ลองของโหด โคตรอยากได้ ทดสอบ AUDI RS4 AVANT QUATTRO – ไทยรัฐ

ปี 2008 Audi สร้างปรากฏการณ์ใหม่ โดยมุ่งไปที่การก้าวข้าม Porsche Cayman เมื่อทำการเปิดตัวรถสปอร์ตรุ่นไอคอน TT RS ด้วยรูปลักษณ์ที่สวยงามดุดันมากกว่า TT รุ่นมาตรฐาน ท่านั่งขับแบบรถแข่งที่เตี้ยกว่า TT รุ่นปกติ พร้อมสปอยเลอร์หลังขนาดใหญ่ TT RS เป็นเครื่องจักรที่มีความดิบอยู่ในตัวตน เทคนิคในการจูน ถูกยักย้ายถ่ายเทมาจากการแข่งรถของแบรนด์สี่ห่วง โดยเฉพาะด้านความคงทน เครื่องยนต์เบนซินแถวเรียง อัดอากาศด้วยเทอร์โบชาร์จ แบบ 5 สูบ ความจุ 2.5 ลิตร กำลัง 335 แรงม้า สวนกับ Porsche Cayman ได้อย่างสบายๆ 

ในปี 2012 TT RS plus ตามออกมาด้วยประสิทธิภาพที่สูงกว่า TT รุ่นที่มีกำลังสูงที่สุด ถูกเปิดตัวโดยอัปพลังขึ้นเป็น 355 แรงม้า มีการปลดล็อกความเร็วสูงสุดออกทำให้ TT RS plus ทำความเร็วได้ 174 ไมล์ต่อชั่วโมง หรือ 280 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเป็นครั้งแรก TT RS ขึ้นชื่อในเรื่องความเร็วและประหยัดเชื้อเพลิง แต่ระบบรองรับที่ทำออกมาสำหรับคุมม้า 355 ตัว ทำให้เกิดอาการสั่นสะเทือนบนถนนที่ไม่เรียบ ซึ่งมีอยู่ทุกที่ทั่วโลก!

ในปีเดียวกันนั้น Audi วางขายรถคันเล็กที่มีความดุดันมากเป็นพิเศษ RS3 ที่เปิดตัวในปี 2012 วางเครื่องยนต์เทอร์โบชาร์จแบบ 5 สูบ ความจุ 2.5 ลิตร ซึ่งหยิบยืมมาจากหัวใจของ TT RS เครื่องยนต์จับคู่กับกระปุกเกียร์คลัตช์คู่เจ็ดสปีด พร้อมระบบขับเคลื่อน Quattro หลังจากออกขาย RS3 ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นรถแฮตช์แบ็กที่มีสมรรถนะเหนือชั้นกว่ารถคู่แข่ง แม้จะมีลักษณะพิเศษ บวกความสามารถของการใช้งานในชีวิตประจำวัน แต่ประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนแบบไดนามิกของ RS3 ได้รับการลดทอนลง จากชุดบังคับเลี้ยวที่มีการตอบสนองเฉื่อยชาเกินไป และการขาดความเฉียบคมของแชสซี เรื่องนี้ แผนก RS ต้องทำการบ้านอย่างหนักหน่วงเพื่อปรับซอฟต์แวร์ที่ใช้ควบคุมและสั่งงานระบบบังคับเลี้ยวให้ดีขึ้นกว่าเดิมจนประสบความสำเร็จในที่สุด

ปี 2012 Quattro GmbH ได้เปลี่ยนกลับไปใช้รูปแบบดั้งเดิมสำหรับ RS4 ใหม่ โดยเปิดตัวแค่เวอร์ชัน Avant หรือพูดง่ายๆ ว่า RS4 จะมีให้เลือก เฉพาะตัวถังแวกอนเท่านั้น ยุคของเครื่องยนต์ไซส์ยักษ์ ทำให้ Audi นำเครื่องยนต์ V8 มายัดลงไปในห้องเครื่องของ RS4 กระแสบ้าเครื่องใหญ่ ทำให้เครื่องยนต์ของ RS4 Avant รุ่นนี้ มีความจุ 4.2 ลิตร ฝาสูบแบบ V8 ให้กำลัง 444 แรงม้า แผนก RS ยังใช้เครื่องยนต์รุ่นนี้กับ RS5 Coupe โดยมีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใน 4.7 วินาที ในขณะที่ความเร็วสูงสุดถูกจำกัด ไว้ที่ 155 ไมล์ต่อชั่วโมง (250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ออปชั่นพิเศษปลดล็อกความเร็วเป็น 174 ไมล์ต่อชั่วโมง (280 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ออปชั่นดังกล่าวรวมถึงการปรับแต่งหลากหลายระดับ ทำออกมาสำหรับลูกค้าที่ชอบสมรรถนะด้านความเร็วมากเป็นพิเศษ

ในปีนั้นยังมีการเปิดตัว RS6 รหัส C7 โดย Audi ยกเลิกขุมพลัง V10 อันทรงพลังของ RS6 รุ่นก่อน เพื่อรองรับเครื่องยนต์ตัวใหม่แบบ V8 เทอร์โบคู่ ความจุ 4.0 ลิตร ที่มีการลดขนาดความจุลง โดยยังคงให้กำลังสูงถึง 553 แรงม้า แม้จะมีความจุเครื่องยนต์ที่เล็กลง RS6 C7 เร็วกว่ารุ่นก่อน มันสามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 ใน 3.9 วินาที และผ่านระยะควอเตอร์ไมล์ ช้ากว่า Porsche 997 GT2 นิดเดียวเท่านั้น RS7 C7 ซึ่งใช้ระบบขับเคลื่อนแบบเดียวกัน ถูกเปิดตัวตามออกมาหลังจากนั้นไม่นาน 

ปี 2013 Audi Sport RS ได้ขยายไลน์อัป ยกระดับประสิทธิภาพการขับเคลื่อนไปยังยานยนต์สี่ห่วงในกลุ่ม SUV เป็นครั้งแรก ด้วยการเปิดตัว RS Q3 สปอร์ตครอสโอเวอร์ เครื่องยนต์เบนซินแถวเรียง อัดอากาศด้วยเทอร์โบ แบบ 5 กระบอกสูบ ความจุ 2.5 ลิตร เป็นขุมกำลังรุ่นเดียวกับที่ประจำการอยู่ใน RS3 และ TT RS มีกำลัง 335 แรงม้า ในรูปแบบเริ่มต้น ก่อนที่จะถูกผลักดันต่อเป็น 362 แรงม้า ใน RS Q3 Performance guise ในเวลานั้น มีรถ SUV ที่ร้อนแรงเพียงไม่กี่รุ่นทำให้ RS Q3 กลายเป็นผู้นำเทรนด์ไปโดยปริยาย 

ปี 2016 สำนักจูน Quattro GmbH ได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น Audi Sport อย่างเป็นทางการ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่คือรถ RS5 Coupe ซึ่งเปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์ V6 ความจุ 2.9 ลิตร กำลัง 444 แรงม้า จากกฎข้อบังคับของทางการยุโรป ในด้านการปล่อยมลพิษ ส่งผลให้เกิดความล่าช้าของการเปิดตัวรถใหม่ในสหราชอาณาจักร ทั้งรุ่น Coupe และ Sportback วางจำหน่ายในปี 2019 ส่วนรุ่น S ที่มีศักยภาพน้อยกว่า หันไปเล่นกับเครื่องดีเซล V6 พร้อมระบบ Mild Hybrid 48V กำลัง 345 แรงม้า จากความพยายามของ Audi ในการที่จะรักษาประสิทธิภาพของเครื่องยนต์เอาไว้ โดยมีการปรับปรุงให้เครื่องใหม่ผ่านกฎหมายการปล่อยมลพิษที่เข้มงวดมากขึ้นเรื่อยๆ 

ปลายปี 2019 RS4 Avant Facelift 2020 ถูกเปิดตัวในช่วงเวลาเดียวกันเมื่อใกล้สิ้นปี โดยยังไม่มีการแพร่ระบาดของไวรัสร้ายบนโลกใบนี้ RS4 Avant รุ่นใหม่ล่าสุด ใช้ขุมพลัง V6 ที่พัฒนาร่วมกับ Porsche ส่วน RS Q3 รุ่นที่สอง โผล่ตามมาโดยยังคงใช้เครื่องยนต์ TFSI 5 สูบ 2.5 ลิตรเทอร์โบ ที่คุ้นเคยของ TT RS โฉมปัจจุบัน RS Q3 ยังถูกปรับรูปแบบด้วยการเพิ่มไลน์ผลิตด้วยตัวถังแบบ Sportback สไตล์คูเป้ทำให้รถมีความสวยงามและขายได้คล่องมากขึ้น

RS6 Avant รุ่นที่สี่ ถูกส่งตามมาในปี 2019 โดยใช้ขุมพลังระบบไฮบริดเสริมขนาดจิ๋ว Mild Hybrid 48V เป็นครั้งแรก ควบคู่ไปกับระบบส่งกำลังแบบเบนซิน V8 เทอร์โบชาร์จคู่ ตัวถังมีชุดแอร์โรพาร์ทที่ได้รับการปรับแต่งให้แตกต่างจาก A6 รุ่นมาตรฐานอย่างชัดเจน ทุกอย่างของรถรุ่นนี้ถูกปรับตั้งมาเพื่อการทำความเร็วล้วนๆ ขุมกำลังเบนซินแบบ V8 TFSI ใน RS6 Avant รุ่นที่สี่ มีแรงบิดระดับรถหัวลากคันโตที่ 800 นิวตันเมตร ในย่าน 2,000-4,500 รอบต่อนาที อัตราเร่งของรถแม่บ้านสายโหดคันนี้ สามารถอัดจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียงแค่ 3.6 วินาทีเท่านั้น หากยังไม่ยกคันเร่งมันจะไปถึง 200 กิโลเมตรภายในเวลาแค่ 12 วินาที สำหรับความเร็วสูงสุด ถูกจำกัดด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์เอาไว้ที่ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ปัจจุบัน RS6 Avant ขึ้นสู่ทำเนียบสถิติโลก กลายเป็นรถแวกอนที่มีพละกำลังสูงที่สุดในโลก เป็นครั้งแรกที่ RS6 ออกขายอย่างเป็นทางการในสหรัฐอเมริกา ส่วน RS7 ที่มีศักยภาพไม่แพ้กันก็เดินทางมาถึงอเมริกาเหนือในเวลาเดียวกัน ตามด้วยการสั่งจองแบบท่วมท้นของพวกมะกันขาโหดที่อยากเปลี่ยนฟีลลิ่งจาก BMW M และ Mercedes-AMG ที่ใช้งานมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน 

Audi รุ่นใหม่ล่าสุดที่ประทับตราสัญลักษณ์ RS นั้น มีขนาดใหญ่ที่สุด โดย Audi Sport หันมาเล่นกับ RS Q8 ซึ่งเป็นรถเอสยูวีที่ใช้แพลตฟอร์มร่วมกับ Bentley Bentayga Porsche Cayenne และ Lamborghini Urus รถ RS Q8 ใช้ล้ออัลลอยขนาด 23 นิ้ว ซึ่งเป็นล้อรุ่นที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในยานยนต์ของ Audi เครื่องยนต์ V8 เทอร์โบคู่ ขนาด 4.0 ลิตร ติดตั้งระบบ Mild Hybrid ขนาด 48V กำลังสูงสุด 600 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 800 นิวตันเมตร เร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 3.8 วินาที และมีความเร็วสูงสุดที่ 304 กิโลเมตรต่อชั่วโมง! 

ทุกวันนี้ ด้วย RS4 Avant โฉมใหม่ ที่ได้รับการอัปเดตล่าสุด ทำให้มันเป็นรถแวนไซส์กะทัดรัดที่มีอยู่ในตลาดเพียงหนึ่งเดียวในประเทศไทย ส่วนเป้าหมายที่มีความทะเยอทะยาน ในการสร้างรถสปอร์ตที่มีศักยภาพสูง ในอนาคตอันใกล้ Audi มุ่งไปที่มอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งมีประสิทธิภาพในด้านแรงบิดสูงมาก เห็นได้จากรถซุปเปอร์คาร์พลังงานไฟฟ้าเวอร์ชันล่าสุด นั่นก็คือ Audi RS e-Tron GT หลังจากนั้น RS จะเปลี่ยนระบบขับเคลื่อน จากเครื่องยนต์สันดาปภายใน ไปเป็นมอเตอร์ไฟฟ้าในอีกสิบปีข้างหน้านับต่อจากนี้! 

Audi Sport GmbH ได้ปรับแต่งรายละเอียดของ RS 4 Avant (อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ลิตร / 100 กม.: 9,2 (25.6 US mpg) ปล่อย CO2 g / km: 211-210 (339.6-338 g / ไมล์) RS4 เปิดตัวในเดือนกันยายน 2017 หลังจากนั้นจึงตามด้วยรุ่นปรับโฉมในช่วงปลายปี 2019 แต่ขายจริงในยุโรปประมาณต้นปี 2020 ด้านหน้าที่ได้รับการออกแบบใหม่ และการตกแต่งภายในแบบสปอร์ตที่ปรับปรุงให้สอดรับกับสมรรถนะ พร้อมระบบปฏิบัติการแบบสัมผัส MMI ใหม่ RS4 Quattro เน้นย้ำถึงแรงบันดาลใจด้านมอเตอร์สปอร์ตของรถแบรนด์สี่ห่วง รุ่นที่เคยประสบความสำเร็จในวงการแรลลี่โลก สานต่อตำนานของบรรพบุรุษ เครื่องยนต์เบนซิน V6 เทอร์โบคู่แรงบิดสูง กำลัง 331 กิโลวัตต์ (450 แรงม้า) ให้แรงบิดที่น่าประทับใจ 600 นิวตันเมตร (442.5 ปอนด์ – ฟุต) ไปยังเพลาข้อเหวี่ยงในช่วงความเร็วรอบเครื่องยนต์กว้างตั้งแต่ 1,900 ถึง 5,000 รอบต่อนาที RS 4 Avant Facelift 2020 เปิดตัวในรอบชิงชนะเลิศรายการแข่งรถทางเรียบยอดนิยม DTM ที่สนาม Hockenheimring เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2019 และวางขายในเยอรมนีรวมถึงประเทศอื่น ๆ ในยุโรปเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2019 หลังจากนั้นก็ถูกส่งออกไปจำหน่ายที่ตัวแทนจำหน่าย Audi ทั่วโลกในเดือนธันวาคม 2019 สำหรับ Avant รถแวกอนประสิทธิภาพสูง มีราคาในไทยเฉียดๆ 6 ล้านบาท 

Oliver Hoffmann, Managing Director ของ Audi Sport GmbH กล่าวว่า การผสมผสานความสปอร์ตที่สอดคล้องกับการใช้งานในชีวิตประจำวันแบบไม่จำกัด อาจเป็นความคิดที่แปลกใหม่สำหรับบางคน แต่สำหรับ Audi RS Avant รถยนต์ประสิทธิภาพสูง เป็นหนึ่งในแนวคิดของ Audi Sport เพื่อทำให้มันเป็นรถที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของนักขับ ในฐานะที่เป็นรถรุ่นขายดีมาอย่างยาวนาน Audi RS4 Avant จึงเป็นแวกอนรุ่นที่มีความสำคัญต่อความสำเร็จของแผนก Audi Sport ในวันธรรมดา คุณหรือแม่บ้านสามารถขับใช้งานในเมืองเพื่อเดินทางไปทำงาน ซื้อของ หรือรับส่งลูกๆ ส่วนในวันหยุดก็เอาหมวกกันน็อกพร้อมถุงมือติดรถลงไปขับเล่นในสนามแข่งได้อย่างสบายๆ

ด้านหน้าของ Audi RS4 Avant ได้รับการออกแบบให้ฉีกไปจาก A4 Avant รุ่นมาตรฐาน RS4 Avant แตกต่างจาก A4 Avant อย่างเห็นได้ชัด ยกตัวอย่างเช่น ชุดกระจัง Singleframe นั้นกว้างและแบนกว่าเมื่อเทียบกับ A4 Avant รุ่นพื้นฐาน เช่นเดียวกับพี่น้องในตระกูล RS ที่มีขนาดใหญ่กว่า เช่น RS6 Avant และ RS7 Sportback เจ้า RS4 Avant ใช้กระจังหน้าแบบรังผึ้งสามมิติ มาในสีดำมันวาว ซึ่งเป็นเรื่องปกติสำหรับ Series-RS เพื่อให้ดูดุดันมากกว่า ชิ้นงาน Singleframe หรือชุดกระจังแบบไร้กรอบกลมกลืนไปกับชุดกันชนขนาดใหญ่ที่ครอบปิดส่วนหน้าทั้งหมด กระจังหน้าใหม่ที่มีตราสัญลักษณ์ RS4 จะถูกแทรกอยู่ในชุดกระจัง ช่องอากาศด้านข้างขนาดใหญ่และกันชนหน้าที่พัฒนารูปทรงโดยนักออกแบบของ Audi Sport เพื่อเชื่อมโยงส่วนหน้ากับระบบอากาศพลศาสตร์ทั่วทั้งคัน

รูปทรงไฟหน้า LED ของ Audi RS4 Avant ได้รับการออกแบบใหม่ โดยติดตั้งไฟหน้าระบบ matrix LED headlights เพิ่มความสมบูรณ์แบบให้กับ Avant ด้วยระบบส่องสว่างอัตโนมัติที่มีประสิทธิภาพ สร้างความแตกต่างจากรถตระกูล A4 ด้วยชุดไฟหน้าของรุ่น RS ซุ้มล้อจัดโป่งกว้าง 30 มม. (1.2 นิ้ว) ที่ด้านหน้าและด้านหลัง ชุดแต่งกรอบกระจกกับกระจกมองข้างสีดำ แพ็กเกจแต่งสีดำ Black Edition รวมถึงตราสัญลักษณ์ Audi และโลโก้ RS สีดำที่ด้านหน้าและด้านหลัง รางหลังคาสีดำด้านเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน สปอยเลอร์ขอบหลังคาเฉพาะรุ่น RS และครีบรีดอากาศใต้กันชนหลังหรือ diffuser รวมถึงปลายท่อไอเสียโครมดำในระบบไอเสีย RS ทำให้ RS4 เป็นรถแวกอนที่ดูเอาจริงเอาจังมากยิ่งขึ้น ระบบไอเสียของ RS Sport เป็นอุปกรณ์เสริม (ออปชัน) ขอบสีดำ tailpipe สร้างประสบการณ์เสียงท่อแบบพิเศษที่มีความเฉพาะตัว ผู้ขับสามารถเปิดหรือปิดเสียงท่อด้วยปุ่มควบคุมโหมดการขับขี่ Audi drive select มิติตัวถังของ Audi RS4 Avant มีขนาดความยาว 4,782 มิลลิเมตร กว้าง 1,866 มิลลิเมตร สูง 1,414 มิลลิเมตร ความยาวฐานล้อ 2,826 มิลลิเมตร ระยะห่างล้อหน้า 1,580 มิลลิเมตร ระยะห่างล้อหลัง 1,575 มิลลิเมตร ระยะโอเวอร์แฮงค์หน้า 918 มิลลิเมตร ระยะโอเวอร์แฮงค์หลัง 1,038 มิลลิเมตร 

ระบบช่วงล่างแบบสปอร์ต ซึ่งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานของ Audi RS4 Avant นั้น ทำให้ความสูงของ Audi RS4 Avant ต่ำกว่า Audi S4 Avant 0.3 นิ้ว ออปชันเสริมพิเศษ (ที่จะต้องจ่ายเงินเพิ่มเพราะไม่มีมาให้) นั่นก็คือ ช่วงล่าง RS Sport plus พร้อมกลไก Dynamic Ride Control (DRC) ช่วยทำให้ควบคุมรถได้ง่ายขึ้น ประกอบด้วยโช้คอัพและสปริงพิเศษที่สามารถลดการเคลื่อนไหวของตัวถังอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แต่ตัวทดสอบกลายเป็นโช้ค Audi RS Sport ที่ไม่มีระบบ DRC ซะงั้น! 

ระบบบังคับเลี้ยวของ RS4 ติดตั้งพวงมาลัยไฟฟ้าอัตราทดแปรผันไปตามความเร็วและโหมดของการขับเคลื่อน ซึ่งจะตอบสนองสูงสุดในโหมด RS1 / RS2 ส่งถ่ายความรู้สึกของการบังคับเลี้ยวแบบไดนามิกโดยแปรผันน้ำหนักของพวงมาลัยไปตามอัตราการบังคับเลี้ยวสูงถึง 100 เปอร์เซ็นต์ ปรับน้ำหนักไปตามความเร็วที่แท้จริง มุมบังคับเลี้ยวและโหมดขับเคลื่อน ในย่านความเร็วต่ำ ท่ามกลางการจราจรในเมือง การบังคับเลี้ยวแบบไดนามิกจะทำงานโดยตรงเพื่อปรับให้น้ำหนักของพวงมาลัยมีความเหมาะสมกับสปีดความเร็วต่ำในเมือง ส่วนบนถนนในชนบทที่คดเคี้ยว การตอบสนองของพวงมาลัยและการผ่อนน้ำหนักด้วยปั๊มไฟฟ้าจะลดระดับการทำงานลงอย่างต่อเนื่อง เมื่อขับรถด้วยความเร็วสูงบนไฮเวย์ อัตราทดของพวงมาลัยจะแปรผันน้ำหนักทันที โดยค่อยๆ เพิ่มหรือลดน้ำหนักของพวงมาลัยไปตามสปีดความเร็ว ยิ่งขับเร็วเท่าไร พวงมาลัยของ RS4 ก็จะยิ่งขึงตรึงแน่นมากยิ่งขึ้น ช่วยให้เกิดความมั่นใจเมื่อใช้ความเร็วสูง ระบบบังคับเลี้ยว Dynamic Steering ทำงานผสมผสานกับโปรแกรมควบคุมการทรงตัวอิเล็กทรอนิกส์ (ESC) เพื่อส่งมอบความรู้สึกแบบสปอร์ต รวมถึงความปลอดภัยในการขับขี่เมื่อจำเป็นต้องเปลี่ยนทิศทางในย่านความเร็วสูง พวงมาลัยไฟฟ้าของ RS4 ฉลาดหลักแหลมและหากมีความจำเป็นเมื่อต้องเบรกหนักๆ บนพื้นผิวถนนที่มีแรงเสียดทานแตกต่างกัน ระบบ Dynamic Steering ช่วยทำให้การควบคุมทิศทางขณะเบรกง่ายยิ่งขึ้น

ล้อลายห้าก้านแบบใหม่ที่ผ่านการทำสีอย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยสีบรอนซ์สลับสีดำ ล้อ 20 นิ้ว ยัดยาง 275/30ZR20 จานเบรกเหล็กกล้า พร้อมคาร์ลิปเปอร์เบรกที่ทรงพลัง RS4 มาพร้อมดิสเบรกเจาะรูระบายความร้อนจนพรุนไปทั้งจาน จานเบรกหน้าเส้นผ่าศูนย์กลาง 375 มิลลิเมตร (14.8 นิ้ว) ส่วนจานเบรกหลังมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 330 มิลลิเมตร (13.0 นิ้ว) คาลิปเปอร์เบรกแบบ 6 พอต ที่ด้านหน้า พร้อมโลโก้ RS พ่นสีด้วยสีดำหรือสีแดง ออปชันเสริมที่ต้องควักเพิ่มเป็นระบบเบรกคาร์บอนเซรามิก ที่ทนทานต่อการเบรกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้เกิดความร้อนสะสมในชุดเบรกสูงมาก คาร์บอนเซรามิกเบรกของ Audi Sport ยังช่วยลดอาการเบรกเฟรดเมื่อขับในสนามแข่ง คาลิปเปอร์ของระบบเบรกคาร์บอนเซรามิก มีทั้งสีแดงสีเทาและสีน้ำเงิน ดิสเบรกคาร์บอนเจาะรูพรุน มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 400 มิลลิเมตร (15.7 นิ้ว)

นอกจากไอคอนของ Audi อย่าง TT RS และสปอร์ตคูเป้สายโหดอย่าง RS 5 Coupé แล้ว Hankook ผู้ผลิตยางรถยนต์ของเกาหลีใต้ พัฒนายางสมรรถนะสูง สำหรับ Audi RS 4 Avant ตามธรรมเนียมของ RS เครื่องยนต์ไบเทอร์โบ V6 ที่ทรงพลัง มีแรงบิด 600 นิวตันเมตร และมีน้ำหนักเบากว่า RS4 รุ่นก่อน 80 กิโลกรัม ยางที่ต้องรับแรงมหาศาล จะต้องมีประสิทธิภาพสูงตามความคาดหวังของผู้ขับ ส่วน Quattro หรือระบบขับเคลื่อนทุกล้อแบบถาวร ร่วมกับยาง 19 หรือ 20 นิ้วในทุกล้อ ออกแบบให้ยางสามารถรับแรงฉุดและกำลังที่เทลงไปยังล้อทั้งสี่ สำหรับการเร่งจาก 0 ถึง 100 กม. / ชม. ใน 4.1 วินาที Audi RS4 รุ่นมาตรฐาน ยัดยาง 265/35 R 19 98Y XL ส่วน RS4 ที่ขายในไทย โดย Audi Thailand นำเข้ามานั้น ใส่ล้อและยางใหญ่ขึ้น ด้วยขนาด 275/30 R 20 97Y XL ซึ่งเป็นล้อออปชันเสริม Audi Sport Wheel ที่ไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม ยางสปอร์ต Hankook Ventus S1 evo² เทคโนโลยี sound absorber® ดูดซับเสียงรบกวน มีประสิทธิภาพด้านการยึดเกาะในทุกสภาพอากาศ และมีเสียงการทำงานขณะบดลงไปบนผิวถนนลดลง

Audi Sport GmbH ได้รับแรงบันดาลใจจากมอเตอร์สปอร์ตในด้านรูปลักษณ์ พร้อมความสามารถในการเป็นรถที่ใช้งานได้ทุกวัน RS ทุกรุ่นถูกปรับแต่งอย่างหลากหลาย รถสี่ห่วงประสิทธิภาพสูงเหล่านี้ ออกแบบมาเพื่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน และสำหรับการขับในสนามแข่ง การทดสอบประสิทธิภาพของยาง มีขึ้นในสนามแข่งความเร็วสูง Nordschleife อันเป็นสัญลักษณ์ของสนามนรกเขียว Nürburgring เป็นการขับทดสอบยางติดรถด้วยความเร็วสูง 10 รอบสนาม ยาง Hankook ใน Audi RS 4 Avant ให้การควบคุมที่สั่งได้ยางยังถูกออกแบบลายดอกยาง เพื่อให้เข้ากับสมรรถนะของรถ นอกจากนี้วิศวกรของ Hankook ที่ศูนย์พัฒนายางรถในเยอรมนี มีการตรวจสอบให้แน่ใจว่า ขนาดของแก้มยางที่เตี้ยจะไม่มีการละเลยกับความสะดวกสบายและความทนทาน แม้จะเน้นไปที่การยึดเกาะและการบังคับที่แม่นยำ 

ในระหว่างขั้นตอนการอนุมัติยางล้อของ Audi RS4 Avant บริษัทยาง Hankook แสดงให้เห็นถึงความสามารถของยาง รวมถึงระยะเบรกที่สั้นและประสิทธิภาพความทนทานที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย การยึดเกาะกับถนนในทางเปียก เกิดจากส่วนผสมของสไตรีน – พอลิเมอร์ – ซิลิกา ขั้นสูง ที่ใช้เป็นส่วนผสมในการหล่อดอกยาง การสัมผัสระหว่างดอกยางกับผิวถนนที่เหมาะสม เพื่อให้หน้ายางยึดติดกับถนนได้ดีที่สุดในระหว่างการใช้งาน การออกแบบบล็อก 3 ชั้น ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากยางรถแข่ง DTM พร้อมการจัดวางชั้นยางซึ่งเป็นโครงสร้างด้านนอก ช่วยให้เกิดการยึดเกาะได้สูงอย่างสม่ำเสมอ แม้ในขณะที่ยางสึกหรอไปเรื่อยๆ และมีการรับประกันการยึดเกาะกับประสิทธิภาพการเบรกตลอดอายุการใช้งานทั้งหมดของยาง

เทคโนโลยี sound absorber® ของ Hankook ถูกนำมาใช้ในยางสำหรับ Audi SQ7 และ RS 5 Coupé การลดเสียงรบกวน ตามแบบฉบับของยางแบบสปอร์ตที่มีอัตราส่วนต่ำที่ความเร็วสูง เป็นส่วนสำคัญและเป็นจุดโฟกัสของงานพัฒนา วิศวกรของ Hankook ได้ปรับเปลี่ยนเทคโนโลยียางเงียบของ บริษัท “sound absorber®” ที่ใช้กับ SUV ขนาดใหญ่ที่ทรงพลัง จนถึงปัจจุบันกับ Ventus S1 evo² ซึ่งเป็นยางติดรถมาจากโรงงานของ Audi RS4 Avant

Audi RS4 Avant ตกแต่งภายในด้วยโทนสีดำ หุ้มหนังแท้คุณภาพสูง เย็บเดินตะเข็บด้วยด้ายสีแดง ติดตั้งชุดไฟตกแต่ง LED บริเวณแผงประตูและชุดคอนโซลกลาง ปรับสีสันได้มากถึง 30 สี ร่วมกับชุดไฟเสริมรอบห้องโดยสาร แผงหน้าปัดสร้างความรู้สึกแบบสปอร์ต กาบบันไดแบบเรืองแสงพร้อมโลโก้ RS4 โดยมีโลโก้บนคอนโซลกลาง, ที่วางแขน, เข็มขัดนิรภัยและพรมปูพื้น พวงมาลัย RS หุ้มด้วยหนังกลับ Alcantara เย็บเดินตะเข็บด้วยด้ายสีแดง 

เบาะนั่งคู่หน้าปรับไฟฟ้า หุ้มหนัง Fine Nappa แผงประตูมีทั้งงานคาร์บอนไฟเบอร์และหนัง Alcantara มีทั้งเส้นไฟ LED และการเย็บเดินตะเข็บโชว์ความประณีตด้วยด้ายสีแดง เบาะนั่งคู่หน้าดีไซน์ RS Sports นั่งสบายขับทางไกลแล้วไม่เมื่อย ตัวเบาะ ตกแต่งแบบ honeycomb พร้อมฟังก์ชันนวดเพื่อการผ่อนคลาย เบาะคู่หน้ามีระบบปรับดันหลัง และฟังก์ชันบันทึกตำแหน่งเบาะนั่งผู้ขับขี่ ส่วนเบาะผู้โดยสารด้านหลังพับได้เพื่อเพิ่มพื้นที่ให้กับการเก็บสัมภาระ สำหรับการปรับท่านั่งในเบาะของ RS4 Avant ที่มีกำลังแรงบิดมากกว่ารถปกติ ผมใช้การปรับลงไปจนสุดให้ตัวเบาะเตี้ยเพื่อลดแรงเหวี่ยงขณะเข้าโค้ง เบาะออกแบบปีกให้โอบช่วงไหล่ไปจนถึงด้านข้างของลำตัว ส่วนตำแหน่งรองนั่ง เมื่อนั่งนานๆ ขับทางไกล ไป – กลับในวันเดียว 550 กิโลเมตร ในวันทดสอบก็ไม่ปรากฏว่านั่งไม่สบายหรือเกิดอาการเมื่อยล้า เป็นอีกจุดที่ทำออกมาให้สอดรับกับการเป็นรถแรงที่สามารถใช้งานได้ทุกวัน ไม่ใช่แค่เป็นรถทำออกมาเพื่อขับเล่นในวันหยุดสุดสัปดาห์

หน้าจอสัมผัส MMI ขนาด 10.1 นิ้วเป็นศูนย์ควบคุมของระบบปฏิบัติการ MMI Plus หน้าจอสัมผัสที่ไวต่อการแตะเพื่อสั่งงาน แสดงภาพเคลื่อนไหวกราฟิกความละเอียดสูง จอแสดงผลแบบสัมผัส MMI สามารถสั่งงงานด้วยเสียง เพื่อดูข้อมูลหรือปรับตั้งระบบต่างๆ จอมอนิเตอร์ของ RS4 แสดงผลอุณหภูมิ / ระบบขับเคลื่อน/ แรงจีสูงสุด/ข้อมูลเกี่ยวกับแรงดันลมยางและอุณหภูมิของยาง/แรงม้าและแรงบิด/กำลังไฟในแบตเตอรี่/ อุณหภูมิน้ำมันเครื่อง/ เวลาต่อรอบในสนามแข่ง / ความเร็วและแรงจี นอกจากนั้นยังมีจอแสดงผล head-up เป็นอุปกรณ์เสริม ระบบเชื่อมต่อ Audi connect plus

MMI หรือ multimedia interface ของ Audi ควบรวมการปรับตั้งค่าต่างๆ ผ่านหน้าจอระบบสัมผัส ระบบ MMI Radio plus พร้อมหน้าจอแบบสัมผัส MMI touch ขนาด 10.1 นิ้ว ระบบ Audi smartphone interface รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth ช่องเชื่อมต่อ USB

ผู้ขับสามารถเปิดใช้งานโหมด RS1 และ RS2 ผ่านปุ่ม “RS MODE” บนพวงมาลัย เบาะที่นั่งแบบสปอร์ต RS ลวดลายรังผึ้ง พร้อมสัญลักษณ์ RS ห้องเก็บสัมภาระมีความจุ 495 ลิตร (17.5 ลูกบาศก์ฟุต) ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็น 1,495 ลิตร (52.8 ลูกบาศก์ฟุต) เมื่อพับเบาะหลังราบลงกับพื้น ฝาท้ายของห้องเก็บสัมภาระทำงานด้วยระบบไฟฟ้า ควบคุมผ่านเซนเซอร์สำหรับการเปิดและปิด

มาตรวัด TFT คือจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ Virtual cockpit plus ตรงหน้าคนขับ ขนาด 12.3 นิ้ว ใช้งานได้ง่ายสำหรับการเลือกดูค่าต่างๆ การปรับตั้งเสียงจากลำโพงของชุดเครื่องเสียง Bang & Olufsen ที่ให้เสียงคมชัดสมจริงพร้อมความหนักแน่นจากกำลังขับของซัฟวูฟเฟอร์คุณภาพคับแก้ว การเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือ กล้องมองภาพด้านหลัง ทั้งหมดจะแสดงผลบนจอภาพมอนิเตอร์กลางแดชบอร์ด หน้าปัดมาตรวัด TFT LCD ของ RS4 ปรับการแสดงผลได้อย่างหลากหลาย ทั้งแบบวงกลมสองวงสไตล์คลาสสิกของ Audi หรือแบบรถแข่งที่เป็นแท่งกราฟทั้งวัดรอบและความเร็ว พร้อมชิฟไลท์ที่กะพริบถี่ยิบเมื่อลากถึงรอบสูงสุดแล้วเกียร์กำลังจะเปลี่ยน มาตรวัดขนาดใหญ่ในระบบ MMI สามารถอ่านค่าได้อย่างชัดเจนและมีความทันสมัยเท่ากับมาตรวัดแบบจอภาพ TFT ของรถคู่แข่ง คุณภาพความคมชัดทำให้มองเห็นได้ชัดเจน ถูกออกแบบให้ทนต่อสภาพอากาศแบบร้อนชื้นที่เจ้าของรถจะต้องจอดรถตากแดดจัดบ่อยครั้ง มาตรวัดรอบและมาตรวัดความเร็วสามารถแทรกการแสดงผลเป็นจอ MID multi information display คอยแจ้งเตือนเวลาและวันที่ อุณหภูมิภายนอกห้องโดยสาร ตำแหน่งของเกียร์ โหมดการขับเคลื่อน ระดับของเชื้อเพลิงในถังและระยะทางที่สามารถวิ่งถึง แรง G แรงม้า แรงบิด ที่สามารถผสมกับระบบนำทางด้วยดาวเทียม หรือจะปรับเป็นหน้าจอที่แสดงสปีดความเร็วแบบตัวเลขดิจิทัล วัดระดับการใช้พลังงานเชื้อเพลิง สเกลการใช้พลังงาน รวมถึงการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ไฟฟ้าแบบพกพา เช่นโทรศัพท์หรือ iPod USB

RS4 Avant Quattro ออกแบบซุ้มคันเกียร์ที่สวยงาม ตกแต่งด้วยหนังแท้และคิ้วโลหะกับงานคาร์บอนไฟเบอร์ที่ประณีต ซุ้มคันเกียร์ประทับตราสัญลักษณ์ RS พร้อมที่วางแก้วน้ำสองตำแหน่งยังแถมที่เขี่ยบุหรี่ที่มีหน้าตาคล้ายแก้วกาแฟสตาร์บัคส์ คันเกียร์ออกแบบไม่เหมือนค่ายไหนทั้งสิ้น คันเกียร์มีดีไซน์คล้ายกับคันเร่งของเรือ Popwer Boat สำนัก Audi Sport ยังติดตั้งระบบ Auto Brake hold เพื่อความสะดวกในการใช้งานและสวิตช์เบรกมือไฟฟ้าที่น่าจะเป็นคันเบรกมือมากกว่าสวิตช์หน้าตาบ้านๆ ข้างคันเกียร์ยังมีปุ่มปรับเสียงของลำโพงมาให้สำหรับผู้โดยสารบริเวณเบาะหน้าใช้ลดหรือเพิ่มเสียงได้อย่างสะดวกสบาย ส่วนชุดควบคุมอุณหภูมิดิจิทัลแบบแยกโซนก็ออกแบบให้ใช้งานได้ง่ายในการปรับตั้งแถมช่องแอร์ของผู้โดยสารตอนหลังมาให้อีกด้วย

ชุดเครื่องเสียง Bang & Olufsen พร้อมระบบเสียง 3 มิติ ติดตั้งชุดแอมป์ที่มีประสิทธิภาพในด้านกำลังขับ พร้อมลำโพงที่มีความคมชัดสูง ค่าย Bang & Olufsen นำเสนอเสียงเพลงผ่านลำโพงด้วยระบบ 3D Sound System นำเสียงเพลงสู่มิติของการฟังแนวใหม่ โดยการวิเคราะห์อย่างละเอียดถี่ถ้วนของโปรแกรมซอฟต์แวร์กรองเสียงขั้นสูง ซึ่งถูกพัฒนามาจากความรู้ด้านระบบเสียงในรถยนต์ การวิเคราะห์และผ่านตัวกรองเสียง ช่วยให้เสียงที่ส่งออกมาจากลำโพงมีความคมชัดสูง การกระจายสัญญาณอินพุตไปยังลำโพงในรถยนต์สร้างเสียงที่มีความสมจริงของระบบสามมิติ ระบบเสียง 3D ใน Audi RS4 Avant มีกำลังขับ 755 วัตต์ ควบคุมด้วยระบบดิจิทัล Upmixalgorithm Symphoria® ในขณะที่ใช้แหล่งสัญญาณเสียงรอบทิศทางเวอร์ชัน 5.1 ผู้โดยสารจะรู้สึกได้ว่า ห้องโดยสารของรถมีการขยายขนาดเสียงที่ครอบคลุม ด้วยกำลังขับที่เหลือเฟือ พร้อมลำโพงรอบห้องโดยสารจำนวน 19 ตำแหน่ง ระบบเสียง Symphoria® 3D ถือเป็นการปฏิวัติวงการเครื่องเสียงติดรถยนต์ ภาคขยาย ให้เสียงเพลงในระบบเซอร์ราวด์แบบคลาสสิกในมิติที่ไกลมากกว่าเดิม ลำโพงอะคูสติค ติดตั้งรวมอยู่ในส่วนบนของเสา A ชุดเครื่องเสียง Bang & Olufsen 3D Sound System มีการออกแบบฝาครอบลำโพง “เส้นไดนามิก” เป้าหมายหลักสำหรับการออกแบบในลักษณะดังกล่าว คือ การเพิ่มความโปร่งใสของตะแกรงครอบกรวยลำโพง เพื่อให้ได้ระดับคุณภาพเสียงที่สูงขึ้นกว่า Audi Bang & Olufsen รุ่นก่อนหน้า

Speakers

– 19 speakers

– The front woofers makes use of DHS

(Double Half Shelf) principle

› Amplifier

– 16 amplifier channels with a total output power of 755 Watt

– Implemented with Class D technology

– Digital Signal Processing (DSP)

– MOST150 (Media Oriented Systems Transport)

– Microphone inputs

DSP features

‐ Scalable Digital Signal Processing power (DSP)

‐ Symphoria® 3D algorithm

‐ Vehicle Noise Compensation (VNC)

‐ Digital Transmission Content Protection (DTCP)

‐ 5.1 multichannel support

› Sound settings

‐ FRONT / REAR / ALL

ไส้ในซึ่งเป็นที่มาของตำนานแห่งความรุนแรงและดิบโหด นี่คือเครื่องยนต์เบซิน V6 2.9 ลิตร TFSI twin-turbo โมเต็มโดยแผนก Audi Sport ทำให้ Audi RS4 Avant มีกำลังมากถึง 331 กิโลวัตต์ (450 แรงม้า) ซึ่งเท่ากับเอาต์พุต 155.5 แรงม้าต่อลิตร ทำให้ RS4 Avant เร่งจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลาสั้นจู๋เพียง 4.1 วินาที เครื่องยนต์เบนซิน V6 TFSI เทอร์โบคู่ มีน้ำหนัก 182 กิโลกรัม (401.2 ปอนด์) เบากว่าเครื่องยนต์ V8 ใน RS4 รุ่นก่อนหน้า 31 กิโลกรัม (68.3 ปอนด์) การใช้เครื่องยนต์ที่มีความจุลดลงแต่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม เป็นประโยชน์ต่อการเพิ่มแรงฉุดลากรวมถึงการกระจายโหลดในรถยนต์ที่มีเพลาขับสองชุด ระบบอัดอากาศเทอร์โบคู่ วางคร่อมฝาสูบเพื่อลดความยาวของท่อทางต่างๆ เทอร์โบแฝดให้ประสิทธิภาพที่น่าประทับใจโดยมีแรงบิด 600 นิวตันเมตร (442.5 ปอนด์ต่อฟุต) ในช่วงความเร็วรอบเครื่องยนต์ตั้งแต่ 1,900 ถึง 5,000 รอบต่อนาที แพ็กเกจ RS Dynamic ปลดล็อกความเร็วสูงสุด จากการควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ จาก 250 เป็น 280 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (155.3 ถึง 174.0 mph)

เทอร์โบชาร์จเจอร์สองตัวของเครื่องยนต์ V6 TFSI แต่ละตัวได้รับการกำหนดให้กับกระบอกสูบ 3 ตำแหน่ง สร้างแรงบูสต์สูงถึง 1.5 บาร์ เช่นเดียวกับเครื่องยนต์ V6 และ V8 ทั้งหมดของ Audi ระบบอัดอากาศเทอร์โบชาร์จเจอร์จะถูกวางคร่อมฝาสูบในตำแหน่ง 90 องศา ท่อไอเสียออกแบบให้วางอยู่ด้านในขณะที่ท่อไอดีอยู่ด้านนอก เลย์เอาต์ของเครื่องยนต์ V6 นี้ทำให้เครื่องมีขนาดกะทัดรัดและมีท่อทางเดินสั้น การใช้ท่อไอดีสั้นลงทำให้ตอบสนองต่อการเร่งความเร็วมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

เครื่องยนต์ V6 เทอร์โบคู่ ไม่เพียงสร้างความประทับใจในด้านของประสิทธิภาพ จากแรงบิดที่ล้นเหลือ แต่ยังมีการปรับให้ระดับของอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงลดลงเหลือแค่ 9.2 ลิตรต่อระยะทาง 100 กิโลเมตร อัตราการปล่อย CO2 อยู่ที่ 208 กรัม ต่อระยะทาง 1 กิโลเมตร (334.7 กรัม / ไมล์) การปรับลดพลังงานลง 17 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า มีส่วนช่วยทำให้เครื่องยนต์ปล่อยมลพิษน้อยลง ปัจจัยชี้ขาดในเรื่องนี้ คือ กระบวนการเผาไหม้ในระบบจ่ายเชื้อเพลิง TFSI ของ Audi ซึ่งรู้จักกันในชื่อ B-cycle มันถูกออกแบบมาโดยเฉพาะ สำหรับความประหยัดและพลัง ในกรณีที่คนขับใช้ความเร็วสูงขึ้น ระบบ valveift Audi แบบสองขั้นตอน (AVS) จะปิดวาล์วไอดี ซึ่งจะเป็นการเพิ่มระยะเวลาการเปิดมุมข้อเหวี่ยง 200 องศา ในเวลาเดียวกัน การเพิ่มขึ้นของขนาดวาล์วจาก 6.0 เป็น 10 มิลลิเมตร (จาก 0.2 เป็น 0.4 นิ้ว) เครื่องยนต์สามารถส่งกำลังออกมาอย่างมหาศาล

พลังของเครื่องยนต์ V6 ความจุ 2.9 ลิตร พร้อมระบบจ่ายเชื้อเพลิง TFSI นั้นเทแรงบิดไหลไปสู่เพลาข้อเหวี่ยงที่ต่อเชื่อมกับเกียร์ ZF แล้วส่งกำลังไปที่เพลาขับ 2 ชุด (หน้า-หลัง) ผ่านระบบขับเคลื่อนล้อ 4 ล้อ quattro ที่เชื่อมต่อการทำงานกับระบบเกียร์ 8 สปีด ในสภาวะการขับขี่ปกติ ระบบจะส่งกำลังไปที่เพลาล้อหลังมากเป็นพิเศษ โดยส่งแรงบิด 60 เปอร์เซ็นต์ไปยังเพลาหลัง และอีก 40 เปอร์เซ็นต์ไปยังเพลาหน้า และเมื่อเกิดการลื่นไถลที่ล้อข้างใดข้างหนึ่ง แรงบิดที่เทไปยังล้อนั้นจะถูกปรับลดทันทีโดยอัตโนมัติ ตอบสนองต่อการสูญเสียแรงยึดเกาะอย่างรวดเร็ว Quattro จะถ่ายแรงบิดไปยังล้อฝั่งตรงข้ามเพื่อเพิ่มเสถียรภาพการทรงตัว ระบบ Quattro สามารถเทแรงบิดสูงถึง 70 เปอร์เซ็นต์ไปยังด้านหน้า หรือเทแรงบิด 85 เปอร์เซ็นต์ไปที่เพลาล้อหลัง ทั้งหมดจะถูกควบคุมผ่านระบบรักษาเสถียรภาพ ESC และระบบ wheel-selective torque control

การควบคุมแรงบิดแบบอิสระทั้งสี่ล้อด้วยกลไกไฟฟ้าในระบบ Quattro ออกแบบให้สามารถใช้งานได้กับผิวถนนทุกประเภท เมื่อขับรถด้วยโหมด Dynamic ล้อที่อยู่ด้านในของโค้งจะถูกควบคุมแรงบิดผ่าน Electronic Stabilization Control (ESC) ซึ่งจะเป็นการเพิ่มแรงบิดให้กับล้อด้านนอกของโค้งด้วยภาระการยึดเกาะที่สูงขึ้น ความแตกต่างของแรงขับเคลื่อนที่แปรผันในแต่ละล้อทำงานอิสระจากกัน ช่วยปรับให้รถสามารถเข้าโค้งด้วยความเร็วและมุมของพวงมาลัยที่มีความเที่ยงตรงแม่นยำ ผลลัพธ์ที่ได้คือความคล่องตัวและการทรงตัวที่เป็นกลางในโค้ง ความแตกต่างของชุดขับเคลื่อน 4 ล้อ Quattro sport พร้อมการปรับจูนเฉพาะของรุ่น RS ช่วยทำให้ระบบตอบสนองต่อการทำงานได้รวดเร็วขึ้นเมื่อคนขับเร่งความเร็ว ชุดกระจายแรงบิดระหว่างล้อทำหน้าที่อย่างแข็งขัน เพิ่มแรงฉุดลากอย่างเต็มที่ และเพิ่มเสถียรภาพด้วยการควบคุมของ ESC เมื่อเร่งความเร็วในช่วงปลายโค้งก่อนออกสู่ทางตรง แรงบิดจะถูกส่งไปที่ล้อหลังด้านนอกของโค้ง ในกรณีที่ผู้ขับใช้ความเร็วมากจนเกินไป ชุดเฟืองท้ายไฟฟ้า จะถ่ายแรงบิดไปที่ล้อด้านในของโค้งเพื่อสร้างแรงยึดเกาะ

โหมดขับเคลื่อน Audi drive select dynamic จัดมาให้ถึง 5 โหมด เช่น comfort, auto, dynamic, individual รวมถึงโหมดจัดหนักอย่าง RS-specific RS1 และ RS2 modes เป็นระบบการจัดการแบบไดนามิกที่เข้ามาควบคุมการทำงานของเครื่องยนต์, เกียร์, พวงมาลัย ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Quattro, เสียงเครื่องยนต์ และการทำงานของระบบปรับอากาศอัตโนมัติ โหมด RS2 ที่ปรับแต่งได้นั้น ผู้ขับสามารถปิดระบบควบคุมการทรงตัวอิเล็กทรอนิกส์ (ESC) อย่างรวดเร็วเพียงแค่กดปุ่ม Audi RS4 Avant มีระบบช่วยเหลือผู้ขับมากกว่า 30 ระบบ เน้นย้ำถึงคุณลักษณะ ความเป็นยานยนต์ไฮเทครุ่นท็อปสุดของโมเดล A4 Avant รวมถึงระบบปรับตั้งความเร็วอัตโนมัติ Adaptive Cruise Control พร้อมฟังก์ชัน Stop & Go ระบบสัญญาณเสียงแจ้งเตือนการเปลี่ยนเลนเมื่อมีรถอยู่ข้างๆ หรือการเตือนในลักษณะต่างๆ เพื่อความปลอดภัยสูงสุด

รหัสตัวถัง B9 เมื่อถูกนำมาโมโดย Audi Sport ทำให้รถแวนหน้าตาบ้านๆ กลายเป็นจักรกลที่มีสมรรถนะเหลือรับประทาน ในราคาเฉียดๆ 6 ล้าน คุณสามารถซื้อ RS4 / RS 5 ที่แรงสูสีกับ M4 Competition รถคู่แข่งที่มีราคา 9,999,000 บาท การอัปเกรดอุปกรณ์ในระบบขับเคลื่อนและชุดแอร์โรพาร์ท ไม่ทำให้ Avant มีชุดแต่งที่รกรุงรัง ชิ้นส่วนรีดและดักอากาศเรียบสนิทประสานไปกับตัวถังอย่างกลมกลืน แตกต่างจาก Body สแตนดาร์ดเพียงแค่ไม่กี่จุด ที่โดนใจก็คือโป่งข้างตัวถังบริเวณซุ้มล้อหน้า-หลังที่ดึงออกมาพอดิบพอดีไม่ได้มากจนเกินไปแล้วทำให้ดูน่าเกลียด การออกแบบที่ดีทำให้ระบบแอร์โรไดนามิกส์ใน A4 Avant เดิมๆ นั้นดีอยู่แล้ว เนื่องจากแบรนด์สี่ห่วงมีการลงทุนกับอุโมงค์ลมด้วยเงินมหาศาล RS4 Avant มีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศ 0.32 (cd 0.32) ทรงแบบรถแวกอนดูเหมือนคุณกำลังขโมยรถภรรยาออกมาขับ ส่วนสีเขียว Sonoma Green ก็คล้ายกับงูเขียวหางไหม้ที่มีพิษร้ายกาจ การใช้โหมด Comfort ขับด้วยความเร็วต่ำในเมือง คุณแทบจะไม่รู้สึกว่ารถคันนี้มันมีพิษสงตรงไหน เมื่อใช้ความเร็วต่ำ พวงมาลัยไดนามิกส์ปรับน้ำหนักให้สอดรับกับความเร็วที่ใช้ในขณะนั้น ระบบบังคับเลี้ยวไฟฟ้าที่ชาญฉลาด พร้อมกลไกของวาว์ลที่อยู่ในปั๊ม คอยผ่อนสั้นผ่อนยาวให้กับน้ำหนักของพวงมาลัยได้ดี ขับช้า น้ำหนักของพวงมาลัยใน RS4 หนักกว่า A4 Avant แค่นิดเดียวเท่านั้น ทำให้เกิดความสบายในการขยับเข้า-ออกจากที่คับแคบ กล้องกับเซนเซอร์รอบคันช่วยทำให้การขับถอยหลังมีความปลอดภัยสูง ด้วยระบบที่เข้ามาคอยประคับประคองการขับในเมือง เช่น ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุแบบพื้นฐาน (Audi pre sense basic) ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุด้านหลัง (Audi pre sense rear) ระบบแจ้งเตือนจุดอับสายตาเมื่อเปลี่ยนเลน (Lane change assist) ระบบแจ้งเตือนสภาพแวดล้อมด้านข้างและด้านท้ายรถเมื่อจะเปิดประตูลงจากรถ (Exit warning) ระบบแจ้งเตือนสภาพแวดล้อมด้านข้างและด้านท้ายรถเมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง (Rear cross-traffic assist) เซนเซอร์หน้า-หลังช่วยในการนำรถเข้าจอด กล้องแสดงภาพด้านหลัง ขณะถอยจอด เรียกว่าให้กันมาแบบคุ้มค่าตัวเลยทีเดียว 

ช่วงล่าง RS Sports เป็นโช้คอัพและสปริงแบบมาตรฐาน ส่วนออปชันเสริม ที่จะต้องจ่ายเพิ่มหากอยากได้ เป็นกลไกของโช้คที่เรียกว่า Dynamic Ride Control (DRC) นั่นคือไม้ตายของค่าย Audi ในการจัดการกับองคาพยพขณะขับเคลื่อนทั้งในย่านความเร็วต่ำและหวดเต็มข้อ เมื่อออกทางไกลไปแถวๆ เขาโจก อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี RS4 วิ่งเร็วอย่างเนียนและมีอาการกระด้างน้อยมาก การเซตช่วงล่างนั้นคือหัวใจของ Audi เพื่อปรับให้ระบบรองรับของรถทำหน้าที่ได้เข้าขากับชุดขับเคลื่อนสี่ล้อ Quattro สำหรับโช้คอัพไฟฟ้าออปชันเสริม Dynamic Ride Control (DRC) อธิบายการทำงานของมันให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นก็คือ เป็นช่วงล่างแบบ Adaptive Suspension ติดตั้งโช้คไฟฟ้าที่ควบคุมการทำงานด้วยคอมพิวเตอร์จากซอฟต์แวร์ที่มีความซับซ้อน โดยใช้สมองกลไฟฟ้าในการควบคุมการเปิดของวาว์ลในกระบอกโช้ค ระดับการทำงานของวาว์ลมีผลโดยตรงกับการหน่วงในการยุบตัวหรือเด้งกลับ หรือ Bump & Rebound ของกลไกภายในตัวกระบอกโช้ค DRC จะปรับให้เกิดความหนึบและนิ่มนวลเมื่อวาว์ลเปิดออกจนสุด ของเหลวภายในกระบอกโช้คระหว่างผนังกั้นสองตำแหน่งจะไหลมาไปมาได้อย่างสะดวก ในทางกลับกันเมื่อใช้โหมดสูงสุดและเพิ่มความเร็วในการขับ การตอบสนองของโช้คจะหนึบแน่นขึ้นเมื่อวาว์ลเปิดการทำงานน้อยลง โช้คอัพทั้งสี่ แยกการทำงานอย่างอิสระด้วยคำสั่งของ ECU ที่ประมวลผลจากพฤติกรรมการขับและโหมดของการขับเคลื่อน เมื่อขับเรื่อยๆ ช่วงล่างก็นิ่มใช้ได้ ไม่ค่อยกระด้าง แต่เมื่อใดที่เกิดอาการคัน กดไปที่โหมด RS1 หรือ RS2 วาว์ลในกระบอกโช้คจะทำหน้าที่ปรับให้โช้คหนืดขึ้น เนื่องจาก RS4 เป็นรถสองบุคลิก มีให้ทั้งความสบายในชีวิตประจำวันและแรงสุดลิ่มในสนามแข่ง 

พวงมาลัยคืออุปกรณ์ที่คุณจะต้องจับไปตลอดการขับและถ้าทำออกมาไม่ดีก็คงเสียความรู้สึก RS4 ติดตั้งพวงมาลัยไฟฟ้า ทำงานแปรผันไปตามความเร็ว (Dynamic steering) หุ้มรอบวงด้วยหนังกลับ Alcantara ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังจับพวงมาลัยของรถแข่ง! การเร่งความเร็วที่เต็มไปด้วยความมั่นคงในโหมด RS1 เกิดจากการเซตช่วงล่าง การทำงานของชุดกระจายแรงบิด Quattro และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ ชุดบังคับเลี้ยวสุดแม่น Dynamic steering การปรับอัตราทดของพวงมาลัยขึ้นตรงกับสปีดความเร็วและแรง G เมื่อใช้โหมดสูงสุดและขับเร็ว พวงมาลัยจะปรับน้ำหนักให้เพิ่มมากขึ้น เป็นค่าที่ไม่คงที่และมีการผกผันอยู่ตลอดเวลา ทั้งการเร่ง เลี้ยว เบรก ความแม่นยำของพวงมาลัยไฟฟ้าใน RS4 ทำให้สามารถเล็งไปยังส่วนปลายทางออกของโค้งได้อย่างไม่มีขาดหรือเกิน ในย่านความเร็วสูง พวงมาลัยจะขึงตรึงแน่นจนทำให้เกิดความมั่นใจ และกล้าที่จะเติมคันเร่งลงไปอีกจนสุด! RS4 Avant เป็นรถที่เร่งความเร็วทางตรงได้อย่างเฉียบคม มีให้คุณทั้งกำลังและความนิ่งในการพุ่งทะยานไต่ระดับความเร็วคล้ายลูกธูน แรงดึงหนักหนาสาหัสเหมือนไม่มีวันหมด จากแรงบิดมหาศาลที่ผลิตออกมาจากเครื่อง V6 ทำให้หาถนนโล่งๆ ไว้ปลดปล่อยพลังได้ยากเต็มทน พวงมาลัยถ่ายทอดสภาพถนน ผ่านยาง 275 /30ZR20 ได้ดีกว่า Audi ทุกรุ่นที่ผมเคยขับ แรงขืนตัวเมื่อล้อและยางพยายามสร้างแรงยึดเกาะกับโค้ง เปลี่ยนเป็นแรงดึงของพวงมาลัยที่ให้ความรู้สึกตื่นเต้นหวาดเสียว แรงจากเพลาขับหน้า-หลังท่ีส่งลงล้อทั้งสี่ ความรู้สึกขณะเบรกหนักๆ การควบคุมเชิงแนวดิ่งของระบบรองรับ ทั้งหมด นับว่าทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม 

ในฐานะที่เป็นรถ RS เวลาโยนโค้งเล่นแรงๆ รถมีอาการเหวี่ยงตัวน้อยมาก อาการโยนตัวซ้ายที ขวาที ที่เคยเกิดขึ้นกับ Ford Mustang GT 5.0 ลิตร มีน้อยมากใน RS4 ถ้าอัดแรงๆ บนทางผิวเรียบอาการดังกล่าวแทบจะไม่ปรากฏออกมาให้รู้สึก เร่งจากจุดหยุดนิ่งด้วยการกดคันเร่งเต็มเหนี่ยว หน้ารถไม่มีอาการเชิดหรือยกขึ้น เมื่อใช้เบรกหนักๆ ส่วนหน้าของรถก็ไม่ได้ทิ่มลงดิน เรียกว่าไปกันทั้งกระดาน หรือไปแบบทั้งเพลต ทำให้ควบคุมรถในย่านความเร็วสูงได้ง่ายกว่ารถแรงของแบรนด์คู่แข่ง ยกตัวอย่างง่ายๆ M4 Competition ก็ยังยัด XDrive มาให้กับลูกค้า รวมถึง M3 Touring ที่จะโผล่ตามออกมาในเร็ววันนี้ ซึ่งถือเป็นมวยถูกคู่เมื่อนำมาเปรียบกับ RS4 Avant ก็ยังมีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ M XDrive ที่เอาไว้ต่อกรกับมวยเล็กหมัดหนักอย่าง RS สำหรับ RS4 เป็นรถสปอร์ตแวกอนที่ปรับระดับช่วงล่างเองไม่ได้ แต่มันมีความเป็นกลางสูง ไม่สะเทือนหรือกระเด้งกระดอนมากจนเกินไป ขับแล้วสบายตัวกว่าซุปเปอร์คาร์ รถมีจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำจากการปรับจูน แถมด้วยระบบขับเคลื่อนสี่ล้อที่เป็นตำนานมากว่า 40 ปี ทำให้เกาะถนนดีเอาเรื่อง 

การจัดเรียงอากาศขั้นสูงปรากฏให้เห็นที่สปอยเลอร์หน้า บริเวณช่องรับอากาศด้านข้าง เสาหน้าที่เรียวบาง โป่งข้างที่เผยออกมามากกว่า A4 Avant รุ่นมาตรฐาน ล้อลายกงจักร ที่ช่วยระบายความร้อนให้กับคาร์ลิปเปอร์และจานเบรก ในช่วงความเร็วสูง RS4 ให้ความบันเทิงทางอารมณ์ได้ดี และมีการขับที่เหนือกว่ารถคู่แข่งในด้านความสบายกับการทรงตัว เช่นเดียวกับอาการโคลงไปโคลงมาของตัวรถที่มีน้อยมาก หากไม่ได้วิ่งผ่านผิวถนนที่ไม่เรียบ ก็แทบจะไม่ปรากฏออกมาให้สัมผัส สิ่งที่ทำให้รู้สึกประหลาดใจก็คือ พลังของเครื่องยนต์ที่คุณสามารถอัดเต็มที่ได้อย่างเร้าใจ โดยไม่มีอาการสะดุด น้ำหนักส่วนใหญ่ที่เฉลี่ยลงตรงกลางรถ ยิ่งทำให้มันวิ่งในย่านความเร็วสูงได้ดีเอามากๆ แม้จะโดนลมปะทะด้านข้างมันก็ยังนิ่งใช้ได้ ผมลองอัดเข้าโค้งโดยใช้การเบรกแบบช้าที่สุด แล้วหักพวงมาลัยออกอย่างฉับพลัน จากนั้นก็เดินคันเร่งเต็มเหนี่ยว คุณสามารถทำแบบนี้ได้ทั้งวันใน RS4 ตราบใดก็ตามที่ยางยังอยู่ในสภาพดีก็ขอให้เล่นกันเต็มที่ไปเลย การเข้าออกตามลักษณะของไลน์ในโค้งเป็นไปอย่างธรรมชาติ ไหลลื่นและเกาะหนึบ แต่เตือนไว้ก่อนว่า ถ้าคุณทำรถขับสี่ Quattro โดยเฉพาะรถในตระกูล RS หลุดโค้ง ก็แทบจะไม่มีระยะเวลาหรือพื้นที่เหลือให้ทำการแก้ไขได้เลย อย่าขับจนใกล้กับขีดข้อจำกัดของตัวรถ หากข้ามผ่านเส้นนั้นไปก็ตัวใครตัวมันนะครับ!  

Quattro ใน RS4 Avant จัดสรรแรงบิดเฉลี่ย ล้อหน้า – หลัง ในสภาวะการขับปกติที่ 40:60 (หน้ามีแรงบิด 40% หลังมีแรงบิด 60%) ระบบ Quattro จะแบ่งกำลังแรงบิดจากเครื่องยนต์ผ่านเกียร์ ZF 8 สปีด ลงไปที่เพลาหน้า 40% และถ่ายไปที่เพลาหลังอีก 60% ที่เหลือ การผกผันแรงบิดไปยังล้อทั้งสี่จะเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาจาก ECU ที่รับข้อมูลของความเร็ว แรง G การใช้เบรก และโหมดการขับเคลื่อน Quattro สามารถเทแรงบิดลงล้อหน้าได้มากถึง 70% (70-30) หรือกลับกัน มันสามารถกระจายแรงบิดลงล้อหลังได้มากถึง 85% (15-85) เพื่อสร้างสมดุลของการยึดเกาะและเสถียรภาพในการขับเคลื่อน อุปกรณ์ที่รับหน้าที่กระจายแรงบิดจากชุดเกียร์ ZF คือ ชุดขบวนเฟือง Crown Gear จากเดิมที่ใช้เฟืองแบบ Torsen มาเป็นแบบ Crown Gear จากพัฒนาการในระบบขับเคลื่อนของ Audi ที่เน้นในด้านประสิทธิภาพและการตอบสนองของการกระจายแรงบิดลงไปยังล้อทั้งสี่ข้างแบบอิสระ ชุด Quattro แบบใหม่ยังมีน้ำหนักเบาขึ้น Crown Gear ทั้งลูกมีน้ำหนักประมาณ 4.8 กิโลกรัม การกระจายแรงบิดจะเกิดอย่างต่อเนื่อง ตลอดระยะเวลาของการขับเคลื่อน ที่เยี่ยมยอดก็คือ การทำงานที่ไหลลื่นของระบบส่งกำลัง ZF และชุด Quattro ในทุกย่านความเร็ว โดยปราศจากเสียงการทำงาน ไม่ว่าคุณจะตั้งใจฟังเสียงของกลไกภายในยังไงก็ไม่ได้ยิน แต่ที่ได้ยินอย่างชัดเจนก็คือ เสียงเครื่องยนต์ V6 ที่ครางในรอบสูง ท่อถูกปรับให้ส่งเสียงได้ไพเราะจับใจ เมื่อวาล์วภายในท่อถูกเปิดออกจนสุดด้วยโหมด RS1 พร้อมเสียงระเบิดของท่อท้ายขณะทำการเปลี่ยนเกียร์ เมื่อลากจนมาถึงรอบสูงสุดจนไฟชิฟไลต์กะพริบรัวๆ ให้คุณเปลี่ยนเกียร์เสียที! 

ผ่านไปแล้วกว่า 7 ชั่วโมง จากการอัดแบบผ่อนสั้นดันยาว จนมาถึงเขตหุบเขาสูงในกาญจนบุรีพร้อมกับสายฝนที่โปรยปรายลงมาอย่างหนัก แต่ผมยังไม่สาแก่ใจ RS4 เป็นรถที่มีความมุ่งมั่นในการเอาชนะสูงมาก ประสิทธิภาพในการเกาะถนนและการลดความเร็วอยู่ในระดับที่พูดได้ว่า เหนือชั้น ระบบควบคุมการทรงตัว และชุด Quattro ช่วยให้รถทะยานผ่านโค้งโดยไม่มีอาการสะดุด ชะงักงัน หรืองกๆ เงิ่นๆ คุณสามารถขับ RS4 เข้าโค้งด้วยความเร็วที่หลากหลาย ขึ้นตรงกับฝีมือในการควบคุมทิศทางและสภาพยาง ความสามารถในการเข้าโค้ง กลายเป็นเอกลักษณ์ของ Quattro การไล่เปลี่ยนเกียร์ในรอบสูงของชุดเกียร์ ZF เป็นไปอย่างนิ่มนวล ขัดแย้งกับความเร็วที่เพิ่มขึ้นจนน่าตกใจ RS4 เป็นรถที่ดึงหนักและนาน ในแบบที่เครื่อง V6 ทวินเทอร์โบควรจะเป็น เครื่องยนต์หมุนเร็วจี๋ในรอบสูงด้วยความเสถียรที่มากกว่าเครื่องสูบเรียง ส่งผลไปถึงความนิ่งของตัวรถขณะทำความเร็ว หากเป็นคนที่จับความรู้สึกได้ดีแบบเหนือมนุษย์ คุณจะรู้สึกได้ถึงการทำงานของ Quattro ที่เพิ่มหรือลดแรงบิดไปมาระหว่างล้อทั้งสี่อยู่ตลอดเวลาโดยเฉพาะเส้นทางขึ้นลงภูเขาสูงชัน แรงบิดถูกจัดให้ตามสถานการณ์เฉพาะหน้า บางครั้งแรงบิดก็เทลงไปที่ล้อหน้า เพื่อช่วยดึงหน้ารถออกจากโค้ง บางจังหวะเมื่อออกตัวจากจุดหยุดนิ่งอย่างรวดเร็ว แรงบิดมากถึง 85% เทลงไปที่ล้อหลัง ทำให้ล้อหน้ามีแรงบิดแค่ 15 % ส่งผลให้ล้อหน้ามีแรงต้านทานน้อยลง เพื่อส่งให้การเร่งความเร็วทำได้อย่างน่าประทับใจ ตัวเลข 4.1 จากการเร่งความเร็ว 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง บ่งบอกถึงความมุ่งมั่นในการเอาชนะของ RS4 ได้เป็นอย่างดี

เล่นมาทั้งวัน ก็ย่อมหมดเรี่ยวแรงบ้างเป็นเรื่องธรรมดา ผมลดความเร็วลงมาให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ปรับโหมดจาก RS1 ไปเป็น Comfort เมื่อวาล์วในระบบระบายไอเสียปิดการทำงานลง เสียงท่อจะเบาลงจนแทบจะแปลงร่างเป็น A4 Avant จากความเงียบของท่อระบายท้าย RS4 แม้จะดุดันร้ายกาจ แต่เมื่อเอามาขับเรื่อยๆ แบบกินลมชมวิว ก็มีความนิ่มหนึบที่ใช้ได้ ขับสบายตัวในย่านความเร็วต่ำ เป็นรถแวนที่มีความยืดหยุ่นสูงมาก คุณสมบัติสูงสุดของรถรุ่นนี้ก็คือ ประสิทธิภาพในด้านกำลังแรงบิด การเข้าโค้งผสานการควบคุมน้ำหนักของพวงมาลัยที่สุดยอด การกระจายแรงบิดแบบผกผันต่อเนื่องอย่างเนียน การควบคุมต่างๆ ของระบบรักษาเสถียรภาพเพื่อทำให้คุณเข้าโค้งเดิมในสนามพีระได้เร็วขึ้นและนิ่งอย่างเหลือเชื่อเมื่อเร่งทางตรง

รุ่น RS มีออปชันเพียบ แรงและเร็วกว่ารุ่นมาตรฐานแบบเทียบไม่ติดหรือพูดง่ายๆ ว่า คนละชั้นกับ A4 Avant ที่ผมเพิ่งจะขับยาวไปเมื่อเดือนก่อน เกียร์ ZF 8 สปีด คือศักยภาพระดับสูงของระบบส่งกำลังในปัจจุบัน ซึ่ง M4 ใหม่ก็ใช้ชุดเกียร์ที่คล้ายกัน Audi Sport ทำทุกอย่างในรถรุ่นนี้ เพื่อเฉลิมฉลองให้กับ 40 ปีของการถือกำเนิดระบบขับเคลื่อนสี่ล้อในแบรนด์สี่ห่วง เป็นรถสปอร์ตแวกอนโคตรบ้าพลังแต่ขับง่าย มีจุดเด่นอย่างที่ควรจะเป็นและคุ้มกับเงิน 5,899,000 บาท ที่ต้องจ่ายออกไป ประสิทธิภาพที่ดีงามของมันไม่ใช่แค่สิ่งเดียวที่ทำให้ RS4 ขายได้ ในทางกลับกัน เสน่ห์ของ RS  รุ่นนี้ก็คือ ความเรียบง่ายแบบรถครอบครัวที่พร้อมจะวิ่งบี้ติดท้ายรถซุปเปอร์คาร์ สร้างอารมณ์ความเร้าใจด้วยเครื่อง V6 ทวินเทอร์โบที่อัดแน่นไปด้วยพลังงาน เกียร์โคตรแม่นและทำงานฉับไวราวสายฟ้าฟาด เบรกดี แต่อยากได้คาร์บอนเซรามิกเบรกไปเลยหมดเรื่อง (โดนค่าเบรกอีกหลายแสน) หลังผ่านไปสองวัน ผมนำ RS4 Avant ไปคืนที่สำนักงานใหญ่แถวเลียบด่วน แล้วขับ Ford FX4 MAX กลับบ้าน RS4 แวกอน เป็นรถที่ทำให้รู้สึกประทับใจแบบไม่มีข้อกังขาใดๆ ทั้งสิ้น เอาจริงสารภาพตามตรงก็คือ อยากได้ละครับ. 

Audi RS 4 Avant Technical data

RS 4 Avant quattro

แบบเครื่องยนต์ เครื่องยนต์เบนซิน แบบ V6 ระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง

แบบฉีดตรง (direct injection), ทวินเทอร์โบชาร์จ

จำนวนวาล์ว 4 วาว์ลต่อสูบ 24 วาว์ล

ปริมาตรกระบอกสูบ 2894 ซีซี

แรงม้าสูงสุด 331 กิโลวัตต์ 450 แรงม้า ที่ 5,700 – 6,700 รอบต่อนาที

แรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตร ที่ 1,900 – 5,000 รอบต่อนาที

ระบบส่งกำลัง เกียร์อัตโนมัติ ZF tiptronic 8 จังหวะ

ระบบขับเคลื่อน ขับเคลื่อนสี่ล้อ

อัตราเร่ง 0-100 กม. / ชม. 4.1 วินาที

ความเร็วสูงสุดโดยประมาณ 250 กม. / ชม.

ระบบตัดการทำงานเครื่องยนต์อัตโนมัติ (Start/stop system) 

พวงมาลัยไฟฟ้า

เบรกหน้า ระบบเบรกแบบ RS พร้อมตกแต่งคาลิปเปอร์เบรกด้วยสีแดง

เบรกหลัง ระบบเบรกแบบ RS พร้อมตกแต่งคาลิปเปอร์เบรกด้วยสีแดง

พื้นที่เก็บสัมภาระ 495 – 1,495 ลิตร

ความจุถังน้ำมัน 58 ลิตร

ล้อ 20 นิ้ว ขนาด 9J x 20

ยาง ขนาด 275/30 R20 Hankook Ventus S1 evo² เทคโนโลยี sound absorber® 

ยางอะไหล่ o

Standard specifications

ระบบความปลอดภัย RS 4 Avant quattro

ถุงลมนิรภัยคู่หน้า 2 ตำแหน่ง สำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร 

ถุงลมนิรภัยด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัยด้านข้าง 

ระบบเตือนการคาดเข็มขัดนิรภัย 

ระบบเบรกมือไฟฟ้า 

ระบบล็อกเบรกขณะหยุดนิ่ง (Audi hold assist) 

ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-lock braking system) 

ระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronic brake distribution) 

ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TCS (Traction control system) 

ระบบควบคุมการทรงตัว ESC (Electronic control system with

stabilization function)

ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุแบบพื้นฐาน (Audi pre sense basic) 

ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุด้านหลัง (Audi pre sense rear) 

ระบบแจ้งเตือนจุดอับสายตาเมื่อเปลี่ยนเลน (Lane change assist) 

ระบบแจ้งเตือนสภาพแวดล้อมด้านข้างและด้านท้ายรถเมื่อจะเปิด

ประตูลงจากรถ (Exit warning)

ระบบแจ้งเตือนสภาพแวดล้อมด้านข้างและด้านท้ายรถเมื่อเข้าเกียร์

ถอยหลัง (Rear cross-traffic assist)

เซนเซอร์หน้า-หลังช่วยในการนำรถเข้าจอด 

กล้องแสดงภาพด้านหลัง ขณะถอยจอด 

จุดยึดเบาะนั่งสำหรับเด็ก 

ชุดปฐมพยาบาล

อุปกรณ์มาตรฐาน RS 4 Avant quattro

ช่วงล่างแบบ RS Sports 

ระบบท่อไอเสียแบบ RS sports 

ระบบพวงมาลัยแปรผันตามความเร็ว (Dynamic steering) 

ระบบเลือกโหมดการขับขี่ (Audi drive select) 

ชุดตกแต่งภายนอกแบบ RS 

ชุดตกแต่งภายนอกแบบ Glossy Black RS พร้อมตกแต่ง Audi Ring

และชื่อรุ่นด้วยสี Glossy Black

ชุดตกแต่งภายในแบบ RS 

หลังคาพาโนรามิคเลื่อนเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า 

ราวหลังคาตกแต่งด้วยสีดำ

ไฟหน้าแบบ Matrix LED 

ไฟ daytime สำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED 

กระจกมองหลังพร้อมระบบตัดแสงอัตโนมัติ 

ระบบเปิด-ปิดไฟหน้า และปัดน้ำฝนอัตโนมัติ 

กระจกมองข้างตัดแสงและปรับ-พับไฟฟ้า พร้อมฟังก์ชันบันทึกตำแหน่ง 

ด้านข้างของคอนโซลตรงกลางและพวงมาลัยหุ้ม Alcantara สีดำ ตกแต่งด้วยด้ายสีแดง 

ที่วางแขนข้างประตูหุ้มหนัง Fine Nappa ตกแต่งด้วยด้ายสีแดง 

คันเกียร์หุ้ม Alcantara สีดำ

สายเข็มขัดนิรภัยสีดำตกแต่งขอบด้วยสีแดง 

ตกแต่งห้องโดยสารภายในด้วยลาย Matte Carbon 

พรมในห้องโดยสารด้านหน้าสีดำ ตกแต่งด้วยด้ายสีแดง

พร้อมสัญลักษณ์ RS

ความสะดวกสบาย

เบาะนั่งหุ้มหนัง Fine Nappa 

เบาะนั่งคู่หน้าแบบ RS Sports ตกแต่งแบบ honeycomb พร้อม

ฟังก์ชันนวดเพื่อการผ่อนคลาย 

เบาะนั่งคู่หน้าปรับไฟฟ้า พร้อมระบบปรับดันหลัง และฟังก์ชันบันทึก

ตำแหน่งเบาะนั่งผู้ขับขี่ 

เบาะผู้โดยสารด้านหลังพับได้ 

ระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติควบคุมอุณหภูมิแยกอิสระ 3 โซน 

พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันหุ้ม Alcantara แบบสปอร์ตท้ายตัด พร้อม

สัญลักษณ์ RS และ Paddle shift

ระบบควบคุมความเร็วคงที่ (Cruise control) 

ม่านบังแดดที่กระจกประตูด้านหลังซ้าย-ขวา 

กุญแจแบบ Comfort key พร้อมระบบเปิด-ปิดบานประตูท้าย

โดยไม่ต้องใช้มือ

ระบบข้อมูลและความบันเทิง RS 4 Avant quattro

ระบบเครื่องเสียงระดับพรีเมียม Bang & Olufsen พร้อมระบบเสียง 3 มิติ o

ระบบ MMI Navigation plus พร้อมหน้าจอแบบสัมผัส (MMI touch)

ขนาด 10.1 นิ้ว 

ระบบ Audi smartphone interface 

ระบบแสดงข้อมูลการขับขี่บนกระจกบังลมหน้า (Head-up display) 

จอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ Virtual cockpit plus ขนาด 12.3 นิ้ว 

รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth 

ช่องเชื่อมต่อ USB 

ไฟเรืองแสงในห้องโดยสารแบบปรับสีได้ (Contour/ambient lighting)

อาคม รวมสุวรรณ

E-Mail [email protected]

Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom

https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-525369247505358/