ไม่แข่งแล้วเรื่องสงครามราคา ‘ไปรษณีย์ไทย’ ประกาศชัดขอโฟกัสเรื่องคุณภาพและ

ท่ามกลางสงครามราคาในตลาดขนส่งพัสดุที่ผู้เล่นหลายรายแข่งกัน ‘ชูราคาถูก’ เพื่อดึงดูดลูกค้า แต่พี่ใหญ่ในตลาดอย่าง ไปรษณีย์ไทย กลับออกมาประกาศชัดไม่กระโดดเข้าร่วมสงคราม แต่ขอโฟกัสเรื่องคุณภาพและบริการใหม่ๆ เพื่อสร้างความแตกต่างให้กับตัวเอง

ความเคลื่อนไหวของไปรษณีย์ไทยครั้งนี้เกิดขึ้นไม่นานหลังมีการปรับอัตราค่าบริการส่งจดหมาย ซึ่งเป็นการปรับอัตราค่าบริการครั้งแรกในรอบ 18 ปี โดยเป็นการปรับราคาเฉพาะบริการจดหมายในประเทศเท่านั้นคือ จดหมายประเภทซอง และจดหมายประเภทหีบห่อ 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • ธุรกิจขนส่งแข่งราคาแรงเกินไป ‘ไปรษณีย์ไทย’ กางกลยุทธ์ใหม่ ต้องการเป็น ‘มากกว่าผู้ให้บริการขนส่ง’ เร่งเจาะตลาด Blue Ocean
  • สงครามราคาครั้งใหม่! Kerry Express เคาะราคาเริ่มต้น 15 บาท ส่วน Flash Express หั่นค่าส่งลง 10% สวนทาง ‘ไปรษณีย์ไทย’ ที่ขึ้นราคาในรอบ 18 ปี
  • ไปรษณีย์ไทย ขึ้นราคาครั้งแรกในรอบ 18 ปี จดหมายประเภทซองเพิ่ม 5-10 บาท หีบห่อเป็นประเภทใหม่ เคาะเริ่มต้น 30 บาท

สิ่งที่น่าสนใจคือ ‘จดหมายประเภทหีบห่อ’ ซึ่งแต่ก่อนคิดในอัตราเดียวกัน แต่ตอนนี้จะแยกออกมา โดยเคาะราคา 30-55 บาท จดหมายประเภทนี้ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มพ่อค้า-แม่ค้าออนไลน์ ซึ่งแน่นอนว่าอาจทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น จนทำให้ปีที่ผ่านมาไปรษณีย์ไทยขาดทุนหลัก ‘พันล้านบาท’ 

  • ปี 2562 รายได้ 27,405 ล้านบาท กำไร 619 ล้านบาท
  • ปี 2563 รายได้ 24,211 ล้านบาท กำไร 385 ล้านบาท
  • ปี 2564 รายได้ 21,734 ล้านบาท ขาดทุน 1,624 ล้านบาท

กระนั้น ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ได้ออกมาบอกว่า ราคาที่ขึ้นนั้นเป็นราคาจดหมาย ไม่ได้ขึ้นในกลุ่มส่งด่วน ซึ่งตอนนี้มีราคาที่เข้าถึงได้ และไม่ได้เป็นต้นทุนภาระมากนัก ซึ่งปัจจุบันรายได้ 40% มาจากธุรกิจโลจิสติกส์, ไปรษณียภัณฑ์ 30%, ระหว่างประเทศ 15% สุดท้ายค้าปลีกและการเงิน 15%

“เราจะมุ่งสร้างความแตกต่างด้านการให้บริการและพัฒนาคุณภาพของการขนส่งให้ดียิ่งขึ้น โดยในไตรมาส 1/65 ปริมาณงานสอบสวน ลดลง 46%, สิ่งของสูญหาย/เสียหาย/ล่าช้า ลดลง 46% และการเติบโตของปริมาณชิ้นงาน EMS ในประเทศ เพิ่มขึ้นอีก 15% เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 4/64”

ทิศทางของไปรษณีย์ไทยแตกต่างกับอีก 2 คู่แข่งที่หันมาก่อสงครามราคาครั้งใหม่ โดย Kerry Express ได้เปิดราคาใหม่เริ่มต้นเพียง 15 บาท ตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม 2565 เป็นต้นไป เพื่อ ‘ให้ลูกค้าส่งคุ้มสุดด้วยค่าส่งต่ำสุดๆ สวนกระแสเงินเฟ้อ น้ำมันแพง ค่าครองชีพสูง’ ทางด้าน Flash Express ระบุถึงการลดราคาค่าส่งลง 10% สำหรับการส่งพัสดุที่มีขนาด 1 กิโลกรัม 

“การแข่งขันราคาไม่ใช่เกมเรา ซึ่งไปรษณีย์ไทยจะพยายามแข่งขันคุณภาพ เหตุผลที่ตอนนี้มีการแข่งขันสูงขึ้น เพราะแต่ละเจ้าต้องการลดต้นทุนด้วยการนำเรื่องปริมาณเข้าสู้ ซึ่งการแข่งขันที่รุนแรงทำให้ราคาต่อชิ้นลดลง 10% เมื่อเทียบปีที่ผ่านมา”

กระนั้นใช่ว่าไปรษณีย์ไทยจะไม่ลงเล่นในสงครามราคาเสียทีเดียว เพราะมีการออกโปรโมชันส่วนลดค่าส่งด่วน EMS สูงสุดกว่า 50% โดยฝากส่งสิ่งของในวันจันทร์-เสาร์ ราคาเริ่มต้นเพียง 25 บาท และวันอาทิตย์เริ่มต้นเพียง 19 บาท ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2565 โดยมองว่าการทำโปรนั้นจะทำให้สามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดได้

ข้อมูลจากอิปซอสส์ระบุว่า ปี 2564 ไปรษณีย์ไทยเป็นเจ้าตลาดด้วยส่วนแบ่ง 40.54% รองลงมาเป็น Kerry Express 25.62% ตามด้วย Flash Express 6.01% และ J&T Express 4.58%

ขณะเดียวกันหนึ่งในต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนคือราคาน้ำมันที่สูงขึ้น 30% ทำให้ไปรษณีย์ไทยวางแผนรับมือด้วยการปรับรถนำจ่ายมาเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 250 คัน และปรับรถมอเตอร์ไซค์ 20,000 คันมาเป็นไฟฟ้าเช่นกัน 

นอกจากนี้ไปรษณีย์ไทยยังอัปเกรด Pick up Service เรียกได้ 24 ชั่วโมง นำร่องที่เขตหลักสี่ ปากเกร็ด รามอินทรา, บริการ iPost รับฝากพัสดุผ่านตู้ไปรษณีย์อัจฉริยะ เปิดให้บริการทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง, การส่งต้นไม้-กล้าพันธุ์ไม้ที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ, การส่งผลไม้ที่ต้องขนส่งอย่างรวดเร็ว ป้องกันการเน่าเสีย, การส่งยาและเวชภัณฑ์บางประเภท รวมถึงอาหารสดที่ต้องมีการควบคุมอุณหภูมิ ฯลฯ

ทั้งนี้ได้คาดการณ์มูลค่าตลาดขนส่งในปี 2565 จะขยายตัวต่อเนื่องราว 17% มูลค่าประมาณ 106,000 ล้านบาท และมีปริมาณขนส่งเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 7 ล้านชิ้นต่อวัน


ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH



Twitter: twitter.com/standard_wealth

Instagram: instagram.com/thestandardwealth

Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP