ย้อนอดีต จุดเริ่มต้นและการถือกำเนิดของระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ QUATTRO ในรถยนต์ AUDI – ไทยรัฐ

มีเพียงวิศวกร Jörg Bensinger และ Roland Gumbert เท่านั้นที่ขายแนวคิดการสร้างรถเล็กพร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อสมรรถนะสูงให้กับ Piëch, อดีตวิศวกรรถแข่งของ Mercedes Hans Nedvidek และหัวหน้าโครงการ Walter Treser รวมทั้งช่างเครื่องฝีมือดีอีกสองสามคนในแผนก R&D รู้ดีถึงแผนการอันทะเยอทะยานของ Piëch ในการที่จะเอาชนะทั้ง BMW และ Mercedes-Benz ด้วยรถที่มีระบบขับเคลื่อนเหนือกว่า กลุ่มคนเหล่านั้น ซึ่งกำลังทำงานพัฒนารถรุ่นใหม่ต้องรับผิดชอบในการสร้างรถทั้งหมด ไม่ว่ามันจะประสบความสำเร็จ หรือพังไม่เป็นท่า พวกเขาจะต้องเผชิญกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นด้วยตัวเอง

Piëch ซึ่งเป็นหลานชายแท้ๆ ของ Dr. Ferdinand Porsche วิศวกรเยอรมันที่คิดค้นรถยอดนิยมอย่าง Volkswagen Beetle นับเป็นคนหนุ่มหัวก้าวหน้าในขณะนั้น ความทะเยอทะยาน ต้องการที่จะเอาชนะแบรนด์คู่ต่อสู้ทางธุรกิจขายรถ ทำให้ Piëch รู้ดีว่าจะต้องทำอย่างไร ในการที่จะทำให้รถ Audi เหนือกว่ารถยนต์ของแบรนด์คู่แข่งที่มีความแข็งแกร่งทั้งไดนามิกส์ ความสวยงามและยอดขายที่สูงโด่ง Piëch เป็นคนที่มีแนวคิดหลักแหลม มีสายตายาวไกลไปถึงอนาคต และมองเห็นศักยภาพของทีมงาน ในการโจมตีรถคู่แข่งร่วมสัญชาติเยอรมนีทั้ง BMW และ Mercedes ที่กำลังได้รับความนิยมไปทั่วโลก รถคันนี้น่าจะเป็นยานยนต์คันแรกพร้อมระบบขับเคลื่อนทุกล้อ ถ้า Audi สามารถโน้มน้าวให้ Volkswagen เพิ่มทุน เพื่อการปรับปรุงศักยภาพ ในการเป็นได้ทั้งรถยนต์ใช้งานบนท้องถนนและความน่าเชื่อถือในฐานะผู้เข้าแข่งขัน World Rally Championship!

ความทะเยอทะยานที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ของ Piëch สำหรับการสร้างแบรนด์ Audi ใหม่ ซึ่งเคยเป็นผู้ผลิตรถยนต์แสนธรรมดาที่คนขายเนื้อและชาวนาในยุโรปต่างชื่นชอบ ด้วยการนำเสนอรถรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพ เป็นขั้นบันไดก้าวแรกในความพยายามตลอดระยะเวลา 41 ปี ในที่สุด รถยนต์ของ Audi ก็ไม่เป็นรอง Mercedes-Benz และ BMW อีกต่อไป รถยนต์บางรุ่นของ Audi ขับได้ดีกว่าและได้รับความนิยมมากกว่าทั้งในยุโรป เอเซียบางประเทศและในอเมริกาเหนือ

อย่างที่บอกว่า Piëch เป็นผู้บริหารระดับสูงที่มีวิสัยทัศน์ยาวไกล และเข้ารับตำแหน่ง R&D ของแบรนด์ Audi ในปี 1975 ในช่วงที่ไฟแห่งการทำงานกำลังลุกโชน หลังจากเข้ารับตำแหน่งใหม่ Piëch บอกกับนักออกแบบ Martin Smith ในการสัมภาษณ์งานว่า เขาต้องการให้ Audi จะเป็นมากกว่าผู้ผลิตรถยนต์บาวาเรียรายเล็กๆ

การบอกเล่าเรื่องราวจุดกำเนิดของระบบขับเคลื่อนสี่ล้อภายใต้ตราสัญลักษณ์สี่ห่วง ต้องย้อนกลับไปถึง Jörg Bensinger ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดหรือในฐานะบิดาของระบบ Quattro จุดเริ่มต้นเกิดขึ้นในปี 1962 ที่โรงงาน Porsche เมื่อ Bensinger ทำงานปรับแต่งรถ Porsche ในช่วงกลางปี 1962 เครื่องยนต์วางกลาง ขับเคลื่อนล้อหลัง ช่วงล่างแบบปีกนกคู่ดับเบิลวิชโบน ใน Porsche โมเดล 904 Bensinger กล่าวว่าการสร้างรถอย่าง 904 มีความน่าสนใจมากกว่า 911 ใหม่หรือ 356 ในการจัดการกับระบบขับเคลื่อนและไดนามิกส์หลังพวงมาลัย

สำหรับวิศวกรแชสซี ประสบการณ์ในโรงงาน Porsche กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความหลงใหลในรูปแบบไดนามิกส์ที่มีความแตกต่างกัน Jörg Bensinger เป็นพวกบีเมอร์อย่างแท้จริง ชอบรถที่มีการตอบสนองดีอย่าง BMW และมีรถตราใบพัดหลายคันที่เคยผ่านมือ Bensinger ยังร่วมงานกับ Mercedes ในเวลาต่อมา หลังจากทำงานร่วมกับ Porsche ซึ่งหมายความว่า Jörg Bensinger ใช้เวลากว่าทศวรรษเดินเข้าๆ ออกๆ ในบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ชั้นนำของเยอรมัน การทำงานกับรถยนต์เครื่องยนต์วางหน้าและขับเคลื่อนหลัง แต่โอกาสที่จะรุ่งใน Mercedes นั้นหาได้ยาก เนื่องจากลำดับชั้นตามอายุงาน ทำให้อาชีพการงานของเขาภายใต้ตราสัญลักษณ์ดาวสามแฉกต้องหยุดชะงักลง ในปี 1971

Bensinger ย้ายออกจาก Mercedes ไปที่ Audi เพื่อร่วมงานกับอดีตวิศวกรของ Mercedes-Benz ชื่อ Ludwig Kraus ซึ่งย้ายจากแบรนด์ตราดาวมาที่ค่ายสี่ห่วงเช่นเดียวกัน ที่ Audi พวกเขาเห็นแล้วว่า เครื่องยนต์ของรถ จะถูกวางเอาไว้ที่ด้านหน้าและขับเคลื่อนล้อหน้าทั้งหมดเสมอ!

เมื่อเห็นว่า Audi ไม่มีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อขายแม้แต่รุ่นเดียว Bensinger จึงลงมือทำการทดสอบครั้งแรกด้วยรถ Volkswagen Iitis ในฤดูหนาว ซึ่งเป็นรถทหารขับเคลื่อนสี่ล้อขนาดเล็ก ระบบขับเคลื่อน 4WD ใน Iltis ได้รับการพัฒนาและปรับปรุงโดย Audi

Bensinger ค้นพบอย่างรวดเร็วว่าในฤดูหนาวที่เย็นยะเยือกของฟินแลนด์ เจ้า Iltis ขนาด 56kW ที่ดูตลก สามารถฉีกหนีรถ Audi 80 ขับเคลื่อนด้วยล้อหน้าและมีกำลัง 127kW ได้อย่างง่ายดาย Bensinger มองเห็นจุดอ่อนด้านไดนามิกส์ของ Audi หากระบบขับเคลื่อนและช่วงล่างของรถไปกันคนละทิศละทาง แล้วจะมีแรงม้ามากกว่ารถคู่แข่งไปเพื่ออะไร

Bensinger คิดแล้วมองไปที่การสร้างรถสปอร์ตซีดานหรือแฮตช์แบ็ก ขับเคลื่อนสี่ล้อ พร้อมเครื่องยนต์ที่มีแรงฉุดลากสูง รถจะต้องมีพฤติกรรมการเข้าโค้งที่เหนือกว่าคู่แข่ง การสร้างรถที่มีระบบขับเคลื่อนและช่วงล่างที่จูนมาดี จะกลายเป็นทางออกที่สมบูรณ์แบบสำหรับ Audi ดูเหมือนพูดง่ายกว่าการลงมือทำ ในปี 1976 สี่ปีต่อมา Audi Quattro รุ่นแรกสุด ถูกเปิดตัวในงานเจนีวามอเตอร์โชว์ หลังจากนั้น Audi ก็เริ่มต้นการออกเดินทางเพื่อค้นคว้าปรับปรุงให้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อของตนเองมีประสิทธิภาพมากกว่าแบรนด์คู่แข่ง

เดือนมีนาคม ค.ศ. 1977 ทีมช่างกลุ่มเล็กๆ ของ Audi เข้าไปในแผนกเก็บชิ้นส่วนอะไหล่ของ VW และ Audi มีการนำชิ้นส่วนระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบถาวรจากรถทหาร VW Iltis มาติดตั้งในรถ Audi 80 (Iltis เป็นรถที่เกิดจากฝีมือการพัฒนาของ Audi ล้วนๆ) ใช้เครื่องยนต์เทอร์โบห้าสูบ 118kW จาก Audi 200 Turbo ปรับแต่งช่วงล่าง MacPherson struts ด้านหน้าและด้านหลัง (ด้านหลังเป็นชุดด้านหน้าของรถในยุค 80 ที่หมุนได้ 180 องศา) กล่องเกียร์ใหม่เข้ามาแทนที่กล่องเกียร์โง่ๆ ของ Iltis ใช้ Transfer cases เชื่อมต่อกับเกียร์ ซึ่งสามารถส่งกำลังได้ในสองทิศทางไปยังล้อหน้าและล้อหลัง

หลังจากนั้นก็ได้เวลาที่จะเปิดเผยรถต้นแบบต่อสายตาของผู้บริหารระดับสูงจาก Wolfsburg ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการได้รับการอนุมัติการผลิตอย่างเป็นทางการจากฝ่ายบริหารของ VW สำหรับรถยนต์ที่ต้องเหนือชั้นกว่ารถคู่แข่งในด้านการขับ

เดือนมกราคม ค.ศ. 1978 Bensinger ได้นำรถต้นแบบที่ใช้เครื่อง 5 สูบเทอร์โบ พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ขับทดสอบลึกเข้าไปในเทือกเขาแอลป์ของออสเตรีย การขับรถผ่าน Turracher Höhe ที่มีความสูง 1,795 เมตร เกี่ยวข้องกับการวิ่งผ่านถนนที่ชันที่สุดของยุโรป ถนนบางช่วง มีความลาดเอียงมากถึง 34 เปอร์เซ็นต์ ชันเกินกว่าจะเดินได้ เพื่อเป็นสักขีพยานในการทดสอบในครั้งนี้ พนักงานขายและการตลาดอาวุโสของ VW รวมถึง Dr. Werner Schmidt ผู้อำนวยการฝ่ายขายก็มายืนดูการทดสอบในครั้งนั้น Bensinger นำรถยนต์ Mercedes 280E รถ BMW 528i และ Audi 100 มาเป็นรถเปรียบเทียบ ทั้งหมดใส่ยางสำหรับฤดูหนาวเพื่อขับบนถนนที่สูงชันและปกคลุมด้วยหิมะ เมื่อผ่านไปได้นิดเดียว รถขับเคลื่อนล้อหลังเริ่มฟรีทิ้งไปต่อไม่ได้ แต่รถ Audi ที่ติดตั้งระบบขับเคลื่อนทุกล้อ วิ่งขึ้นไปบนทางลาดน้ำแข็งที่ชันอย่างน่ากลัวและเอาชนะรถยนต์ที่ขับเคลื่อนล้อหน้าและล้อหลังแบบเดิมได้อย่างง่ายดาย

ถึงอย่างนั้น Dr. Werner Schmidt ก็ยังไม่ค่อยมั่นใจ และมีข้อสงสัยว่าใครกันที่จะซื้อรถตัวอย่าง Homologate จำนวน 400 คัน ที่จำเป็นในการรับรองใน WRC การทดสอบเพิ่มเติมแสดงให้เห็นว่ามันเกือบจะเร็วพอๆ กับ Porsche 928 บนสนามแข่ง Hockenheim เลยทีเดียว ในที่สุด ตามทิศทางที่ได้วางเอาไว้อย่างแยบยลของ Piëch นายใหญ่ Toni Schmücker ประธาน Volkswagen ได้ขับรถทดสอบต้นแบบข้ามทุ่งที่ลาดชันและเต็มไปด้วยดินโคลนนอกเมือง Ingolstadt เพื่อค้นหาว่าพวกช่างของ Audi ทำให้รถยึดเกาะถนนได้อย่างไร ในสภาพที่รถขับเคลื่อนล้อหน้าไม่สามารถฟันฝ่าออกมาได้ หลังจากการขับทดสอบในป่า Schmücker ประทับใจและให้ไฟเขียวอนุมัติทันที!

ดีไซเนอร์ชาวอังกฤษ Martin Smith วัย 27 ปี เริ่มเข้าสู่เรื่องราวของระบบขับเคลื่อน Quattro สำหรับนักออกแบบอย่าง Martin Smith เขาน่าจะโด่งดังมาก ในฐานะผู้ออกแบบ Landspeeder X-34 ของ Luke Skywalker จากภาพยนตร์ Star Wars ภาคแรก แม้จะมีอาชีพเป็นดีไซเนอร์ที่บริษัท Opel และ Ford of Europe, Smith ยังเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ในฐานะผู้ออกแบบ Audi Quattro ซึ่งเป็นรถ Concept Car ในปี 1991 ของ Audi

Smith เข้าร่วมงานกับ Audi โดยออกมาจาก Porsche และ Ogle Design ในปี 1977 ในวงการนักออกแบบรถยนต์ Smith เป็นคนที่มีความรับผิดชอบและมุ่งมั่นสูง Smith บอกกับ Audi ว่ากำลังเดินทางไปร่วมงานด้วย สำหรับงานแรกของเขาในฐานะหัวหน้าฝ่ายออกแบบขั้นสูงและโครงการพิเศษอื่นๆ นั่นก็คือ การสร้าง Quattro

รถคูเป้รุ่น 80 ใกล้จะเสร็จแล้ว และมันเป็นงานดัดแปลงรถสองประตู ให้เป็นรถ Quattro ที่สวยงาม บทสรุปคือ การทำสิ่งที่ถ่ายทอดความคิดของรถสปอร์ตขับเคลื่อนสี่ล้อคันแรกของโลก Piëch ต้องการให้รถดูสปอร์ต มีเทคนิคแพรวพราวด้านการเข้าโค้ง และต้องดุดัน ในขณะเดียวกันก็ยังรักษาโครงสร้างเหล็กของรถรุ่น 80 Coupe ไว้ เพื่อเหตุผลด้านงบประมาณ Smith ทำงานกับโมเดลรถจำลอง ดินเหนียวสำหรับการปรับแต่งรูปทรง เปลี่ยนบังโคลน ปลายด้านหน้า กันชนหลัง และเพิ่มสปอยเลอร์หลัง หลังจากผ่านชั่วโมงทดสอบอันหนักหน่วงในอุโมงค์ลมที่โวล์ฟสบวร์ก งานออกมาดีและตรงกับที่ต้องการ ด้วยรูปลักษณ์ที่เคยเห็นในรถแข่ง แต่ไม่เคยเห็นบนรถถนน โป่งข้างติดเข้ากับบังโคลนโดยการตัดและเชื่อม ส่วนโค้งเล็กน้อยและเหลี่ยมมุมที่ลงตัวจากงานดีไซน์ ทำให้ Quattro มีลักษณะเฉพาะ

ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1978 volkswagen อนุมัติแผนการที่จะเข้าสู่สายการผลิตของ Audi ขับเคลื่อนทุกล้อ ด้วยโมเดลที่เรียกว่า Quattro ซึ่งเป็นชื่อที่มาจากการตั้งของ Walter Treser รถ Audi Quattro ถูกเปิดตัวในงานแสดงรถยนต์นานาชาติที่เจนีวาในปี 1980 ทรงของรถและสมรรถนะ ดึงดูดสื่อมวลชนที่กระตือรือร้นและทำให้มันกลายเป็นซุปเปอร์คาร์แห่งทศวรรษ 1980 ในทันที

“ผมคิดเสมอว่า Quattro จะเป็นแค่รถที่วิ่งใช้งานทั่วไป” Bensinger กล่าว “แต่ ณ จุดนั้น Audi ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งเดิมอีกต่อไป ซึ่งหมายถึงการเป็นผู้ตามที่จะเปลี่ยนมาเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อน เช่นเดียวกับ BMW และ Mercedes เพื่อที่จะแนะนำรถ Quattro โดยไม่มีการโปรโมตและการประชาสัมพันธ์อยู่เบื้องหลัง มันเป็นรถยนต์ที่มีความสำคัญมากสำหรับบริษัท Piëch และผมต่างมีความกดดันจากการทำงาน เพื่อต้องการสร้างรถที่ดีกว่า รถขับเคลื่อนสี่ล้อทำให้มีความเป็นไปได้ในการเอาชนะของแบรนด์ Audi”

เพื่อพิสูจน์ว่าแนวคิดนี้ไม่ได้มีแค่ความเร็วในสภาพถนนลื่น แต่ต้องวิ่งบนถนนแห้งได้ดีกว่าอีกด้วย นักขับอย่าง Walter Röhrl, Michèle Mouton, Stig Blomqvist และ Hannu Mikkola เป็นแคมเปญทางการตลาดที่โผล่เข้ามาอย่างถูกที่ถูกเวลา นำพา Audi คว้าชัยชนะในตำแหน่งแชมป์ผู้ผลิตของรายการแรลลี่ WRC ปี 1982 และ 1984 รวมถึงตำแหน่งชนะเลิศของนักขับในปี 1983 ตลอดระยะเวลาการผลิต 11 ปี Quattro ขายได้ถึง 11,452 คัน

ตัวเลขยอดขายหลังจากการปรับปรุงระบบขับเคลื่อน รูปทรงและระบบรองรับ พิสูจน์ให้เห็นถึงการขึ้นนำของ Quattro ย้อนกลับไปในปี 1975 Audi ขายรถยนต์ได้แค่ 205,218 คันทั่วโลก หลังจากการมาถึงของ Quattro ยอดขายรถยนต์ Audi เพิ่มขึ้นเป็น 1,871,386 คัน ในปี ค.ศ. 2018 เมื่อปีที่แล้ว Audi Quattro แบบขับเคลื่อนสี่ล้อ มีส่วนแบ่งทางการตลาดมากถึง 45 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับรถคู่แข่งในเยอรมนีที่ใช้ระบบขับเคลื่อนทุกล้อ

Quattro ได้รับการพัฒนาก่อนที่ Audi จะสร้างอุโมงค์ลมด้วยซ้ำ Audi 100 และค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศ 0.29 cd คือจุดมุ่งหมายของการออกแบบรูปลักษณ์ที่ไหลลื่น ด้วยซุ้มล้อที่เฉียบคม พื้นที่กระจกลึก แต่จากทุกมุมมอง นี่คือการออกแบบในสไตล์คลาสสิกแบบเก่า ทุกมุมในแนวตั้งและแนวตรงทั้งหมดต่างประสานกันเป็นรูปทรงเหลี่ยมที่เฉียบคม เป็นรถที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่น แน่วแน่ และน่าจดจำได้ในทันที นี่คือสไตล์คลาสสิกที่ยากจะลอกเลียนแบบของ Audi

ปัจจุบัน ถนนสายเก่าที่มีความลาดชัน 34 เปอร์เซ็นต์ ปิดให้บริการแก่สาธารณะไปนานแล้วและแทนที่ด้วยเส้นทางใหม่แบบสองเลนที่ปลอดภัยกว่า โดยมีความลาดชันเพียง 23 เปอร์เซ็นต์ ถึงกระนั้น ถนนทางเข้าเพียงแห่งเดียวที่อยู่ทั้งสองข้างของทางผ่านนั้นสร้างความตื่นเต้นในการขับรถ โดยขับขึ้นไปมากกว่า 1,200 เมตร ในระยะทาง 51 กม. จากพื้นหุบเขาหนึ่งไปยังอีกหุบหนึ่ง ถนนเป็นลูกคลื่นในบางช่วง มีความลาดชันและคดเคี้ยวมากกว่าปกติ มีโค้ง hairpins คล้ายกับสนามแข่งอยู่เต็มไปหมด เป็นถนนที่ใกล้เคียงกับการทดสอบเพื่อยกระดับความสมบูรณ์แบบในการขับขี่ ปัจจุบัน Turracher Höhe มีรีสอร์ตหิมะที่ได้รับความนิยม ระหว่างฤดูกาลเล่นสกีและเดินป่า การจราจรลดลงและมีบางวันที่พื้นผิวถนนแห้งสนิท.