Bugatti คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมแบรนด์รถนี้ต้อง Limited Edition เท่านั้น

ทุกคนอาจจะตื่นเต้นกับ Bugatti Chiron Sport 110 Ans ที่มีเพียง 20 คันในโลก ได้มาวิ่งผ่านแถวถนนสุขุมวิทได้ไม่นาน

แต่เคยสงสัยกันไหมว่าทำไม Bugatti แบรนด์รถหรูจากอิตาลีแบรนด์นี้ ต้อง Limited Edition เท่านั้น เราอยากให้แฟน ๆ ของ HELLO! ได้ทำความรู้จักกับแบรนด์นี้มากขึ้น

จุดเริ่มต้นความยิ่งใหญ่

แบรนด์นี้เริ่มต้นจริง ๆ ในปี ค.ศ. 1909 จากฝีมือของ แอทเทอเร่ บูกัตติ (Ettore Bugatti) ผู้ที่ทำให้รถไฮเปอร์คาร์เป็นที่จดจำ จากการออกแบบที่เส้นสายพิเศษแบบไม่เหมือนใคร หรือเวลามีการแข่งรถ แบรนด์ของเขาก็จะทะยานได้แชมป์มากมาย และยังส่งผลมาถึงที่ยังทำให้พวกเขายังเป็นที่น่าจดจำดั่งทุกวันนี้

ส่วนหนึ่งที่ต้องยกแรงบันดาลใจให้กับ คาร์โล บูกัตติ (Carlo Bugatti) ผู้เป็นบิดาของ แอทเทอเร่ (Ettore) ที่เป็นช่างเงิน นักออกแบบ และศิลปินที่มีชื่อเสียงโด่งดังในระดับสากล ชนะรางวัลเหรียญเงิน World Fair ณ กรุงปารีส ในปี ค.ศ. 1900 ซึ่งเฟอร์นิเจอร์ของเขาได้รับการยกย่องการออกแบบในสไตล์ Art Nouveau และ ใช้วัตถุดิบ ชั้นเลิศในการทำสินค้า

Bugatti
ภาพโดย Official Bugatti

ซึ่งกำเนิดรถต้นแบบคันแรกในยุคปี ค.ศ. 1901 นามว่า ‘Type 2’ ที่ไปโผล่ในงานนิทรรศการระดับชาติ ด้วยความเลอเลิศของรถต้นแบบคันนี้ ทำให้เขาคว้ารางวัล จาก French Automobile Club ส่วนหนึ่งต้องยกความดีความชอบให้พี่น้อง กัลลิเนลลี (Gulinelli Brothers) ที่ช่วยไปถึงจุดเริ่มต้นที่สวยงามในการสร้างรถคันแรก

Bugatti
ภาพโดย Official Bugatti

แล้วพี่น้อง กัลลิเนลลี (Gulinelli Brothers) มีความสำคัญอย่างไรต่อตระกูล บูกัตติ?

เพราะหลังจากนั้น หนึ่งในพี่น้อง กัลลิเนลลี ก็เสียชีวิต ทำให้ในที่สุดโครงการ Type 2 ก็ต้องล่มตามระเบียบ แต่ถึงกระนั้นในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดี เพราะตระกูล บูกัตติ ยังได้รับใบอนุญาตในการผลิตรถยนต์เพื่อขายให้แก่บริษัท Die Dietrich ที่ตั้งอยู่ในเมือง Niederbronn, Alsace ทางตะวันออกเฉียงเหนือของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นช่วงที่ แอทเทอเร่ บูกัตติ ยังอายุไม่ถึง 21 ปี เต็มด้วยซ้ำ หลังจากนั้นได้ไม่นานเขาก็ได้เป็นหัวหน้าด้านเทคโนโลยีของ Bugatti ในปี ค.ศ. 1902

Bugatti
ภาพโดย Official Bugatti

ปี ค.ศ. 1903 รถแข่งคันแรกที่ได้รับการออกแบบคือ ‘Type 5’ ด้วยรถเครื่องยนต์ 12.9 ลิตร พร้อมแชสซีเฟรมตัวถังแบบท่อ ขับเคลื่อนไปพร้อมน้ำยาหล่อเย็น

ก่อตั้งโรงงาน

และจุดพลิกประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญคือในปี 1909 ได้ก่อตั้งโรงงานที่ Molsheim ประเทศฝรั่งเศส ที่สามารถผลิตเครื่องยนต์รถได้ 10 คัน และ เครื่องยนต์ของเครื่องบิน ได้ 5 เครื่อง

ภาพโดย Official Bugatti

หลังจากช่วงจบสงครามโลกครั้งที่ 1 รถไฮเปอร์คาร์ แบรนด์นี้ ก็ล้มลุกคลุกคลานถูกไล่ออกจากโรงงานตัวเองที่ Alsace ในขณะที่กำลังจะฟื้นฟูกิจการอยู่เป็นหลายปี ก็ยังมาถูกซ้ำเติมในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เข้าไปอีก โรงงานที่ Molsheim ถูกทำลายจนยับเยิน บริษัทเสียการควบคุมทุกอย่าง แทบหาอนาคตไม่เจอ ก็น่าเห็นใจไม่น้อย

การเสียชีวิตของผู้ก่อตั้ง จะเดินต่อไปอย่างไร

ซ้ำร้ายกว่านั้น แอทเทอเร่ บูกัตติ ยังมาเสียชีวิตหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปีที่สอง ยังไม่นับรวมกับที่ลูกชายอย่าง ฌอง (Jean) มาเสียชีวิตก่อนหน้านั้นในปี ค.ศ. 1939 นั้นก็หมายความว่าพวกเขาไม่มีผู้สืบทอดตำแหน่งทางธุรกิจเลย มีปัญหากระทบเรื่องการเงินเป็นอย่างหนัก

ซึ่งในช่วงเวลานั้นพวกเขาผลิตรถได้แค่รุ่นเดียวคือ Type 101 ก่อนจะหยุดผลิตในปี ค.ศ. 1959 แต่ในขณะเดียวกันก็ยังเดินหน้าผลิตชิ้นส่วนเครื่องบินต่อไปจนกระทั่งการกลับมาเกิดใหม่ต้นฉบับแท้จริงพวกเขา

ประวัติศาสตร์ที่รอการกลับมา

จุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ และ ความเป็น Limited Edition กำลังจะถูกจารึกไว้ ค.ศ. 1987 เมื่อ โรมาโน อาติโอลี (Romano Artioli) นักธุรกิจชาวอิตาลีได้เข้ามา ซื้อสิทธิ์ในการบริหาร และ มาตั้งโรงงานที่ Modena ประเทศอิตาลี

ภาพโดย Official Bugatti

และ แบรนด์เองก็กลับสู่ยุคสมัยของพวกเขาอย่างแท้จริง เมื่อตำนานนักขับรถแข่ง F1 อย่าง ไมเคิล ชูมัคเกอร์ (Michael Schumacher) ได้ซื้อรุ่น EB110 ในปี ค.ศ. 1987 ทำให้เกิดกระแสต่าง ๆ มากมายที่ทำให้เหล่าบรรดาเซเลบ ผู้เป็นเจ้าของธุรกิจ เริ่มหันมองแบรนด์นี้อยู่ในรายชื่อที่ต้องครอบครอง

มื่อ Volkswagen เข้าซื้อกิจการ

ภาพโดย Pexel

ปี ค.ศ. 1998 ยิ่งเพิ่มความมั่นใจให้กับบรรดาผู้ที่อยากได้รถแบรนด์เข้าไปอีก คือการที่ Volkswagen Group ที่เป็นหนึ่งในกลุ่มวงการรถระดับโลก ได้เข้าซื้อกิจการ โดยให้ บูกัตติ บริษัทย่อยที่ผลิตรถจากฝรั่งเศส โดยตั้งโรงงานที่เดิมแบบในยุคก่อตั้งที่  Molsheim และชื่อของรุ่น Chiron ก็ดังกระหึ่มในงาน Geneva International Motor Show ปี 2016

ทำไมต้อง Limited Edition

คำนิยามสำหรับ บูกัตติ คือการที่ทำรถแต่ละรุ่นมีการจำกัดจำนวนคันที่จะผลิตออกไป ใส่ความพิเศษทั้งการออกแบบ และรายละเอียดของเครื่องยนต์ ที่ทำให้เหล่าผู้ที่ครอบครองไป ว่าฉันได้รถที่สุดพิเศษไว้ในอ้อมอกที่มีไม่กี่คนบนโลกใบนี้จะทำได้

เป็นการขายรถเพื่อเฉลิมฉลองความพิเศษให้กับแบรนด์ ที่มีคุณค่าทั้งทางจิตใจ และในอนาคตอาจจะกลายเป็นรถที่หายากไปโดยบัดดล เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกที่เหล่าเซเลบ และบรรดาคนมีเงินทั้งหลายถึงอยากได้ไฮเปอร์คาร์ยี่ห้อนี้มาประดับไว้ในโรงรถ

3 รุ่น Limited Edition ที่ไม่กี่คันในโลกที่ไม่เหมือนใครแน่นอน

La Voiture Noire

ภาพโดย Official Bugatti

มีคันเดียวในโลกปักป้าย ราคาขายเอาไว้ที่ 11 ล้านยูโร หรือประมาณ 393 ล้านบาท ใช้เครื่องยนต์แบบ W16 8.0 ลิตร Quad-turbocharged (Turbo 4 ลูก) ให้กำลังได้สูงสุด 1,500 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 1,600 นิวตันเมตร ทำอัตราเร่ง 0-100 เอาไว้ที่ 2.4 วินาที

Legend Meo Costantini

ภาพโดย Official Bugatti

Grand Sport Vitesse Meo Costantini ที่มีเพียง 3 คันในโลก มีราคา 2.09 ล้านยูโร (ประมาณ 90 ล้านบาท) มาพร้อมเครื่องยนต์ W16 8.0 ลิตร 4 เทอร์โบชาร์จ ให้กำลัง 1,200 แรงม้า  และปั่นฝีเท้าด้วยแรงบิด 1,500 นิวตันเมตร  โดยสามารถเร่ง 0-100 ก.ม./ช.ม. ใน 2.6 วินาที

Veyron Grand Sport Royal Dark Blue

ภาพโดย Official Bugatti

รถรุ่นนี้ออกแบบมาเพียงแค่ 2 คันในโลก ช่างสุดพิเศษสำหรับผู้ที่ได้มันมาเหลือเกิน เป็นรถคันแรกเน้นการใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์เกือบทั้งคัน ตั้งแต่ฝากระโปรงหน้า ตัวถัง ไปจนถึงด้านหลังของรถ 1.75 ล้านยูโร (ประมาณ 64 ล้านบาท)

เป็นอย่างไรบ้างสำหรับเรื่องราวประวัติศาสตร์รถไฮเปอร์คาร์แบรนด์นี้ โปรดอย่าลืมบทความอื่น ๆ จากทีมงาน HELLO!

อ่านเรื่องราวดี ๆ เกี่ยวกับราชวงศ์ ทั้งไทย และ ต่างประเทศ เซเลบริตี้ ข่าวสารใหม่ ๆ และ เรื่องราวเกี่ยวกับสุขภาพและความงามได้ที่ HELLO!

  • Tesla Model X พาหนะแห่งอนาคต ของ Elon Musk
  • 8 ยนตรกรรมสุดไฮเทค พาเหรดกันเปิดตัวในปี 2022
  • มิติใหม่ของการลงทุน! เมื่อยานพาหนะลักซ์ชัวรี่กลายเป็นสิ่งของน่าสะสม

Reference

https://www.bugatti.com/

https://www.cardekho.com/Bugatti/history.htm

https://www.hotcars.com/coolest-limited-edition-bugattis/