ปลดล็อกประชาธิปไตยพลังงาน สยามรัฐ

เสรี พงศ์พิศ


www.phongphit.

สี่สิบปีก่อน โทรศัพท์บ้านกว่าจะได้ต้องรอหลายปี อยากได้เร็วต้องซื้อต้องเซ้งหลายหมื่นถึงแสนต่อเบอร์ ไม่งั้นก็ต้องไปรอคิวโทรตู้สาธารณะ วันนี้โทรศัพท์สายในตู้และที่บ้านหายไป มีแต่มือถือที่เหมือนได้เปล่า หมายเลขก็เลือกได้ “ฟรี” บางคนมีหลายเครื่องหลายเบอร์ ถ้าใช้เฟซใช้ไลน์โทร “ฟรี” อีกต่างหาก

สามสิบปีก่อน ป้ายแท็กซี่ราคาแพงกว่าตัวรถ รัฐบาลอานันท์มา “ปลดล็อก” ทำให้ป้ายแท็กซี่ หรือทะเบียนรถไม่มีราคา ใครไปขอก็ได้ วันนี้มีแกร็บสี่ล้อสองล้อเต็มบ้านเต็มเมือง เมืองไหนก็มี เรียกได้ง่าย ไม่ต้องง้อหรือกลัวถูกแท็กซี่ปฏิเสธอีก

สองเรื่องดังกล่าว ในอดีตกำลังต่อรองเป็นของผู้ผลิต เจ้าของปัจจัย วันนี้เป็นของผู้บริโภค เรื่องพลังงานวันนี้ยังเป็นของการไฟฟ้า เป็นของบริษัทน้ำมัน ต่อไปในอีกไม่ช้าก็จะทำนองเดียวกันกับโทรศัพท์

การไฟฟ้าผูกขาดไฟฟ้า เหมือนดึงไว้ไม่ให้มีการ “กระจายพลังงาน” หรือที่เรียกกันว่า “ประชาธิปไตยพลังงาน” ไปให้ประชาชน ซึ่งควรมีสิทธิใช้แสงแดด พลังงานฟรีที่มีในธรรมชาติอย่างล้นเหลือ เพียงแค่ติดตั้งแผงโซลาร์ เครื่องแปลงและแบตเตอรี่

ด้านหนึ่งก็บอกว่า สามารถทำเอง ใช้เองได้เลย ครอบครัวทั่วไปคงทำได้ยาก ยังมีปัญหามากมาย ที่รัฐไม่ให้การสนับสนุน ยังตั้งกฎระเบียบอะไรให้ยังต้องพึ่งการไฟฟ้า กลางวันไม่ได้ใช้จะส่งไปยังการไฟฟ้า ที่ซื้อ (ของเรา) ถูก ขาย (คืนให้เรา) แพง (เหมือนสมัยก่อนบอกชาวบ้านตั้งกลุ่มออมทรัพย์ แล้วให้เอาเงินไปฝากแบงก์ได้ดอกถูก แล้วไปกู้เงินตัวเองจากแบงก์เสียดอกแพง อ้างว่าเพื่อความปลอดภัย)

แบตเตอรี่ยังราคาแพง แต่ถูกลงทุกปี โซลาร์เซลล์วันนี้ไม่แพงแล้ว จีนเป็นผู้ผลิตใหญ่สุดของโลก และใช้เองมากที่สุด อีกไม่นาน เมื่อราคาอุปกรณ์เพื่อการผลิตไฟฟ้าใช้เองลดลง คงไม่มีทางที่การไฟฟ้าจะสะกัดกั้น “ประชาธิปไตยพลังงาน” ได้

วันนี้ หลังคาบ้านที่เป็นโซลาร์เซลล์ก็มีแล้ว ปูนใหญ่ก็ผลิตขาย บ้านไม่ต้องมุงกระเบื้องแล้วเอาโซลาร์เซลล์มาแปะอีกที มุงบ้านแบบทูอินวันได้เลย

แบตเตอรี่ที่เทสลาและอีกหลายบริษัทแข่งกันผลิตก็ไม่ได้ใช้แต่เฉพาะรถไฟฟ้า แต่สำหรับบ้านเรือน ซึ่งเป็นที่ต้องการมากกว่ารถยนต์เสียอีก เหลือให้การไฟฟ้าผลิตเพื่ออุตสาหกรรมและที่ไหนใหญ่ๆ เท่านั้น

ขณะนี้มีการพัฒนาแบตเตอรี่แข่งกันดุเดือดทั่วโลก ไฟฟ้าที่เก็บไว้ที่บ้านใช้ได้ตลอดวัน ชาร์จรถยนต์ได้ และเก็บไว้วันที่ไม่มีแดดได้ ถ่ายจากแบตรถยนต์ไปใช้ในบ้านได้อีก

เหมือนรถยนต์ไฟฟ้า ถ้ารัฐส่งเสริมเรื่องภาษี มีมาตรการอีกมากมายเป็นแรงจูงใจ ก็จะพัฒนาไปเร็ว ประชาธิปไตยไฟฟ้าก็เช่นกัน ทำให้คนทั่วไปใช้ได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น ก็จะกระจายไปได้เร็ว เหมือนอยากให้คนใช้น้ำมันไร้สารตะกั่วก็ลดราคาให้ถูกกว่าน้ำมันอื่น แค่นั้นไม่นานคนก็หันมาใช้น้ำมันไร้สารตะกั่วกันหมด

ถึงอย่างไร อีกไม่นาน เมื่อราคาแบตเตอรี่ลดลงทุกปีก็จะถึงระดับที่คนทั่วไปซื้อได้ ประสิทธิภาพก็สูง เก็บไฟได้มากและนาน ก็จะเหมือนมือถือสมาร์ทโฟนที่ตอนแรกราคาหลายหมื่น วันนี้ใครๆ ก็ซื้อหามาใช้ได้

หรืออาจจะเหมือนรถยนต์ไฟฟ้าที่ก่อนนี้ราคาสูงกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันหลายเท่า วันนี้ลงมาเท่ากันหรือน้อยกว่าแล้วบางยี่ห้อบางประเทศ และการดูแลรักษาก็ถูกกว่ามาก

ประเทศในยุโรปมีการสนับสนุนการใช้รถไฟฟ้าอย่างชัดเจน ไม่ได้เกรงใจรถยี่ห้อดังทั้งหลายที่ยังผลิตรถใช้น้ำมันกันอยู่ จนทุกบริษัทถูกบีบทางอ้อมให้ผลิตแต่รถไฟฟ้าในไม่กี่ปีข้างหน้า

รัฐบาลประเทศเหล่านั้นมีวิสัยทัศน์และมีมาตรการรูปธรรมส่งเสริมจริง อย่างลดภาษี ลดค่าต่อทะเบียน ชาร์จไฟฟรี จอดรถฟรี ทางด่วนฟรี ให้วิ่งทางพิเศษที่รถอื่นวิ่งไม่ได้ นี่มาตรการของนอร์เวย์

เยอรมนีสมทบเงินให้คนที่ซื้อรถไฟฟ้าที่ราคาต่ำกว่า 40,000 ยูโร (ประมาณ 1.5 ล้าน) ใครซื้อรถไฟฟ้าจะได้เงินอุดหนุน 3,000 ยูโร (ประมาณ 110,000 บาท) ซื้อรถไฮบริดจะได้ 2,250 ยูโร (ประมาณ 84,000 บาท) ด้วยเหตุผลเพื่อลดมลภาวะที่เกิดจากไอเสียรถยนต์ รวมทั้งให้แรงจูงใจอื่นๆ อีก

ถ้ารัฐบาลไทยส่งเสริมรถไฟฟ้าอย่างเป็นรูปธรรม เมืองไทยจะเป็นศูนย์กลางสำคัญพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคนี้ แต่ถ้ายังเกรงใจบริษัทน้ำมัน บริษัทรถยนต์ยังขอเวลาโละของเก่า และอ้างว่าต้องไป “ตามขั้นตอน” ก็คงต้องเป็นผู้ซื้อมากกว่าผู้ขาย เป็นผู้บริโภคมากกว่าผู้ผลิตตลอดกาล และอาจต้องวิ่งตามเวียดนามในไม่ช้า ซึ่งกำลังพัฒนาคล้ายกับเกาหลีเมื่อหลายสิบปีก่อน

ห้าสิบหกสิบปีก่อน ไทยกับเกาหลีพัฒนาพอๆ กัน แต่เกาหลีมีวิสัยทัศน์ พัฒนาการศึกษา การวิจัย และอุตสาหกรรมจนวันนี้ไม่ใช่ผู้ใช้ หรือผู้บริโภค แต่เป็นผู้ผลิต ไม่ว่าโทรศัพท์ เครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์

เมืองไทยจะกลายเป็น “เซียงกง” เต็มไปด้วย “ขยะ” รถยนต์ใช้น้ำมัน มือสองของเก่า ขยะอิเล็กทรอนิกส์ อะไรที่ใครๆ เขาไม่ใช้แล้วก็ส่งมาเมืองไทย ที่จะเต็มไปด้วยมลพิษ ทั้งอากาศและสิ่งแวดล้อม

ไทยเราไม่เดินนำหน้า ชอบเดินตามหลัง บางครั้งต้องถูกโลก “ลากไปจูงไป” บางครั้งตามไม่ทัน หลงทางก็มี เขาไปถึงไหนแล้ว เรายังแย่งกันซื้อคลื่นความถี่มาทำทีวีดิจิทัลทีเดียว 20 กว่าช่อง นับพันๆ ล้าน แล้วก็แข่งกันปิด เพราะคนเลิกดูทีวี เทคโนโลยีเปิดกว้างให้คนทำทีวีวิทยุเองได้ ดูทุกอย่างทางจอเล็กได้สบาย

ความคิดมีค่ากว่าเงิน ไม่ใช่มีเงินแล้วจะซื้ออะไรก็ได้ ประเทศทั่วโลกที่พัฒนาก้าวหน้า เขาไม่ได้เอาเงินนำหน้าปัญญาตามหลัง แต่ส่งเสริมการศึกษาที่สร้างปัญญา พัฒนานวัตกรรม และส่งเสริม “ประชาธิปไตย” ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม อันเป็นที่มาของ “ประชาธิปไตยพลังงาน” การกระจายอำนาจ กระจายทรัพยากร ปลดล็อกอำนาจและการผูกขาด