จาฟฟ์นาลาแล้ว – ไทยโพสต์

ครั้งแรกเกิดขึ้นที่กรุงโคลัมโบ ในบาร์กึ่งร้านอาหารของคนท้องถิ่นแห่งหนึ่ง ผมถูกเจ้าถิ่นโต๊ะใหญ่เรียกให้ไปร่วมแจม แถมตอนท้ายจบลงที่การเคาะโต๊ะร้องเพลงกันอย่างสนุกสนาน ละอองฝอยน้ำลายและลมหายใจย่อมฟุ้งกระจาย เวลาผ่านมาจนถึงตอนนี้ผมมั่นใจได้แล้วว่า “รอด” มาจากเหตุการณ์นั้น

และเหตุการณ์ล่าสุดเมื่อ 2 คืนก่อน หนุ่มทมิฬขี้เมา 2 คนมาขอร่วมโต๊ะที่บาร์ของโรงแรม Jetwing Jaffna หนึ่งในนั้นพูดมากและถึงขั้นน้ำลายกระเด็นใส่ขาของผม แต่เฉลยตอนนี้เลยก็ได้ว่าผมรอดไปอีกรอบ

หากว่าติดโควิดขึ้นมาระหว่างท่องเที่ยวศรีลังกาหนนี้เห็นทีจะแย่ ผมลืมทำประกันภัยสุขภาพก่อนเดินทาง รู้ตัวเมื่อตอนจะขึ้นเครื่องจึงได้ซื้อยาเม็ดฟ้าทะลายโจรจากร้านค้าในดิวตี้ฟรีสนามบินสุวรรณภูมิมา 1 กระปุก (ความจริงน่าจะทำประกันภัยสุขภาพทางออนไลน์ได้แม้อยู่ในศรีลังกาแล้ว แต่ผมก็ลืมข้อนี้ไปอีกเช่นกัน) ชีวิตระหว่างนี้จึงขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพวัคซีน 3 เข็มที่ฉีดมา และการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงต่างๆ ให้ได้มากที่สุด

ร้าน Sunjeya Foodland ขายอาหารท้องถิ่นจำพวกข้าวบริยานีและโกตตู ตอนนี้มีลูกค้าอยู่ไม่กี่โต๊ะ ผมเดินเข้าไปนั่ง สั่งข้าวบริยานีกับไก่ทันดูรี พนักงานหนุ่มนำจานสเตนเลสใบใหญ่มาวาง รูปร่างออกไปทางถาดมากกว่าจาน เพิ่งล้างแต่ไม่เช็ดให้แห้ง มีน้ำกลิ้งอยู่ในจาน ช้อนอีก 2 คันก็ยังเปียกน้ำ ไม่มีส้อม บนโต๊ะมีกระดาษ แต่ไม่ใช่ทิชชู เป็นกระดาษซับมัน เหมาะสำหรับเช็ดมันที่มือ คนศรีลังกาจำนวนมากยังกินอาหารโดยใช้มือเปิบ ผมเลยใช้กระดาษนี้เช็ดจาน

ข้าวบริยานีผัดเสร็จ พนักงานหนุ่มคนเดิมก็นำมาเสิร์ฟในชามสเตนเลสใบใหญ่ รองด้วยถาดสเตนเลส ในถาดยังมีเครื่องเคียงผักดอง 2 ถ้วยสเตนเลสใบเล็ก น้ำจิ้มเครื่องเทศอีกหนึ่งถ้วยสเตนเลส ทัพพีสเตนเลสสำหรับตักข้าว และบนข้าวบริยานีมีไก่ทันดูรีแบบทอดโปะอยู่ด้านบน ในข้าวมีไข่ต้มหมกอยู่ 1 ฟอง เวลากินต้องตักข้าวแบ่งไปใส่จานเปล่าที่ให้มาก่อนหน้านี้ ข้าวที่พ่อครัวผัดมาเป็นข้าวเม็ดสั้นคล้ายข้าวญี่ปุ่น ผมเคยกินข้าวบริยานีหลายครั้งในอินเดีย ไม่เคยเห็นข้าวเม็ดสั้นแบบนี้ใช้กับบริยานีมาก่อน ส่วนไก่ที่เสิร์ฟมาเป็นแบบทอดก็ไม่เคยเห็นเช่นกัน เพราะไก่ทันดูรีทั่วไปใช้ย่างหรืออบ และต้องเอาหนังไก่ออกก่อนหมักไก่ด้วยเครื่องเทศหลากหลายชนิดในภาชนะที่ชื่อว่า “ทันดู”

รสชาติของข้าวผมให้คะแนนผ่าน เพราะผัดใหม่ๆ แต่ไก่ที่ทอดไว้นานแล้ว และมีรสชาติของความเป็นทันดูรีแค่ส่วนหนัง เพราะถ้าไม่เอาหนังออกเครื่องเทศก็ไม่เข้าไปยังเนื้อไก่ ให้สอบตก แต่ผมก็กินหมดเกลี้ยงเพราะความหิว ทั้งข้าว ไก่ และไข่ เหลือเพียงผักดองและน้ำจิ้มที่กินไปอย่างละนิด

พนักงานหนุ่มรอจังหวะให้ผมกินหมดก็เดินมาถามว่า “กู๊ด?” ผมตอบ “กู้ด” เขาถามต่อ “โคลา? สไปรท์?” ผมตอบ “วอเตอร์” เขาเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบน้ำเปล่ามา 1 ขวด มาถึงผมก็เปิดฝาด้วยมือเปล่า ผมจะขอเปิดเองก็ไม่ทัน วางขวดน้ำลงบนโต๊ะแล้วเดินไปหยิบไม้จิ้มฟันออกมาจากกลักเล็กๆ คล้ายกลักไม่ขีด ถือมาให้ผม 3 ก้าน ผมรับไว้แต่ไม่ได้ใช้ เพราะกลัวโควิด พอเขาหันไปทางอื่นผมก็เสียบใส่กระเป๋าตังค์ เขานำบิลมาให้ เขียนราคา 400 รูปี หรือประมาณ 65 บาทเท่านั้น

ถ้าไม่นับรสชาติอาหารที่คนเราชอบผิดแผกแตกต่างกัน และการปฏิบัติทางสุขลักษณะที่ในแต่ละสังคมมองไม่เหมือนกัน แต่การบริการของพนักงานหนุ่มคนนี้ผมถือว่าอยู่ในขั้นดีมาก เขาไม่ยิ้มเพราะเป็นธรรมชาติของชาวทมิฬที่ไม่ชอบยิ้ม แต่ผมรับรู้ได้ถึงความเอาใจใส่และความเข้าใจคำว่าบริการของเขา

กลับถึงที่พักเจอซูเฟียน-หนุ่มจอร์แดนอยู่ในห้องดอร์ม เขาบอกว่ายังแฮงโอเวอร์ไม่หาย ผมเลยแนะนำให้เขาดื่มเบียร์เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ผมลงไปซื้อเบียร์จากร้านได้รับใบอนุญาตมาให้เขา 1 กระป๋องยาว ให้ตัวเอง 2 กระป๋องยาว จากนั้นผมเดินขึ้นห้องครัว ตั้งใจนำเบียร์ของตัวเองไปแช่ตู้เย็น ได้เจอกับฮันนาห์ เลยยื่นเบียร์ให้เธอ 1 กระป๋อง แล้วผมก็เปิดดื่ม 1 กระป๋อง

เธอรับสารภาพว่าขี่มอเตอร์ไซค์ชนชายคนหนึ่ง แต่ไม่ได้รับบาดเจ็บรุนแรง และเรื่องราวก็ไม่ได้ยืดยาวกว่าการขอโทษขอโพย ทั้งอีกฝ่ายก็ให้อภัย เธอบอกว่าความยากของการขี่มอเตอร์ไซค์ครั้งแรกในชีวิตอยู่ที่ตอนจะออกจากเมืองและกลับเข้าเมือง ส่วนที่เหลือไม่เสี่ยงเท่าไหร่เพราะถนนโล่ง ฝั่งหนึ่งของถนนเป็นทะเล อีกฝั่งคือต้นไม้และวัว เธอชนเข้ากับชายทมิฬผู้โชคร้ายตอนกลับเข้าเมืองซึ่งการจราจรกำลังขวักไขว่

ผมบอกเธอว่าจะนั่งรถไฟออกจากจาฟฟ์นาไปยังอนุราธปุระในวันรุ่งขึ้น เธอก็สนใจที่จะออกไปพร้อมกับผม แม้ว่าเธอยังไม่ได้ซื้อตั๋ว ปลายทางของเธออยู่ที่กรุงโคลัมโบ เรานัดเวลากันที่ตี 5 ครึ่ง เพื่อออกจากที่พักไปขึ้นรถไฟเที่ยว 06.10 น.

ตอนค่ำมีหนุ่มเยอรมัน 2 คนเข้ามาเช็กอินที่โฮสเทล ชื่อ “ลาร์สัน” และ “เฟลิกซ์” พวกเขาเช่ามอเตอร์ไซค์ราคาวันละ 1 พันรูปี ขี่ขึ้นมาเรื่อยๆ เริ่มจากกอลล์ เมืองตากอากาศริมทะเลทางตอนใต้ของประเทศ เมื่อคืนแวะนอนที่เมืองวาวูนิยะ อันเป็นเมืองใต้สุดของจังหวัดนอร์เทิร์น หรือเมืองเริ่มต้นถิ่นที่อยู่ของชาวทมิฬหากนับไล่ขึ้นมาจากทางทิศใต้ รถไฟขบวนด่วนพิเศษทุกขบวนต้องจอดที่สถานีวาวูนิยะ เพราะถือเป็นเมืองสำคัญ มีประชากรราว 1 แสนคน มากเป็นอันดับ 8 ของประเทศ แต่เฟลิกซ์บอกผมว่า “เมืองวาวูนิยะไม่มีอะไรเลย” ความหมายก็คือเป็นเมืองที่เงียบ ไร้แหล่งบันเทิง

พวกเขาพักในห้องดอร์มห้องเดียวกับที่ผมและซูเฟียนนอนอยู่ ทำให้ห้องนอนรวม 6 เตียง ถูกครอบครอง 4 เตียง ราว 2 ทุ่มพวกเขาเดินออกไปนอกโฮสเทล ผมทักว่า “เงียบเหมือนวาวูนิยะนั่นแหละ” ไม่กี่นาทีก็กลับกันเข้ามา เฟลิกซ์พูดขึ้นว่า “ปาร์ตี้สนุกมาก” แล้วหัวเราะ

ซูเฟียนอาการไม่หายซึม ชัตติ-หนุ่มผู้ดูแลโฮสเทลหายหน้าไป คงเพราะยังแฮงโอเวอร์อยู่เช่นเดียวกัน ฮันนาห์และผมต้องตื่นเช้าไปขึ้นรถไฟ คืนนี้เราเลยไม่เปิดวงคุยเหมือนเคย ผมเก็บกระเป๋าแล้วเข้านอนราวๆ เที่ยงคืน ก่อนจะหลับไม่นานรู้สึกขึ้นได้ว่าตอนเก็บกระเป๋าเหมือนจะไม่เจอกล้องถ่ายรูป แต่ไม่ลุกมาค้น เพราะไม่อยากให้เสียงดังกรอกแกรก รบกวนเพื่อนร่วมห้อง

ตื่นมาผมก็ทำการค้นเป้ใบเล็ก ไม่เจอกล้อง เปิดเป้ใบใหญ่ที่ใส่เสื้อผ้าก็คลำไม่เจอสิ่งของแข็งๆ รูปทรงเหลี่ยมๆ ขนาดประมาณฝ่ามือ ก็เลยสรุปกับตัวเองว่ากล้องหาย เปิดประตูออกไป ฮันนาห์ก็เปิดประตูห้องของเธอออกมาพอดี เธอนุ่งกางเกงเลกกิ้งสีดำ เสื้อยืดรัดรูปสีชมพูเข้ม ผูกเสื้อแจ็กเกตเนื้อผ้าบางไว้ที่เอว ผมบอกเธอว่าผมจะไม่ขึ้นรถไฟไปพร้อมกัน เพราะกล้องหาย แต่จะไปส่งเธอที่สถานี เผื่อว่าเธออาจใช้ตั๋วของผมได้ ช่วยเธอถือกระเป๋าใบเขื่องน้ำหนักคงเกือบ 20 กิโลเดินลงบันไดไป 4 ชั้น เจอชัตติพอดี เขาช่วยโทรศัพท์หาเพื่อนคนขับตุ๊กๆ ให้ ไม่กี่นาทีตุ๊กๆ ก็มาถึง ชัตติบอกราคาค่ารถ 150 รูปี ซึ่งถือว่าถูกกว่าที่ผมเคยนั่ง

ตุ๊กๆ ออกมาได้ครู่เดียว คนขับยื่นนามบัตรให้ผม ชื่อของเขาคือ “ดิลูชาน” เขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า N. Dilushan ชื่อบริษัทคือ Elite Travels รับจัดทัวร์ต่างๆ ทุกรูปแบบ เขาน่าจะเป็นเจ้าของบริษัท ถ้างานเล็กก็รับเอง งานใหญ่ๆ ก็ใช้ทีมงาน

ถึงสถานีรถไฟ ดิลูชานขอถ่ายรูปผมและฮันนาห์กับตุ๊กๆ ของเขา แต่ผมบอกว่าเรากำลังรีบ ผมจะกลับมาถ่าย ขอให้เขารออยู่ก่อน จะให้เงินเพิ่ม เขาก็เดินมาที่ช่องขายตั๋วเป็นเพื่อนและพุ่งเข้าไปคุยกับเจ้าหน้าที่ ทราบว่าตั๋วชั้น 1 ไปโคลัมโบเที่ยว 06.10 น. เต็ม เหลือชั้น 3 เท่านั้น อาจไม่เหมาะสำหรับฮันนาห์ที่ต้องนั่งหลายชั่วโมง

ผมขอให้เจ้าหน้าที่เช็กว่าตั๋วชั้น 1 จากอนุราธปุระไปโคลัมโบมีว่างหรือไม่ เจ้าหน้าที่กดคอมพิวเตอร์แล้วตอบว่าว่าง ผมเลยถามต่อว่าให้ฮันนาห์ใช้ตั๋วของผมจากจาฟฟ์นาไปถึงอนุราธปุระ และจากอนุราธปุระไปโคลัมโบ เธอซื้อแยกอีกใบได้หรือไม่ เจ้าหน้าที่บอกว่าเท่ากับตั๋วจะมีราคา 2,400 รูปี ผมไม่ค่อยเข้าใจ ดิลูชานอธิบายว่าตั๋วของผม 1,200 รูปี และตั๋วของฮันนาห์ 1,200 รูปี แต่ปกติตั๋วจากจาฟฟ์นาไปโคลัมโบแค่ 1,700 รูปีเท่านั้น ดิลูชานและเจ้าหน้าที่คงคิดว่าผมขายตั๋วต่อให้กับฮันนาห์ นั่นเท่ากับฮันนาห์จะจ่ายแพงกว่าปกติ 700 รูปี ผมจึงบอกทั้งคู่ว่าผมให้ตั๋วฮันนาห์ไม่ได้ขาย ทั้งคู่ก็ร้องอ๋อ แต่ก็ยังบอกว่าเท่ากับเราขาดทุนรวมกัน 700 รูปี ทำให้เสียเวลาช่วงนี้ไปหลายนาที

เจ้าหน้าที่นำตั๋วของผมเย็บแม็กซ์คู่กับตั๋วของฮันนาห์เพื่อใช้คู่กัน ผมยื่นให้ฮันนาห์ เธอโผเข้ากอดแน่นแล้วกล่าวขอบคุณ ผมบอกเธอว่ารีบเข้าไปในชานชาลากันเถอะ “ตั๋วของเราจะไม่มีประโยชน์ถ้าคุณตกรถไฟ” ผมยกกระเป๋าของเธอเดินเร็วกึ่งๆ วิ่ง เข้าไปในชานชาลา ความจริงลากก็ได้ แต่มาถึงขั้นนี้แล้วเราไม่ควรพลาดอะไรอีก ส่วนฮันนาห์เดินตัวปลิวสะพายเป้ใบเล็ก 1 ใบ เธอเหมือนจะยิ้มๆ ให้กับอาการรีบร้อนของผม ขึ้นรถไฟแล้วเธอโบกมือให้และบอกว่าจะเขียนอีเมลมาหา ผมเดินออกมาโดยไม่รอให้รถไฟเคลื่อนออกจากสถานี

ดิลูชานพาผมไปที่โรงแรม Jetwing เพราะผมสงสัยว่าอาจจะลืมกล้องไว้บนเก้าอี้ของ Rooftop Bar จำได้ว่าผมใช้กล้องเป็นครั้งสุดท้ายที่บาร์แห่งนั้น แต่พนักงานต้อนรับของโรงแรมบอกว่าไม่มีใครแจ้งไว้ว่ามีคนเก็บได้ โทร.ถามพนักงานร้านก็ไม่มีใครเจอกล้อง ขอให้ผมโทร.กลับมาเช็กอีกครั้งตอนสายๆ เราก็เลยกลับโฮสเทล ระหว่างทางดิลูชานแนะนำให้ผมโทร.หาผู้จัดการโรงแรม เพราะเป็นไปได้ที่พนักงานไม่ตามหาให้อย่างจริงจัง และให้บอกผู้จัดการด้วยว่าผมแจ้งตำรวจไว้แล้ว ผมบอกเขาว่าจะลองดู

ถึงหน้าโฮสเทลเขาก็ไม่ลืมที่จะขอถ่ายรูปผมกับตุ๊กๆ ของเขาเพื่อนำไปโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย ก่อนขับตุ๊กๆ ออกไปเขาบอกว่าถ้ามาจาฟฟ์นาอีกครั้งให้โทร.หา และถ้าแนะนำเพื่อนให้ใช้บริการเขาก็จะคิดราคาไม่แพง ผมมั่นใจมากว่าหมอนี่ไว้ใจได้ เบอร์โทร.ของเขาคือ +94779535200 เว็บไซต์ www.elitetravelslk.com เข้าไปดูก็พบว่าเขาเป็นเจ้าของจริงๆ และมีเครือข่ายสำหรับรับทัวร์คราวละหลายคน ความจริงธรรมชาติจาฟฟ์นานั้นสวยงามมาก โดยเฉพาะตามเกาะต่างๆ และยังไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวไปถึง

ซูเฟียนตกใจที่เห็นผมเปิดประตูห้องเข้าไป สองหนุ่มเยอรมันยังไม่ตื่น ผมนึกขึ้นได้ว่าตอนแรกที่เข้าพักในโฮสเทลแห่งนี้ยังหวั่นๆ เรื่องลักขโมย และเมื่อรู้สึกเช่นนั้นผมก็มักจะซ่อนของมีค่าไว้ในที่แปลกๆ เช่น ตามเสื้อผ้าที่ใส่แล้วและกองสุมๆ กัน ตอนเก็บกระเป๋าเมื่อคืนก็เก็บอย่างลวกๆ อาจติดอยู่ในถุงเสื้อใส่แล้ว พอดูอย่างละเอียดก็พบอยู่ในนั้นจริงๆ

จะว่าไปแล้ว โฮสเทลแห่งนี้มีความปลอดภัยในทุกๆ ด้าน แถมยังเป็นกันเองอย่างมาก เจอกล้องแล้วผมก็วางแผนขึ้นรถไฟเที่ยว 09.45 น. เป็นขบวนวิ่งช้า จอดบ่อย แบบรถเร็วบ้านเรา ซูเฟียนตัดสินใจเก็บกระเป๋าไปกับผมด้วย เพราะที่จาฟฟ์นาช่วงนี้ฝนตกทุกวัน ไม่เหมาะให้เขาถ่ายคลิปลงช่องยูทูบ เขาจะนั่งรถไฟตรงไปกรุงโคลัมโบ พวกเยอรมันตื่นขึ้นเพราะเสียงผมคุยกับซูเฟียน ลาร์สันถามว่า “คุณลืมกล้องใช่มั้ย?” ผมตอบว่า “ใช่ และก็ลืมกินอาหารเช้าด้วย” ผมกับซูเฟียนขึ้นไปกินอาหารเช้าในครัว ลงมาแล้วก็แบกกระเป๋าขึ้นหลัง บอกสองหนุ่มเยอรมันว่า “เที่ยวหน้าผมจะมาลากพวกคุณไปบ้าง”

ผมโทร.หาดิลูชานให้มารับ แต่เขาติดลูกค้า จะให้เพื่อนมารับแทน และเขาก็ไม่ลืมถามเรื่องกล้องถ่ายรูป ส่วนชัตติไม่รู้ว่าหายไปไหน จึงไม่ได้กล่าวลากัน หมอนี่ก็เป็นอีกคนที่ผมเชื่อมั่นว่าจริงใจและคบหาได้

ถึงสถานีรถไฟ ซูเฟียนเจอสองสาวฝรั่งเศสที่เขาเคยนั่งรถไฟจากอนุราธปุระมาจาฟฟ์นาด้วยกัน และพวกเธอก็กำลังจะไปโคลัมโบกับรถไฟเที่ยว 09.45 น. พอดี ผมจะซื้อตั๋วชั้น 2 แบบระบุเลขที่นั่ง แต่ซูเฟียนตะโกนมาจากช่องขายตั๋วชั้น 3 ชวนนั่งไปด้วยกันเกือบๆ ครึ่งหนึ่งของเส้นทางไปโคลัมโบ รถไฟชั้น 2 จาฟฟ์นา-อนุราธปุระ ราคา 400 รูปี ชั้น 3 ราคา 260 รูปี ตอนแรกผมกลัวผู้โดยสารแน่น แต่ปรากฏว่าที่นั่งว่างถึงประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ ทั้งชั้น 2 และชั้น 3

ขึ้นรถไฟได้ผมก็โทร.หาคุณน้าวสันตรา คนขับตุ๊กๆ แห่งอนุราธปุระ ผู้โทร.ถามผมทุกวันว่าเมื่อไหร่จะออกจากจาฟฟ์นา วานนี้ผมแจ้งแกว่าจะไปกับรถไฟเที่ยว 06.10 น. พอเปลี่ยนเป็นเที่ยว 09.45 น. ก็จะทำให้ผมไปถึงอนุราธปุระช้าลงจาก 9 โมงเช้าเป็นบ่ายโมงครึ่ง ผมจะเดินทางด้วยตุ๊กๆ ของแกต่อจากอนุราธปุระไปยังสิกิริยา จากที่ควรจะถึงสิกิริยาตอนบ่ายก็คงไปถึงตอนเย็นหรือค่ำ

บนรถไฟได้สนทนากับสองสาวฝรั่งเศส พวกเธอเป็นพี่น้องกัน คนพี่อายุประมาณยี่สิบปลายๆ จะกลับฝรั่งเศสในอีกไม่กี่วัน ส่วนคนน้องอายุราวยี่สิบกลางๆ จะบินไปภูเก็ต เข้าโครงการ “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” แล้วเดินทางต่อไปยังจังหวัดอุดรธานี เพื่อทำงานในไร่เกษตรอินทรีย์แห่งหนึ่ง ทำงานวันละ 4 ชั่วโมงแลกกับที่อยู่และอาหาร

ซูเฟียนพกไพ่มาด้วย ชวนพวกเธอเล่น Magic Cards ผมว่าจะเขียนบันทึกก็ต้องเล่นเป็นเพื่อน เพราะเกมนี้ใช้ผู้เล่น 4 คน ผมคู่กับฝรั่งเศสคนพี่ เอาชนะอีกคู่ไปได้อย่างเจ็บแสบ เพราะผมเพิ่งเล่นเป็นครั้งแรกในชีวิต ฝรั่งเศสคนน้องและซูเฟียนอยากแก้มือ แต่ผมเริ่มหมดสนุก ขอไม่เล่น พวกเขาก็เล่นเกมอื่นกันต่อแบบที่ 3 คนเล่นได้ ฝรั่งเศสคนน้องหันมาค้อน พูดว่า “อยากเก็บสถิติดีๆ ไว้สินะ” ผมหัวเราะ ไม่ตอบว่าอะไร

รถไฟวิ่งช้ากว่ากำหนดราว 1 ชั่วโมง ถึงอนุราธปุระบ่าย 2 ครึ่ง น้าวสันตราถามว่าจะกินข้าวก่อนไหม ผมต้องการแค่น้ำดื่ม เพราะกินมื้อเที่ยงที่เตรียมมาบนรถไฟเรียบร้อยแล้ว แกแวะให้ที่ร้านสะดวกซื้อ เห็น Egg bun ขนมปังอบ กลมๆ แบนๆ มีไข่ดาวอยู่ตรงกลาง ผมจึงซื้อมาเผื่อหิวระหว่างทาง

น้าวสันตราถามว่าจะตรงไปสิกิริยาหรืออ้อมไปแวะที่ “อวุกนะ” ก่อน ผมขอแวะอวุกนะเพื่อกราบสักการะพระพุทธรูปยืนปางประทานอภัยสูง 12 เมตร อายุประมาณ 1,600 ปี แกะสลักโดยคนคนเดียวเพียงใช้สิ่วและค้อนเป็นเวลา 7 ปีกว่าจะแล้วเสร็จ แกขอขึ้นค่ารถจาก 5,000 รูปีเป็น 6,500 รูปี ผมตกลง

ซูเฟียนบอกผมก่อนหน้านี้ว่าเขาเดินทางโดยตุ๊กๆ จากสิกิริยามาอนุราธปุระเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ค่ารถ 2,000 รูปีเท่านั้น.