Ferrari รุ่นลิมิเต็ด เอดิชั่น ขุมพลัง V12 รุ่นล่าสุด เริ่มเคาต์ดาวน์ตั้งแต่บัดนี้ ชื่อรุ่นและข้อมูลทางเทคนิคเพิ่มเติม จะถูกเปิดเผยในวันที่ 5 พฤษภาคม ผ่านการถ่ายทอดสดจากช่องทางโซเชียลมีเดียของ Ferrari นี่คือขีดสุดแห่ง DNA จากแบรนด์ม้าลำพอง ความพิเศษของจิตวิญญาณจากสนามแข่ง ผสานระบบขับเคลื่อนที่ทรงพลัง เครื่องยนต์ V12 แบบไม่มีระบบอัดอากาศ ปลดปล่อยกำลังได้ถึง 830 แรงม้า ที่ 9,500 รอบต่อนาที ให้สมรรถนะในด้านอัตราเร่ง และความสนุกในการควบคุมจักรกลพลังสูง
ภาพถ่ายอย่างเป็นทางการชุดแรกของรถซุปเปอร์คาร์ตราม้า รุ่น ลิมิเต็ด เอดิชั่น ซีรีส์ล่าสุดจาก Ferrari ได้รับการเผยแพร่เป็นครั้งแรก ก่อนงานเวิลด์พรีเมียร์ ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 5 พฤษภาคม เวลา 19.30 น. (ตามเวลาประเทศไทย) โดยจะจัดผ่านการถ่ายทอดสดบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของ Ferrari รถรุ่นใหม่คันนี้เป็นขีดสุดแห่งสปอร์ตคาร์เครื่องวางหน้าขับเคลื่อนล้อหลังแนว Berlinetta การวางเครื่องยนต์เอาไว้ที่ด้านหน้า เป็นเอกลักษณ์ของ Ferrari ที่ใช้ในรถยนต์เครื่องยนต์ V12 ขนาดใหญ่ รถรุ่นใหม่ ได้รับแรงบันดาลใจมาจากรุ่น 812 Superfast ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านการทำความเร็ว โดยเฉพาะอัตราเร่ง 0-200 ให้ขึ้นไปอีกขั้นของความเหนือชั้น อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ผลลัพธ์จากการพัฒนาและปรุงแต่ง คือรถที่บันทึกประสบการณ์ของ Ferrari มานานมากกว่า 70 ปี จากประวัติศาสตร์ในสนามแข่งทั่วโลก ถูกรวมไว้ใน DNA ที่แสดงให้เห็นถึงเชื้อสายสปอร์ตคาร์สายพันธุ์แท้ ถ่ายทอดความดุดันของสมรรถนะ, รูปโฉม และประสิทธิภาพการขับเคลื่อน การปรับแต่งทางวิศวกรรมนับร้อยรายการ จนมั่นใจว่าจะได้มาซึ่งความเร้าใจในการขับขี่ที่เหนือกว่า 812 รุ่นมาตรฐาน (ของเดิมก็แรงสุดลิ่มแล้ว) และเพื่อเป็นการเอาใจเศรษฐีนักสะสม ซึ่งเป็นแฟนพันธุ์แท้ของ Ferrari โดยเฉพาะ
รถ Ferrari ในทุกวันนี้ มีสิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจ นอกจากรูปทรงที่เป็นเอกลักษณ์ หัวใจหลักของรถก็มีความสำคัญสูงสุดในการขับเคลื่อน วิวัฒนาการล่าสุดของขุมพลังในยุคสุดท้าย ก่อนที่จะกลายไปเป็นระบบไฟฟ้า นี่คือต้นกำลังเบนซิน รูปตัววี แบบ V12 วางทำมุม 65 องศา เพื่อส่งถ่ายสมรรถนะสูงสุดขณะทำงานเต็มกำลัง V12 คือขุมพลังระดับตำนานของมาราเนลโล ช่วยผลักดันให้แบรนด์ม้าลำพอง ก้าวขึ้นสู่การเป็น Road-car ที่มีเครื่องยนต์พละกำลังมหาศาลที่สุด สำหรับ 812 Limited Edition มีกำลังสูงสุดที่ 830 แรงม้า และเร่งด้วยรอบเครื่องที่สูงถึง 9,500 รอบต่อนาที นับเป็นรอบเครื่องสูงสุดในบรรดาเครื่องยนต์สันดาปภายในของ Ferrari การใช้ชิ้นส่วนที่ล้ำสมัย, กลไกหลักๆ มากมายในเครื่องยนต์ที่ได้รับการออกแบบใหม่, เช่น ระบบวาล์วไทมิ่งใหม่ และระบบระบายไอเสียใหม่ เป็นส่วนหนึ่งของการปรับแต่งทางเทคนิค ทำให้เครื่องยนต์ตัวนี้ ถ่ายทอดสมรรถนะออกมาได้ในระดับที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในกลุ่มเครื่องยนต์ V12
พละกำลังสุดดุดันที่ปลดปล่อยมาจากระบบขับเคลื่อน ทำงานร่วมกับระบบควบคุมไดนามิกส์ระดับ Class-leading เพื่อให้มั่นใจว่ารถจะสามารถระเบิดสมรรถนะทั้งหมดออกมาได้อย่างเต็มพิกัด ให้ความเร้าใจถึงขีดสุดเมื่ออยู่หลังพวงมาลัย จุดที่เด่นที่สุดคือ การนำระบบควบคุมการเลี้ยวแบบแยกอิสระทั้งสี่ล้อ เข้ามาช่วยเพิ่มความคล่องแคล่วและแม่นยำให้มากขึ้นขณะเข้าโค้ง ส่งผลให้พวงมาลัยตอบสนองดีกว่าเดิม
ความสำเร็จทางวิศวกรรมที่มีความสำคัญก็คือ การพัฒนาเพื่อลดน้ำหนักเมื่อเทียบกับ 812 Superfast ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้จากการใช้ชิ้นส่วนคาร์บอนไฟเบอร์มากกว่าเดิม ทั้งตัวถังภายนอกและห้องโดยสาร ปิดท้ายด้วยการใช้ระบบควบคุมไดนามิกส์ของรถ “Side Slip Control” รุ่นใหม่ล่าสุดในเวอร์ชัน 7.0 การวิจัยเชิงลึกเกี่ยวกับอากาศพลศาสตร์ จนทำให้เส้นสายของรถเปลี่ยนไปจากเดิม ทีมอากาศพลศาสตร์ ทำงานร่วมกับนักออกแบบจาก Ferrari Styling Centre นำเอารูปทรงที่สุดขั้ว ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในรถยนต์ที่ใช้งานบนถนนได้ถูกต้องตามกฎหมายมาใช้ แอโรไดนามิกส์ ที่ได้รับการปรับแต่งใหม่รอบคัน มีจุดประสงค์เพื่อสร้างแรงกดให้มากยิ่งขึ้น ไล่ตั้งแต่ ช่องรับอากาศด้านหน้า, ดิฟฟิวเซอร์หลัง, ท่อไอเสียไปจนถึงส่วนท้ายของรถ ทำหน้าที่เป็นตัวเรียงกระแสอากาศไปในตัว ทุกการปรับแต่ง ขึ้นตรงตามความเชื่อและยึดถือของ Ferrari ที่ว่า รูปทรงจะต้องสอดคล้องตามฟังก์ชั่นการใช้งาน ในด้านของดีไซน์ รถใหม่ซีรีส์พิเศษ มีภาพลักษณ์ที่เป็นเอกเทศ แตกต่างจากรุ่น 812 Superfast ที่ถูกใช้เป็นต้นแบบอย่างมาก จากออกแบบที่สอดคล้องกับความมีชีวิตชีวา ที่มีอยู่ใน 812 Superfast ให้สุดขั้วขึ้นไปอีกขั้น
หนึ่งในตัวอย่างของดีไซน์ใหม่ก็คือการแทนที่กระจกหลังด้วยโครงสร้างอะลูมิเนียมแบบชิ้นเดียว ตัวเรียงกระแสอากาศช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับแอโรไดนามิกส์ของรถ แต่ดีไซน์แบบต่อเนื่องมาจากหลังคาที่เลือกนั้น ยังจำลองโครงสร้างแบบกระดูกสันหลังที่ช่วยเน้นย้ำให้เห็นถึงสถาปัตยกรรมต่างๆ ของรถอีกด้วย ฝากระโปรงหน้าคาดด้วยครีบคาร์บอนไฟเบอร์ ความโดดเด่นนี้เปลี่ยนมุมมองของรถได้อย่างชัดเจน มันทำให้ฝากระโปรงดูสั้นกว่าเดิม ช่วยขับให้เห็นถึงความกว้างของรถมากขึ้น ด้านท้ายแบบฟาสต์แบ็กให้ภาพลักษณ์ที่ทรงพลัง ส่งให้รถดูกะทัดรัดและเหมือนรถแข่งยิ่งขึ้น แม้จะแชร์โครงร่าง, สัดส่วน และความงดงามลงตัว ร่วมกับ 812 Superfast ก็ตาม สปอยเลอร์ท้ายก็มีขนาดใหญ่ขึ้นเช่นกัน แต่ถึงจะมีความสูงมากกว่าเดิม ทว่าการออกแบบขึ้นมาสำหรับรถรุ่นนี้โดยเฉพาะจึงเสริมให้ท้ายรถดูกว้างมากๆ จนดูแทบจะเป็นแนวนอนไปกับพื้นถนน