ครูว์-Bentley Motors เผยโฉมอัครยนตรกรรมขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ด้วยการนำเอาหลักการวิจัย และพัฒนาการนำเอาพลังงานหมุนเวียนมาประยุกต์ใช้กับยนตรกรรม ก่อให้เกิดอัครยนตรกรรมที่ทรงสมรรถนะที่สุดในประวัติศาสตร์ 101 ปีของ Bentley (เบนท์ลีย์) โดย The Continental GT3 Pikes Peak (เธอะ คอนทิเนนทัล จีที 3 ไพค์ส พีค) ถูกออกแบบ และพัฒนาขึ้นเพื่อลงชิงชัยในรายการแข่งขันด้วยความเร็ว (Time Attack) ของรายการ Pikes Peak International Hill Climb ในปีนี้ ซึ่งถือได้ว่าเป็นอัครยนตรกรรม Bentley รุ่นแรกที่ใช้ระบบพลังงานแบบหมุนเวียน ก่อนที่จะถูกนำมาประยุกต์ใช้กับอัครยนตรกรรมรุ่นอื่นๆที่จะส่งมอบให้แก่ลูกค้าทั่วโลก
รถแข่ง The Continental GT3 (เธอะ คอนทิเนนทัล จีที 3) คันนี้ ซึ่งถูกพัฒนาบนหลักการพื้นฐานของรถแข่ง Bentley จะเข้าชิงชัยในรอบ 20.0 กม. ด้วยระบบเชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel-based Gasoline) โดยขั้นตอนการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงได้ถูกทดสอบ และประเมินบนพื้นฐานของหลักการลดปริมาณการปล่อยแกสเรือนกระจก (GHG) ให้ได้ถึง 85 % ซึ่งถือว่ามากกว่าเกณฑ์มาตรฐานของเชื้อเพลิงฟอสซิล (Fossil Fuel) สิ่งนี้จึงเป็นก้าวแรกของจุดเริ่มต้นในการวิจัย และพัฒนาการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuels) และเชื้อเพลิงสังเคราะห์ (E-Fuels) เพื่อเป็นพลังงานทางเลือกในการขับเคลื่อนแผนงานด้านความยั่งยืนของ Bentley
โดย กลยุทธ์ “Beyond 100” จะขับเคลื่อน Bentley ไปสู่ผู้ผลิตอัครยนตรกรรมหรูที่ยั่งยืนชั้นนำของโลก พร้อมกับอัครยนตรกรรมของ Bentley ที่จะใช้พลังงานไฮบริด (Hybrid) ทุกรุ่นภายในปี พศ. 2566 ก่อนที่จะเป็นผู้ผลิตอัครยนตรกรรมไฟฟ้าพลังงานแบทเตอรี (BEV) เต็มรูปแบบภายในปี พศ. 2573 ซึ่งการนำเอาพลังงานแบบหมุนเวียนมาใช้นั้นได้แสดงให้เห็นถึงการเริ่มต้นของแผนงานระยะยาว พร้อมด้วยการวิจัย และพัฒนาเพื่อนำเอาการใช้พลังงานหมุนเวียนมาใช้กับอัครยนตรกรรมของลูกค้า ร่วมไปกับการใช้พลังงานไฟฟ้า โดยทั้งสองกลยุทธ์นี้จะขับเคลื่อน Bentley ไปผู้ผลิตอัครยนตรกรรมรักษ์โลก ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ “Beyond 100”
สำหรับเครื่องยนต์สันดาป ทาง Bentley Motors จะยังคงดำเนินการผลิตต่อไปอีก 9 ปี และแผนงานใหม่ที่ออกมาจะช่วยต่อยอดให้อัครยนตรกรรมของ Bentley เป็นอัครยนตรกรรมที่รักษ์โลกด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี และนวัตกรรมของน้ำมันเชื้อเพลิง โดยกว่า 80 % ของอัครยนตรกรรม Bentley ที่ผลิตนั้น ยังคงอยู่บนท้องถนนในปัจจุบัน ซึ่งในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า การมอบทางเลือกการใช้เชื้อเพลิงแบบหมุนเวียนให้แก่ลูกค้าจะเป็นการมอบประสบการณ์ที่พิเศษสำหรับผู้ที่ครอบครองอัครยนตรกรรม Bentley ทั้งรุ่นคลาสสิค และรุ่นปัจจุบัน
ดร. แมทเทียส เรบบ์ ประธานบริหารฝ่ายวิศวกรรม Bentley Motors กล่าวว่า เรามีความยินดีที่จะได้กลับมาแข่งขันในรายการ Pikes Peak เป็นครั้งที่ 3 และครั้งนี้เป็นการนำอัครยนตรกรรมพร้อมกับพลังงานแบบหมุนเวียนมาใช้ ซึ่งถือเป็นแผนงานเริ่มต้นสำหรับส่วนงานอื่นๆ ของกลยุทธ์ “Beyond 100” ของเรา อีกทั้งวิศวกรเครื่องยนต์ของเราได้ดำเนินการด้านงานวิจัย ทั้งในด้านงานวิจัยเชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) และเชื้อเพลิงสังเคราะห์ (E-Fuels) สำหรับใช้กับรถยนต์ลูกค้าร่วมไปกับงานวิจัยด้านการใช้พลังงานไฟฟ้า โดยมีความคืบหน้าไปกว่าครึ่งทางแล้วในส่วนของแผนการดำเนินงานด้านการนำเอาพลังงานหมุนเวียนมาใช้ที่โรงงาน Bentley Motors และรถยนต์ที่ใช้ที่โรงงานฯ สำหรับ The Continental GT3 Pikes Peak จะแสดงให้เห็นถึงการนำเอาพลังงานเชื้อเพลิงแบบหมุนเวียนมาใช้ในการผลักดันวงการมอเตอร์สปอร์ทในแบบรักษ์โลก และเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสิ่งนี้จะช่วยให้เราคว้าชัยในรายการนี้ได้เป็นครั้งที่ 3
โครงการ Pikes Peak ของ Bentley ได้ถูกพัฒนาร่วมกับกลุ่มลูกค้าของ The Continental GT3 ในนาม “Fastr” กลุ่มลูกค้าที่ประสบความสำเร็จในการจัดการแข่งขันรถแข่ง Bentley ในการแข่งขันด้วยความเร็ว (Time Attack) มาแล้วทั่วประเทศอังกฤษ ทั้งทีมงานด้านเทคนิคของ Bentley เอง และทีมงานจาก Fastr ต่างร่วมมือกันกับผู้เชี่ยวชาญจาก M-Sport ในเขตคัมเบรียเพื่อดึงเอาสุดยอดของสมรรถนะจาก The Continental GT3 มาใช้ โดยมีแผนลงแข่งขันในโคโลราโดโดยทีมงานพร้อมกับได้รับการสนับสนุนจากทีม K-PAX Racing
ในการทำลายสถิติ The Continental GT3 Pikes Peak ต้องแข่งขันขับขึ้นทางลาดชันที่มีความสูงกว่า 5,000 ฟุต ซึ่งประกอบด้วยทางโค้งกว่า 156 โค้ง ด้วยความเร็วเฉลี่ย 125.53 กม./ชม. เพื่อให้เข้าเส้นชัยภายในเวลา 9 นาที 36 วินาที โดยมีอดีตผู้ชนะการแข่งขัน Pikes Peak ติดต่อกัน 3 รายการอย่าง Rhys Millen กลับมาควบ Bentley ชิงชัยอีกครั้ง โดย Rhys Millen ได้เคยทำสถิติการแข่งขันด้วยความเร็ว (Time Attack) กับรถเอสยูวี Bentayga W12 (เบนเทย์กา เครื่องยนต์รุ่น W12) ในปี พศ. 2561 และ The Continental GT ในปี พศ. 2562 มาแล้ว
อัครยนตรกรรม Bentley ที่ทรงสมรรถนะที่สุดในประวัติศาสตร์
จากจุดสตาร์ทการแข่งขันเริ่มต้นที่ความสูง 9,300 ฟุต นักแข่งจะต้องขับไปที่ความสูงกว่า 14,100 ฟุต โดยที่มีความหนาแน่นของอากาศเปรียบเทียบกับความหนาแน่นของอากาศในความสูงระดับน้ำทะเลเพียงแค่ 1 ใน 3 เท่านั้น ซึ่งสภาพแวดล้อมลักษณะนี้ การออกแบบ The Continental GT3 Pikes Peak จึงต้องคำนึงถึงหลักการแอโรไดนามิค (Aerodynamics) และสมรรถนะของเครื่องยนต์เป็นสำคัญ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จึงเป็นเครื่องพิสูจน์ความเป็นอัครยนตรกรรมที่ทรงสมรรถนะที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Bentley ได้เป็นอย่างดี
การออกแบบอย่างลงตัวด้วยสปอยเลอร์หลังขนาดใหญ่ที่ถูกประกอบเข้ากับส่วนหลังของตัวรถบนดิฟฟิวเซอร์หลัง ล้อมรอบกระปุกเกียร์ส่งกำลัง และอุปกรณ์แอโรไดนามิคติดตั้งบริเวณด้านหลังทำให้สมดุลกันกับอุปกรณ์ที่ติดตั้งบริเวณด้านหน้า และด้านข้าง
สำหรับเครื่องยนต์ของ The Continental GT3 Pikes Peak นั้น เครื่องยนต์ได้ถูกพัฒนามาจากเครื่องยนต์รุ่น V8 เทอร์โบ ขนาด 4 ลิตร ที่ใช้กับ The Continental GT โดยถูกพัฒนาเพื่อใช้กับเชื้อเพลิงชีวภาพ และเพื่อให้มั่นใจได้ว่าเครื่องยนต์จะสามารถผลิตพละกำลังได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยมีระบบท่อไอเสียด้านข้างลำตัวรถเพื่อให้เสียงที่ดุดันเข้ากับรูปลักษณ์ที่แข็งแกร่งของตัวรถ
มากไปกว่านั้น ยังมีการพัฒนาในส่วนของระบบแอร์ทำความเย็นแทนที่กระจกด้านหลังห้องโดยสาร และนาฬิกาจับเวลาบริเวณพวงมาลัย เพื่อให้นักแข่งสามารถควบคุมเวลาขณะแข่งขันได้
The Continental GT3 Pikes Peak กำลังอยู่ในขั้นตอนการทดสอบ และพัฒนาในประเทศอังกฤษ ก่อนที่จะถูกส่งไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาสำหรับการทดสอบภายใต้ความดันต่ำ (Altitude Testing) โดยข้อมูลเพิ่มเติมจะประชาสัมพันธ์ในช่วงเดือนพฤษภาคมก่อนการแข่งรายการ Pikes Peak International Hill Climb ครั้งที่ 99 ในวันที่ 27 มิถุนายน 2564 สำหรับข้อมูลเชิงเทคนิคเพิ่มเติมของ The Continental GT3 Pikes Peak จะมีการประกาศให้ทราบในภายหลัง
——————————
เรื่องโดย : นุสรา เงินเจริญ
ภาพโดย : บริษัทผู้ผลิต
คอลัมน์ Online : ธุรกิจ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/RXM5H
วันที่เผยแพร่ : วันพุธ ที่ 12 พฤษภาคม 2564 เวลา 17:00 นาฬิกา