“เอ๋ เชิญยิ้ม”ยัน “อาร์ม”ไม่ได้แข่งรถ ก่อนเสย 18 ล้อดับ! | เดลินิวส์

จัดเป็นอีกหนึ่งคนบันเทิงที่เสียใจอย่างหนักสำหรับนักแสดงตลก เอ๋ เชิญยิ้ม หลังลูกชาย น้องอาร์ม พีรพล ประสบอุบัติเหตุมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ชนท้ายรถบรรทุก 18 ล้อ เสียชีวิตคาที่ พร้อมย้อนเล่าลางสังหรณ์ก่อนวันเกิดเหตุ ภรรยาเห็นลูกชายเลือดอาบหน้า และงัดหลักฐานยืนยันลูกชายไม่ได้แข่งรถกับเพื่อนแน่นอน ผ่านรายการคุยแซ่บ show แบบจัดเต็ม

เอ๋ เผยว่า “สภาพจิตใจตอนนี้มันมีเรื่อยๆ คือเพื่อนเขาเยอะ แล้วลูกเพจที่เป็น FC เขาในรายการเยอะมาก เวลาที่เราดูเฟซบุ๊กมันจะขึ้นฟีดเขามาเยอะมาก บางทีเราไม่อยากเห็นคือไม่ดูโทรศัพท์เลย พอเห็นปุ๊บภาพเก่าๆ มันจะขึ้นมาในสิ่งที่เราทำอะไรด้วยกัน มันขึ้นมาหมดเลย บางทีเหมือนไบโพลาร์ พอมีคนเยอะๆ เราก็จะลืม คุย ยิ้ม เพื่อให้มันลืม แต่พอเราอยู่คนเดียวเหตุการณ์นั้นมันคิดย้อนขึ้นมา เมื่อวานอยู่ในงานศพของลูก เห็นคนเยอะๆ เราก็มีความสุขนะ เห็นคนมางานลูกเราเยอะ เราก็ดีใจ เราปลื้มว่าเราทำให้ลูกครั้งสุดท้ายให้มันดีที่สุด แต่พอมีคนเอารูปมาให้ดูบอกว่าไปค้นรูปเก่าๆ ตอนเราเล่นตลกแล้วเห็นเด็กตัวเล็กๆ อยู่ข้างหลังนั่งหัวเราะ ก็ร้องไห้ ก่อนเกิดเหตุเหมือนลางบอกเหตุ ผมว่าน่าจะใช่ เพราะแฟนผมคนนี้เขาจะเรียกว่าน้า เขาสนิทกันมาก วันพุธแฟนผมทำความสะอาดอยู่ วันนั้นผมหยุดงาน นั่งอยู่หลังบ้าน ช่วงทุ่มกว่าๆ แฟนหยุดดูดฝุ่นแล้ววิ่งมาหาผม พ่อเห็นอาร์ม ตรงไหน หน้าประตูเลือดเต็มหน้าเลย ตอนนั้นผมไม่ได้คิดว่าเขาเห็นภาพหลอนหรือว่าอะไร ผมคิดลูกโดนตีมาเหรอ หรือทะเลาะกับใครก็จะวิ่งไปดูลูกอยู่ตรงไหน หายไแแล้ว เขาบอกหายไปแล้ว เราก็งงคืออะไร เขาบอกว่า ก้มดูดฝุ่นแล้วเหมือนมีใครอยู่หน้าประตูก็เลยหันไปมองเห็นลูกอยู่หน้าประตู แล้วเห็นเลือดลงมาเป็นเส้นๆ เต็มหน้าเลย ผมรีบโทรศัพท์หาลูกเลย เขาถามพ่อมีอะไร โล่งใจเลยลูกไม่เป็นไรนี่ ก็เลยเล่าให้ฟัง เมื่อกี้น้าเห็นอย่างนี้ๆ ขับรถระวังหน่อย มันอาจจะเป็นลางที่ไม่ดีก็ได้ เขาบอกพ่อก่อนที่พ่อจะโทรฯมา 1 นาที ผมขับรถตกแอ่งน้ำ คือวิ่งมาด้วยความเร็ว น้ำ มันขังถนน คือเวลาเราขับมาเร็วๆ พอเหยียบน้ำ มันจะปัดไถล แต่อันนั้นเป็นรถเก๋ง พอตั้งลำได้ผมก็โทรฯไปเลย ผมก็เลย อ่อแสดงว่าเคระห์เมื่อกี้มันข้ามไปแล้ว พอวันพฤหัสบดี ผมก็ไปถ่ายอีกที่หนึ่ง”

“วันนั้นถือเป็นการทำงานร่วมกันครั้งสุดท้าย ผมบอกว่า อาร์ม พ่อกลับก่อนนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ต้องเดินทางไปแม่สอด ไปถ่ายที่ป่าช้าพม่ากัน ก็ไปด้วยกันนี่แหละ บอกเขาเลิกงานแล้วรีบกลับบ้านนะ ผมก็ขับออกมา ช่วงเวลาผมถึงบ้าน ผมก็รีบนอน เพราะต้องเดินทางไกล ประมาณช่วงตี 3 ภรรยาเขาโทรฯมา เมียผมรับสาย เขาลุกเลย พ่อ อาร์ม รถชน ผมเพิ่งตื่นด้วย ตกใจ มือไม้สั่น แต่คิดว่าแค่รถชน จะแขนขาหัก หรือสลบ แต่งตัวไปที่เกิดเหตุ ออกจากบ้านมาไม่ถึง 5 นาที ภรรยาโทรฯมาอีกทีร้องไห้ลั่นเลย เชื่อไหมใจผลหล่นไปเลย ผมเดาได้เลยว่าอะไร ร้องไห้เหมือนคนที่จะขาดใจ แล้วบอกว่า พ่อ น้า อาร์มตายแล้ว เมียผมร้องไห้โฮเลย ผมแขนไม่มีแรง ขาขับรถไม่ได้ต้องเบรกอยู่ข้างทาง สั่น หัวใจเต้นแรง เหมือนใจจะขาด เหมือนจะช็อก ผมเกร็ง นั่งบีบตัวเอง หูอื้อ พูดกับตัวเองใช่เหรอวะ ลูกผมตายจริงเหรอ พอสักพักตั้งสติได้ ไปดูลูกกัน ก็ไปที่สะพานพระราม 4”

“พอไปถึงที่เกิดเหตุ เขาแค่บอกว่าตายคาที่ ไฟลุกท่วมรถเลย ที่รู้นะ แต่ผมก็ยังไม่รู้สภาพศพลูกเป็นไง แต่พอเริ่มทำใจ ตั้งสติได้ประมาณสิบกว่านาทีที่นั่งนิ่งๆ แล้วบอกเมียว่าใจเย็นเราต้องไม่เป็นอะไรนะ เพราะถ้าเกิดผมช็อกหรือเมียช็อกมันจะไปดูศพลูกไม่ได้ พอตั้งสติได้ผมขับช้าที่สุด ผมขับ 60-70 ตอนนั้นผมไม่ไว้ใจตัวเองแล้ว เพราะสติไม่ครบแล้ว พอขึ้นสะพานผมเห็นรถไซเรนเต็มเลยแล้วก็ไฟ รถมอเตอร์ไซค์มันดำเมี่ยมทั้งคัน เลยมอเตอร์ไซค์ไปหน่อยผมเห็นเป็นร่างคนดำเกรียมแล้วก็เสื้อผ้าขาดๆ มีรอยไหม้ ผมเห็นแต่ปากเขา แต่ผมไม่เห็นหัวเขา ผมหันหลังเลย ผมไม่อยากจำ กลัวว่าเห็นปุ๊บผมจะจำไปตลอดว่าสภาพลูกเป็นยังไง ผมเลยหันหลัง แล้วกูภัยถามพี่จะดูไหม ผมก็บอกไม่ดูๆ ห่อเลยๆเพราะผมไม่อยากเห็น ผมให้เขาเอาขึ้นรถ เขาบอกถ้างั้นพี่ตามไปที่โรงพักนะ เอาศพไปที่โรงพักก่อน แล้วเขาก็ไปเก็บกวาด เอาทราย น้ำมาราดคราบเลือด ผมเดินไปที่รถคนเดียวเห็นไม่มีใครอยู่แล้ว ผมพยายามนิ่งที่สุด ไม่มีน้ำตาให้ใครเห็นทั้งสิ้น ผมไปที่หลังรถแล้วยืนมองลูก ตอนนั้นกล้ามอง เพราะเขาห่อผ้า ผมไม่เห็นแล้วเห็นแค่เป็นผ้าขาวห่อร่าง พอมองผมคิดกับลูกว่าได้เวลาพักแล้วลูก”

เอ๋ เล่าต่อว่า “คือลูกชนที่หัวแล้วเข้าตรงนี้ แล้วมอเตอร์ไซค์พุ่งเข้าใต้รถ ซึ่งคานล้อเหล็กทั้งเส้นบุบไปเลยด้วยความแรงของเขา ที่ผมได้ยินคือ นี่ไง นี่อีกชิ้น อันนี้เศษกะโหลกใช่ไหม ผมก็ฟัง แต่ยืนมองลูกตลอด แต่หูเราฟัง เราก็แบบโหลูก ขนาดนี้เลยเหรอ มันเจ็บ ทรมานมากนะ แค่คุณเห็นลูกวิ่งไปหกล้ม คุณวิ่งไปอุ้มเขา แล้วปลอบใจไม่เจ็บลูกๆ แต่ผมไม่ได้อยู่ ณ ตรงนั้น ตอนที่ลูกเจ็บแล้วทรมานแค่ไหนผมไม่รู้เลยไม่รู้สิผมรู้สึกว่าตอนนั้นผมกลั้นน้ำตาไม่อยู่แล้ว แต่ด้วยความรู้สึกผมก็เป็นอาสานะ เราเก็บศพมาเยอะนะ เราต้องเป็นต้นแบบที่ดี เพราะเวลาที่เราไลฟ์สดในรายการ เราจะสอนคนเสมอว่าความตายเป็นเรื่องธรรมดา ความตายไม่เตือน เวลาไปรับศพ ผมเตือนญาติเขาเสมอว่า เอาน่า..ทุกคนต้องตาย ตายช้า ตายเร็วตายเหมือนกัน ความตายไม่เตือน เขาตายก่อนเราก็ตายทีหลัง อย่าร้องไห้ให้เขาเป็นทุกข์เลย ผมจะปลอบญาติให้เขารู้สึกดีขึ้น แต่เวลาที่ผมโดนเองผมไม่มีใครปลอบ แต่ผมต้องปลอบตัวเองว่าต้องเป็นตัวอย่างให้เห็นเรื่องความตายเป็นเรื่องธรรมดา ให้ลูกเพจที่ดูอยู่เห็นว่าเราสอนเขาได้ เราก็ทำได้”

“เรื่องลางสังหรณ์ที่เตือนลูก ผมบอกลูกว่ารถพวกนี้มันขับช้าไม่ได้อยู้แล้ว ผมไม่เคยเห็น แล้วเครื่องแรง แค่ร้อยกว่าก็เร็วกว่ามอเตอร์ไซค์ธรรมดาหลายเท่า ผมบอกขับเล่นได้นะ เอาแค่ความสวยงาม เอาแค่ความภูมิใจที่เราหาได้ตามที่เราตั้งใจ แต่ว่ามันเหมือนขี่โลงนะลูก กำลังจะมีอนาคตนะ ถ้าคิดถึงครอบครัว คิดถึงอนาคต อยากมีลูกไม่ใช่เหรอ เอาแค่ขี่แบบภูมิใจแต่อย่าไปคะนอง เขาบอกไม่หรอกครับพ่อ อาร์มแค่ซื้อเอาไว้ในสิ่งที่อาร์มอยากได้แค่นั้นเอง เรื่องดราม่าแข่งรถผมพูดคำเดิมครับ ลูกผมไม่ได้ขับแข่งกับใคร ปกติลูกกลับจากงานเขาก็ทำนู่นนี่ นอนเช้าทุกวัน แต่วันนั้นน้ามาจากเกาหลี แล้วเหมือนเขาจะเอาบิ๊กไบค์ไปอวด เด็กคนนี้เวลาเขาทำอะไรสำเร็จเขาจะอวดให้ภูมิใจในตัวเขา ญาติคนนี้ชื่อ เทียน เขาบอกพี่เทียน เดี๋ยวไปหานะ คิดถึงมากเลย เดี๋ยวจะเอารถไปให้ดู ประมาณตี 3 กว่า เขาขับไปกับลูกน้องในทีมเขา ซึ่งเป็นรถมอเตอร์ไซค์อีกคัน แต่มันเป็นมอเตอร์ไซค์ที่ธรรมดามากๆ  มันไม่ได้ขับแข่งกันอยู่แล้ว พอขึ้นสะพานพระราม 4 มันระยะทางไกล แต่มันโล่ง น้องคนที่ชื่อคิวบอกว่าเห็นอาร์มหันมายิ้มให้ แล้วก็ไปเลย เหมือนจะลองความเร็วของรถ แล้วก็ไปตึ้งตรงกลางสะพาน ไฟลุกท่วมเลย ซึ่งคิวก็ขับตามไป พอเห็นปุ๊บ 18 ล้อก็ยังวิ่งไหลไปอยู่ ยังไม่ยอมหยุด ซึ่งผมไม่รู้เจตนาเขา เขาอาจจะไม่รู้จริงๆ ก็ได้ เขาให้ข่าวบอกว่ารถสะเทือนเลย แต่คิดว่ายางระเบิด แล้วเขาจอดเพราะเห็นไฟข้างหลังมันลุก มอเตอร์ไซค์บีบแตรเรียก เจ้าคิวบอกว่าบีบแตรเรียกให้รู้ว่ามีคนชนท้ายอยู่ข้างหลัง แต่เขาไม่สนใจแล้ว เห็นอาร์มนอนอยู่ในกองเพลิง เขาก็วกกลับ แล้วเขาก็ตะโกน ในคลิปจะมีอยู่คลิปหนึ่งที่ชาวบ้านใต้สะพานถ่ายไว้ว่าบนสะพานมีไฟลูกโต แล้วมีเสียงตะโกนร้อง”

คนขับรถให้การกับตำรวจว่าเด็กขับรถแข่งมอเตอร์ไซค์กัน ตอนแรกให้ลูกสาวโทรฯมา เขาบอกจะเข้ามาหาศพน้องอาร์มได้ไหม ได้ครับ ยินดี ผมไม่ติดใจบอกคุณพ่อด้วย ผมเข้าใจ คนทำมาหากิน ไม่มีใครอยากให้เกิด แต่ผมไม่รู้ ไม่เห็นเหตุการณ์เป็นยังไง แต่สำหรับผม ผมให้อภัย เขาก็บอกว่าขอโทษแทนคุณพ่อด้วย คุณพ่อเข้าใจว่าแข่งกันมา เพราะเสียงบิ๊กไบค์มันดัง ผมบอกว่าลูกผมไม่ได้แข่ง เขาบอกเข้าใจแล้วค่ะ ขออนุญาตไปกราบศพ ผมบอกได้ สุดท้ายแล้วลูกสาวมาคนเดียวก่อน ผมก็ถามแล้วพ่อล่ะ เขาบอกว่าคุณพ่อไม่ว่างทำนู้นทำนี่ ปวดหัว เครียดมาก ผมบอกไม่เป็นไรครับ ไหว้ศพแล้วกัน บอกคุณพ่อนะไม่ต้องเครียด ไม่ต้องซีเรียส ผมรู้เขาต้องทำมาหากิน ผมไม่ได้ว่าอะไรทั้งสิ้น แต่ควรจะโทรฯหาผมบ้าง ไม่ใช่ให้ลูกโทรฯมา ผมต้องการคนที่กระทำ ถ้าเป็นผมนะ ถึงจะผิดจะถูกก็แล้วแต่ แต่ถ้าทำให้คนอื่นสูญเสีย ผมก็จะโทรฯไปให้กำลังใจ หรือแสดงความรับผิดชอบสักนิดหน่อย ผมจะได้รู้สึกดีบ้าง พออีกวันนึงเขาถึงโทรฯมาหาผม ขอโทษไม่ได้มาเพราะเขาปวดหัว ตั้งแต่วันนั้นเขาเครียดมากเลย ผมบอกไม่เป็นไรครับ แค่โทรฯมาผมก็รู้สึกว่าคุณสนใจกับชีวิตของลูกผมแล้ว”

“อยากบอกลูกว่า พ่อไม่ได้ทำอะไรให้ แต่อยากบอกว่า มึงหล่อมากทุกครั้งที่มาบ้าน เขาชอบชมว่าเขาหล่อ ผมหล่อไหม แต่ผมไม่เคยพูดเลยนะ เพิ่งพูดตอนที่เขาตายเนี่ย แล้วก็เสียงดีมาก พ่อรักมึงแต่ไม่เคยแสดงออก เขาเคยเห็นผมกอดน้องคนเล็กแล้วก็หอม เขาจะมอง ผมเห็นเขามองแล้วเดินนิ่งๆ ซึ่งผมไม่รู้เลยว่าลูกต้องการอะไร แต่ถ้าจะให้จับ มาหอม มากอด 26 แล้วพ่อคงทำไม่ได้ แต่พ่อคอยดูและคอยช่วยเหลือทั้งทางตรงและทางอ้อม พ่อทำทุกอย่างแม้กระทั่งวันนี้ที่มึงตาย พ่อทำให้มึงทุกอย่างที่พ่อจะทำได้”