ่งมั่นอย่างสุดตัวในวงการมอโตสปอร์ตนี้ คือ การสร้างรายได้เลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวให้สุขสบาย เธอแอบเปรยด้วยว่าสามารถสร้างรายได้ขั้นต่ำหลักแสนต่อเดือนเลยทีเดียว!



“การที่มีสปอนเซอร์เข้ามาสนับสนุนเรา สปอนเซอร์ไม่ได้มองว่าเราจะชนะตลอดไปนะ แต่เราต้องทำให้มันดี ทำให้เขาเห็นว่าเราตั้งใจนะ เราสามารถทำให้แบรนด์ของเขามันเติบโตได้นะ



ซึ่งถ้าทำเป็นอาชีพจริงๆ ก็รายได้สูงค่ะ แต่ต้องเป็นนักแข่งอาชีพเท่านั้นนะ รายได้ขั้นต่ำอยู่ที่หลักแสนต่อเดือนในหนึ่งรายการที่แข่งขัน ถือว่าสูงอยู่แต่ก็ต้องมีความสามารถจริงๆ



บางคนมาด้วยใจ ไม่ต้องการเงินก็ได้ แค่อยากเข้ามาร่วม ตั้งแต่ที่ตาลเปิดอะคาเดมี่มา ตาลได้เห็นทุกรสชาติ ทุกสังคม น้องๆ จากต่างจังหวัดทั่วประเทศมารวมตัวสมัครกันเยอะมาก เราก็รู้สึกทึ่งนะว่าคนให้ความสนใจวงการนี้เยอะขนาดนี้เลย



แต่ก็จะมีบางคนที่ยังไม่กล้าเข้ามาวงการนี้กัน อาจจะมองว่าค่าใช้จ่ายมีตัวเลขสูง แต่ตอนนี้แบรนด์ค่ายรถต่างๆ ก็เปิดโอกาสให้เหมือนกัน ในตอนนี้ผู้ใหญ่หลายคนเปิดให้น้องๆ รุ่นใหม่เข้ามาง่ายขึ้น มีรายได้ถึงจะไม่ได้มากมายเหมือนรุ่นพี่ แต่ก็ยังมีรายได้ และถ้าสามารถพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นๆ แน่นอนว่าสามารถทำเป็นอาชีพได้เลย”



“ชนะ” หรือ “แพ้” ทุกอย่างอยู่ที่ใจ

กีฬาแข่งรถซูเปอร์สปอร์ต มันเป็นกีฬาของผู้ชาย ไม่ใช่ผู้หญิง!!’



คงเคยได้ยินคำพูดทำนองนี้มาบ้างว่ากิจกรรมแบบนี้เหมาะกับผู้ชายมากกว่า หรือกีฬาประเภทนี้ไม่เหมาะกับผู้หญิงเอาเสียเลย แน่นอนว่าเธอเองก็คงผ่านสมรภูมิการแข่งขันทั้งในสนามและนอกสนามมาอยู่บ่อยครั้ง แต่เธอบอกกับเราด้วยคำพูดสั้นๆ เพียงแค่ ‘ให้ผลงานที่ผ่านมาเป็นข้อพิสูจน์ดีกว่า’



“คำพูดพวกนี้ตาลไม่เคยมีใครพูดใส่ เพราะตัวตาลเองได้ทำให้ทุกคนเห็นในวงการซูเปอร์สปอร์ต ทุกคนยอมรับได้ ถ้าไม่ใช่นักแข่งอาชีพเหมือนกัน ตาลมั่นใจว่าทุกคนสามารถชนะได้ เพราะเราเคยเกิดเหตุการณ์ที่มีผู้ชายหลายๆ คนมาท้า พอเขามาเห็นเราขับขี่ในสนาม ทุกคนก็ต้องยอมรับ ไม่กล้ามาขี่ต่อ



ตาลมองว่าไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะ อยู่ที่ใจอย่างเดียว ตาลอยากให้ทุกคนมองว่าทำไมทุกวันนี้ตาลถึงมีคนยอมรับ แม้กระทั่งนักแข่งผู้ชายหลายๆ คน ต้องบอกว่า 98% เลยก็ว่าได้ แค่อยู่ที่ใจ ถ้าใจเราถึง ก็สามารถชนะได้อยู่แล้ว ผู้ชายกับผู้หญิงไม่ได้มีใครเก่งกว่าใครแน่นอน ตรงนี้อยู่ที่ความตั้งใจและเราฟิตร่างกายให้ดี เราก็สามารถชนะคู่แข่งได้



อย่างตาล ตาลทุ่มเทเวลาทุกอย่างให้กับวงการมอโตสปอร์ตตั้งแต่เด็กเลย ตอนนี้ตาลเป็นคนแรกที่เปิดให้ผู้หญิงได้เข้าไปสู่การแข่งขันระดับโลกได้ง่ายขึ้นแล้ว เหมือนเราเป็นตัวแทน เป็นคนที่เข้าไปหาประสบการณ์หลายอย่าง ถ้าผู้หญิงนักแข่งคนไทยที่ตั้งใจและมีความสามารถ น่าจะมีโอกาสได้เข้าไปเหมือนตาล



ตาลแข่งรถซูเปอร์ไบค์มา 4 ปีแล้ว ก่อนหน้านี้จะเป็นรถเล็ก ซูเปอร์ไบค์ผู้หญิงเสียเปรียบแน่นอน ในเรื่องร่างกาย เราต้องใช้ร่างกายหนักมาก ถ้าฟิตไม่ถึงก็แย่เลย แต่ข้อดีคือนักแข่งที่ตัวเล็ก ความคล่องแคล่วจะทำได้ดีกว่า”



ถึงตรงนี้ คงพอได้เห็นทัศนคติในการต่อสู้ในสนามของเธอบ้างแล้ว ทว่า ภายนอกสนามก็แอบสงสัยอยู่เหมือนกันว่าหลังจากที่ถอดชุดหนังและเดินออกจากขอบสนามเป็นที่เรียบร้อย จริงๆ แล้วเธอเป็นคนแบบไหนกันแน่ !?



 

“มันอยู่ที่ว่าในเวลาที่เราเข้าแข่งขัน ด้วยสัญชาตญาณของคน มันต้องเปลี่ยนบุคลิกของตัวเอง อย่างตาลแข่งเสร็จออกมานอกสนาม ตาลก็จะเปลี่ยนไปอีกแบบหนึ่ง แต่ทุกคนจะแซวตาลว่าเวลาที่ใส่ชุดหนังลงไปขี่ในสนาม จะเหมือนผู้ชาย ไม่ใช่ตาลเลย (หัวเราะ)



ถามว่าเป็นคนใจร้อนไหม ก็ใจร้อนนะ ตาลเป็นคนใจร้อนตั้งแต่เด็กแล้ว แต่ด้วยความที่เราโตขึ้นและประสบการณ์หลายอย่าง สอนให้เราต้องใจเย็น ใจร้อนมากก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีในการแข่งขัน เพราะมันนำมาสู่อุบัติเหตุได้

จริงๆ แล้วพอได้เข้าไปขี่ในสนามจนรู้ประสบการณ์ทุกอย่างแล้ว พอเราได้ออกมาโลกภายนอก เราไม่อยากที่จะไปขี่รถบนถนนเลย เป็นความรู้สึกแบบนั้นเลย เหมือนเรารู้ว่าถ้าเราล้มมา มันจะเกิดเหตุการณ์ยังไงบ้าง 



  นี่จึงเป็นอีกหนึ่งความตั้งใจของการตั้งอะคาเดมี่ที่อยากให้นักขี่บนถนนเข้ามาสู่สนาม และจะได้สอนเขาว่าเวลารถกำลังจะล้ม เราจะต้องเซพตัวเองให้ปลอดภัยยังไง



ส่วนตัวตาลเอง ต้องบอกว่าไม่เคยขี่รถบนถนนเลย ถ้าขับจริงๆ ก็จะเป็นรถเล็ก ถ้าถนนใหญ่เลยจะยังไม่กล้า ทุกวันนี้ยังชมผู้หญิงที่ขี่บิ๊กไบค์บนถนนเลยว่าใจถึงดีเหมือนกันนะ กล้าขี่ เพราะตาลไม่กล้า ด้วยความที่โดนคุณพ่อสั่งตั้งแต่เด็กด้วย และผู้ใหญ่ก็แนะนำไม่ให้ขี่ด้วย



ตาลก็คิดเหมือนกันเพราะด้วยความที่เราชินกับสนาม เราขี่เร็วมาก ตาลกลัวว่าอุบัติเหตุจะเกิดกับเรา ก็เลี่ยงไม่ขี่บนถนนดีกว่า เพราะถนนจริงกับในสนามความปลอดภัยมันต่างกัน”



ทิ้งท้ายถึงวงการแข่งรถซูเปอร์สปอร์ตในเมืองไทย เธอกล่าวเพียงว่าอนาคตแวดวงซูเปอร์สปอร์ตจะไปได้ไกลกว่านี้แน่นอน โดยเฉพาะกับเด็กรุ่นใหม่ที่สนใจทางเดินนี้มากขึ้น รวมถึงผู้ปกครองเองก็เปิดใจ เปิดโอกาสให้ลูกหลานได้เรียนรู้ประสบการณ์การแข่งรถมากขึ้นด้วยเช่นกัน



“สำหรับตาลมองว่าอีกไม่นานเกินรอนี้ วงการซูเปอร์สปอร์ตไทยจะบูมมากกว่าเดิม ตั้งแต่มีมอโต้จีพีจัดแข่งที่สนามช้าง คนดูเยอะมาก นอกจากนี้ผู้ใหญ่ยังให้การสนับสนุนเยอะ ต้องรอดูต่อไปว่าจะมีสนามไหนเพิ่มขึ้นมาอีก จะมีรายการอะไรเพิ่มเข้ามาอีก



 

แต่ส่วนตัวตาลมองว่า วงการนี้เป็นวงการที่เม็ดเงินสูงมาก เด็กรุ่นใหม่ได้โอกาสในตอนนี้ อย่างที่บอกว่าค่ายแบรนด์รถต่างๆ เขาเปิดรับแล้ว มีรถให้ มีชุดให้ในการลงสนาม หรืออะคาเดมี่ตาลมีรถให้ มีชุดให้ มาแค่ตัวมาสมัคร แค่นั้นเอง ก็สามารถเริ่มต้นเป็นนักแข่งได้แล้ว



ยิ่งสมัยนี้ผู้ปกครองทุกคนเปิดให้ลูก-หลาน เข้ามาได้วงการซูเปอร์สปอร์ตเยอะมาก ตั้งแต่ตาลจัดอะคาเดมี่ขึ้นมา ทั้งเด็กผู้ชาย-ผู้หญิงอายุ 16 ปีเอง เรารู้สึกว่ามันมีความสุขดีเนอะ พ่อแม่มานั่งดูอยากให้ลูกเก่ง อยากให้ลูกเป็นที่ยอมรับในวงการซูเปอร์สปอร์ต



วงการนี้เป็นวงการที่สนุก เข้ามาแล้วออกยากมาก มีความตื่นเต้นตลอดเวลา เจอผู้คนเยอะ เป็นการแข่งขันที่สนุก ส่วนคนที่อยากเป็นนักแข่งแต่ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงก็ปรึกษาตาลได้ เพราะตาลเองก็เป็นตัวแทนคนหนึ่งที่ได้พัฒนาน้องๆ เด็กรุ่นใหม่ๆ เข้าสู่วงการนี้มากขึ้น”

เรื่องโดย พิมพรรณ มีชัยศรี

ภาพ FB : Rarchada Nakcharoensri

 

** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **