บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย สานต่อปีแห่งความสำเร็จ

วันจันทร์ ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564, 14.37 น.

บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย สานต่อปีแห่งความสำเร็จ

นำทัพยานยนต์ใหม่สุดตระการตา เติมความหลากหลายที่ตอบโจทย์นักขับทั่วไทย

บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ต่อยอดความสำเร็จหลังคว้าตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดยานยนต์พรีเมียมในปี 2563 เปิดตัวทัพยนตรกรรมใหม่ครบทั้งสามแบรนด์ ได้แก่ บีเอ็มดับเบิลยู X7 xDrive30d M Sport ใหม่, บีเอ็มดับเบิลยู 330Li M Sport ใหม่, มินิ คูเปอร์ เอส คันทรีแมน, มินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ GP Inspired Edition, และบีเอ็มดับเบิลยู

R 18 Classic First Edition ณ งานแถลงข่าวประจำปี 2564 ของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย

 บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ต่อยอดความสำเร็จในปี 2563 ด้วยการเปิดตัวทัพยนตรกรรมใหม่ครบทั้งสามแบรนด์ หลังสร้างความสำเร็จครั้งสำคัญจากการคว้าตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดยานยนต์พรีเมียม ทั้งยังเดินหน้ามอบพลังแห่งทางเลือกให้แก่ลูกค้าอย่างไม่หยุดยั้ง สานต่อจากการเปิดตัวบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 5 ใหม่ในเดือนมกราคม ด้วยรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ใหม่หลากหลายรุ่น ครอบคลุมตั้งแต่รถยนต์อเนกประสงค์ SAV สุดหรูไปจนถึงมอเตอร์ไซค์ครูสเซอร์สุดคลาสสิก

ทัพยนตรกรรมใหม่ในปีนี้ นำโดยบีเอ็มดับเบิลยู X7 xDrive30d M Sport ใหม่ ที่สุดแห่งยนตรกรรมหรูในตระกูล SAV ที่นำเข้ามาประกอบในประเทศไทยเป็นครั้งแรก และบีเอ็มดับเบิลยู 330Li M Sport ซึ่งเป็นครั้งแรกที่บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 3 Gran Sedan จะนำความสะดวกสบายในห้องโดยสารที่เหนือกว่ามามอบให้กับลูกค้าในไทย ส่วนมินิพร้อมเติมสีสันให้กับตลาดรถยนต์พรีเมียมคอมแพกต์อีกครั้ง กับ มินิ คูเปอร์ เอส คันทรีแมน ที่มาในโฉมใหม่ทั้งในรุ่นเอนทรี และไฮทริม พร้อมด้วยความโฉบเฉี่ยวขั้นสุดกับ มินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ GP Inspired Edition ที่นำสมรรถนะจากสนามแข่งของรุ่น จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ เดิม มาเติมเต็มให้แรง ท้าทายทุกสายตาด้วยโฉมใหม่ที่ส่งตรงมาจากรุ่นพิเศษอย่าง มินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ GP

สำหรับคนรักมอเตอร์ไซค์ บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราดพร้อมต่อยอดความสำเร็จของมอเตอร์ไซค์ครูสเซอร์รุ่นแรกเมื่อปีที่ผ่านมา ด้วยการเปิดตัวบีเอ็มดับเบิลยู R 18 Classic First Edition รถทัวริ่งครูสเซอร์ที่เปี่ยมด้วยจิตวิญญาณแห่งอิสรภาพบนทุกเส้นทางยาวไกล แต่ยังคงความคลาสสิกของ R 18 รุ่นเดิมไว้ทุกอณู

มร. อเล็กซานเดอร์ บารากา ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เผยว่า “บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ได้ดำเนินธุรกิจด้วยวิสัยทัศน์ที่มุ่งสู่อนาคตมาโดยตลอดในทุกระดับ และสำหรับปี 2563 ที่ผ่านมา วิสัยทัศน์นี้ก็ได้นำพาเราให้ฟันฝ่าเหตุการณ์ไม่คาดฝันมากมายมาได้ ไม่ว่าจะด้วยการมอบประสบการณ์ดิจิทัลที่ครบครันมากขึ้นหรือความมุ่งมั่นที่จะเติมเต็มทุกความต้องการในโลกยานยนต์สำหรับทั้งปัจจุบันและอนาคต ด้วยทางเลือกที่หลากหลายจากแนวคิด Power of Choice”

“แน่นอนว่าสำหรับปี 2564 นี้ เรายังคงรุดหน้าอย่างต่อเนื่องเพื่อต่อยอดความสำเร็จในฐานะผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดรถยนต์พรีเมียม ด้วยผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่เร้าใจและสะดุดตายิ่งกว่าเดิม ทั้งยังเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าอย่างทั่วถึงทุกความต้องการ นับตั้งแต่ที่สุดของความหรูหราและความสง่างามในสไตล์สปอร์ต ไปจนถึงความตื่นตาตื่นใจจากสนามแข่งและความเพลิดเพลินจากการดื่มด่ำบรรยากาศของทุกการเดินทาง นอกจากนี้ เรายังคงมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์ประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับลูกค้าต่อไป เพื่อสานต่อนวัตกรรมมากมายที่เกิดขึ้นจากการปรับตัวรับมือกับสถานการณ์ในปัจจุบันนี้ ให้ครอบคลุมหลากหลายความสนใจของกลุ่มลูกค้ามากยิ่งขึ้น โดยเริ่มต้นจากโครงการ BMW Motorrad Tour Experience เพื่อนำเหล่าไบค์เกอร์ออกสัมผัสความสวยงามจากเหนือจรดใต้ของประเทศไทยในมุมมองใหม่ ๆ ตลอดทั้งปีนี้”

อีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ กับความสำเร็จครั้งสำคัญของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทยในปี 2563

ในปีที่ผ่านมา บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย สามารถขยายส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มรถยนต์พรีเมียมขึ้นมาที่ 51.2% ด้วยยอดการส่งมอบรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูและมินิรวมถึง 12,426 คัน ทำให้บริษัทก้าวขึ้นสู่อันดับหนึ่งในเซกเมนต์ดังกล่าวได้สำเร็จ นอกจากนี้ ส่วนแบ่งตลาดพรีเมียมที่เติบโตขึ้นถึง 7.3% ยังนับเป็นสถิติอัตราการเติบโตสูงสุดในเครือข่ายของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ทั่วโลกอีกด้วย ทั้งนี้ ยอดการส่งมอบรถยนต์ของทั้งสองแบรนด์นับว่าเป็นผลงานที่แข็งแกร่งกว่าภาพรวมของตลาดรถยนต์นั่ง ซึ่งมียอดขายลดลงถึง 31% ส่วนทางบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ยังคงรักษาระดับยอดการส่งมอบไว้ได้ที่ 1,224 คัน ท่ามกลางความท้าทายครั้งประวัติศาสตร์นี้

“สถานะผู้นำในเซกเมนต์พรีเมียมของเรา ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงความรวดเร็วของเราในการปรับตัวรับมือเหตุการณ์ที่เหนือความคาดหมาย และความมุ่งมั่นทุ่มเทของเหล่าพันธมิตรในเครือข่ายผู้จำหน่ายของเรา เพื่อตอบสนองต่อทั้งความต้องการของลูกค้าและปัจจัยความเปลี่ยนแปลงจากภายนอก” มร. บารากา เสริม “เมื่อชีวิตประจำวันในหลายด้านต้องหยุดชะงักลงชั่วขณะ เราจึงขยายการทำตลาดผ่านช่องทางดิจิทัลให้กว้างขวางขึ้นจากปีก่อน ๆ โดยรวมไปถึงการสร้างประสบการณ์ดิจิทัลในสองงานใหญ่ประจำปี ทั้งบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2020 และมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 37 ควบคู่ไปกับการจัดแสดงรถยนต์หน้างานจริงและข้อเสนอที่น่าตื่นตาตื่นใจมากมายเช่นเคย ส่วนงาน BMW Xpo ของเราก็ได้ปรับรูปแบบให้ใกล้ชิดกับลูกค้ามากขึ้นด้วยการจัดงานในหลายสถานที่ทั่วกรุงเทพฯ”

การขับเคลื่อนนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ทั่วโลก ยังคงเดินหน้าต่อไป เช่นเดียวกับในประเทศไทยด้วยการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบอย่าง มินิ คูเปอร์ เอสอี ในปีที่ผ่านมา พร้อมด้วยรถยนต์ PHEV อีกสี่รุ่นในตระกูลซีรีส์ 3 ซีรีส์ 7 X3 และ X5 ขณะที่เครือข่ายสถานีอัดประจุไฟฟ้าสาธารณะ ChargeNow ก็มีจำนวนหัวจ่ายเพิ่มขึ้นเป็น 111 หัวจ่ายใน 67 จุดบริการทั่วประเทศ

ในด้านการผลิต บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย สามารถต้านทานแรงกดดันจากสภาพตลาดรถยนต์โดยรวม รวมถึงสถานการณ์ที่พลิกผันในห่วงโซ่อุปทานของชิ้นส่วนต่าง ๆ ด้วยยอดการประกอบรถยนต์และมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยูรวมกว่า 32,052 คัน เพิ่มขึ้น 0.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยแบ่งเป็นยอดการประกอบรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู 23,177 คัน ลดลง 10% และยอดประกอบมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราดที่ 8,875 คัน เพิ่มขึ้น 43% ในปี 2563 ที่ผ่านมา ในด้านการส่งออกนั้น มีการส่งออกรถยนต์และมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู รวม 23,143 คัน เพิ่มขึ้นถึง 24% โดยแบ่งเป็นรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูกว่า 15,079 คัน เพิ่มขึ้น 3% และมีการส่งออกมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด กว่า 8,064 คัน เพิ่มขึ้นถึง 97% นับเป็นสถิติการส่งออกที่สูงที่สุดสำหรับทั้งรถยนต์และมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยูในปีที่ผ่านมา และในปีนี้ การเปิดตัว บีเอ็มดับเบิลยู X7 xDrive30d M Sport ใหม่ รุ่นประกอบในประเทศ ก็ทำให้โรงงานประกอบยานยนต์ของบีเอ็มดับเบิลยู ณ จังหวัดระยอง สามารถประกอบรถยนต์และมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยูในประเทศได้ถึง 17 รุ่น โดยรวมถึงรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด 5 รุ่น และมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด อีก 9 รุ่น

ทางด้าน บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งด้วยสถิติใหม่ในหลายด้านตลอดปีที่ผ่านมา ก่อนที่จะฉลองครบรอบ 20 ปีของบริษัทในปี 2564 นี้ โดยยอดสินเชื่อใหม่กว่า 16,770 ล้านบาทในปี 2563 นับเป็นสถิติสูงสุดของบริษัท แม้จะต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนจากโควิด-19 ด้วยเหตุนี้ ยอดสินเชื่อรวมในพอร์ตของบริษัทจึงทะยานสู่หลัก 50,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นสถิติใหม่อีกเช่นกัน ส่วนโปรแกรมทางการเงินอย่าง Freedom Choice ที่มอบทางเลือกและอิสรภาพสูงสุดให้กับลูกค้า มีจำนวนสัญญาเช่าซื้อเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าตัวเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่ประสบการณ์และข้อเสนอในช่องทางดิจิทัลของ บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย ได้ขยายตัวและเพิ่มความหลากหลายขึ้นอย่างชัดเจน ทั้งในรูปแบบของบริการค้นหารถยนต์ที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ที่สุด (Preference Finder) การสัมผัสรถบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 2 และ ซีรีส์ 3 แบบเสมือนจริงผ่านระบบ Augmented Reality และการร่วมนำเสนอบริการผ่านช่องทางออนไลน์ในงานมอเตอร์โชว์และมอเตอร์ เอ็กซ์โป กับบีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย

ไฮไลท์รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู มินิ และมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราดรุ่นใหม่

บีเอ็มดับเบิลยู X7 xDrive30d M Sport ใหม่ (รุ่นประกอบในประเทศ)

ราคาจำหน่าย: 5,999,000 บาท (พร้อมโปรแกรมบำรุงรักษา BSI Standard)

บีเอ็มดับเบิลยู BMW X7 xDrive30d M Sport ใหม่ รถยนต์หรูในเซกเมนต์รถอเนกประสงค์ขนาดใหญ่ (SAV) เผยโฉมรุ่นประกอบในประเทศเป็นครั้งแรก โดยสมาชิกรุ่นใหญ่ที่สุดในตระกูล X รุ่นนี้ หลอมรวมทั้งความคล่องตัว ทรงพลัง และความโอ่อ่าเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ทั้งยังมาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนชั้นเลิศ แต่ยังคงไว้ซึ่งความสะดวกสบายด้วยตัวรถที่กว้างขวางในทุกมิติ

บีเอ็มดับเบิลยู BMW X7 xDrive30d M Sport ใหม่ มาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบ พร้อมเทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ส่งพละกำลังสูงสุด 195 กิโลวัตต์ / 265 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 620 นิวตันเมตรที่ 2,000 – 2,500 รอบต่อนาที พร้อมโลดแล่นสู่ความเร็วสูงสุดที่ 227 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เครื่องยนต์นี้ทำงานสอดประสานกับเกียร์อัตโนมัติ Sport Steptronic 8 จังหวะ ช่วงล่างแบบถุงลมสามารถปรับระดับอัตโนมัติ และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ xDrive จึงมอบความนุ่มสบายเหนือระดับ การควบคุมที่เฉียบคม และความปราดเปรียวอันทรงพลัง ขณะที่ระบบควบคุมช่วงล่าง Executive Drive Pro เสริมความมั่นใจด้วยเสถียรภาพที่เหนือกว่าในทุกจังหวะการขับขี่

ดีไซน์ที่สง่างามของบีเอ็มดับเบิลยู BMW X7 xDrive30d M Sport ใหม่ ได้รับการถ่ายทอดผ่านปรัชญาการออกแบบที่ล้ำสมัยและเป็นเอกลักษณ์ของบีเอ็มดับเบิลยู พร้อมเสริมรูปลักษณ์สปอร์ตทรงพลังด้วยชุดแต่ง M Sport ขณะที่ระบบไอเสีย M Sport มอบเสียงเครื่องยนต์กังวานสอดประสานกับพละกำลังและความสง่างามของตัวรถ และเติมบุคลิกความแรงอย่างลงตัวด้วยเบรกและพวงมาลัย M Sport

รูปลักษณ์ภาพนอกประกาศถึงความทรงพลังบนท้องถนนด้วยกระจังหน้าทรงไตคู่ขนาดใหญ่ ขนาบข้างด้วยไฟหน้าล้ำสมัย BMW Laserlight เส้นสายการดีไซน์ที่เฉียบคมบนตัวถังขนาดใหญ่สะท้อนถึงความปราดเปรียว เรียบง่ายและบึกบึน มาพร้อมล้ออัลลอยน้ำหนักเบา BMW Individual ลาย Y-spoke แบบสลับสีขนาด 22 นิ้ว

ภายในห้องโดยสารมาพร้อมเบาะนั่งแบบสามแถว รวม 7 ที่นั่ง ทุกที่นั่งสามารถปรับได้ด้วยระบบไฟฟ้า มอบความสะดวกสบายให้กับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร เบาะที่นั่งบุด้วยหนังแท้ Merino เนื้อละเอียดจาก BMW Individual หรูหราขึ้นไปอีกขั้นด้วยการตกแต่งห้องโดยสารด้วยลายไม้ สีดำเงา ‘Fineline’ แบบ metal effect มอบความภูมิฐานสง่างาม ตกแต่งภายในด้วยผลึกแก้ว ‘CraftedClarity’ พร้อมชุดไฟ Ambient light

ชุดไฟสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสาร เพดานแบบ Panorama glass roof Sky Lounge ที่เพิ่มความโปร่งอย่างโอ่อ่าเหนือระดับ ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ 5 โซน และระบบความบันเทิงพร้อมจอภาพสำหรับผู้โดยสารตอนหลังรุ่น Professional อีกสองจอ ส่วนห้องเก็บสัมภาระท้ายรถมีปริมาตรความจุ 300 ลิตร และเพิ่มได้สูงสุดถึง 2,120 ลิตร เมื่อพับเบาะแถว 3 และแถว 2 ตามลำดับ ออกแบบมาเพื่อตอบทุกโจทย์การขับขี่

บีเอ็มดับเบิลยู X7 ใหม่ มอบความล้ำสมัยและความปลอดภัยยิ่งกว่าด้วยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ใหม่ล่าสุด ไม่ว่าจะเป็นระบบช่วยนำรถเข้าที่จอดอัตโนมัติรุ่น Plus (Parking Assistant Plus) ระบบช่วยการขับขี่่ (Driving Assistant) และระบบความบันเทิงและสื่อสารรุ่นล่าสุดอย่าง BMW Live Cockpit Professional พร้อมจอ Control Display ขนาด 12.3 นิ้ว ระบบ BMW ConnectedDrive และระบบ BMW Intelligent Personal Assistant ซึ่งสามารถควบคุมผ่านระบบสั่งการด้วยเสียงได้อย่างง่ายดาย มอบความสะดวกสบายตามความต้องการของผู้ขับขี่ในทุกเส้นทาง

นอกจากนี้ บีเอ็มดับเบิลยูยังมุ่งมั่นในการปูรากฐานสู่อนาคตแห่งรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ ด้วยฟังก์ชั่นอย่าง Reversing Assistant ซึ่งจะให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ขับขี่ขณะถอยจอดหรือถอยออกจากที่แคบอัตโนมัติ เป็นส่วนหนึ่งของระบบช่วยนำรถเข้าที่จอดอัตโนมัติ Parking Assistant ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถถอยออกจากบริเวณที่มีพื้นที่แคบได้อย่างง่ายดายแม้จะมีมุมมองที่จำกัด โดยฟังก์ชั่นดังกล่าวจะจดจำองศาการเลี้ยวของพวงมาลัยขณะขับเข้าไปยังพื้นที่แคบความเร็วไม่เกิน 35 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก่อนจะถอยรถออกมาตามเส้นทางเดิมได้เป็นระยะทางสูงสุด 50 เมตร ซึ่งระบบจะสามารถจดจำองศาการเลี้ยวดังกล่าวไว้ได้เป็นระยะเวลายาวนาน ทำให้ผู้ขับขี่สามารถถอยออกจากที่จอดรถได้ แม้จะจอดทิ้งไว้ข้ามคืนหรือเป็นระยะเวลาหลายวัน

บีเอ็มดับเบิลยู X7 xDrive30d M Sport ใหม่ มาให้เลือกในห้าสี ได้แก่ สีเทา Arctic Grey Brilliant Effect สีดำ Black Sapphire Metallic สีดำ Carbon Black Metallic สีขาว Mineral White Metallic และสีน้ำเงิน Phytonic Blue

บีเอ็มดับเบิลยู 330Li M Sport

ราคาจำหน่าย: 2,899,000 บาท (พร้อมโปรแกรมบำรุงรักษา BSI Standard)

บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 3 หนึ่งในรถยนต์ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในทัพยนตรกรรมของบีเอ็มดับเบิลยู มาสร้างความตื่นตาตื่นใจอีกครั้งด้วย บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 3 Gran Sedan กับครั้งแรกของรุ่นฐานล้อยาวในประเทศไทยด้วย บีเอ็มดับเบิลยู 330Li M Sport ใหม่ ที่ยังคงลุคสปอร์ตโฉบเฉี่ยวและสมรรถนะที่เฉียบคมไว้เช่นเคย

แต่เสริมความโอ่อ่าสะดวกสบายยิ่งขึ้นสำหรับผู้โดยสารด้วยฐานล้อที่ยาวขึ้นกว่ารุ่นปกติถึง 110 มิลลิเมตร ส่งให้ตัวรถมีมิติความยาวรวม 4,819 มิลลิเมตร ความกว้างยังคงเดิมที่ 1,827 มิลลิเมตร ขณะที่ความสูงเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 1,441 มิลลิเมตร ความยาว 110 มิลลิเมตรที่เพิ่มขึ้นบริเวณประตูหลัง ช่วยให้ผู้โดยสารเบาะหลัง

เข้า-ออกจากรถได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น ทั้งยังสบายกว่าขณะเดินทางด้วยพื้นที่ห้องโดยสารแถวหลังที่ยาวขึ้นอีก 43 มิลลิเมตร

ดีไซน์ภายนอกของบีเอ็มดับเบิลยู 330Li M Sport ใหม่ ยังคงสื่อถึงความเป็นที่สุดแห่งยนตรกรรม หรือ “Ultimate Driving Machine” ด้วยเอกลักษณ์ดีไซน์ที่ทันสมัย สมรรถนะที่ปราดเปรียว ประสิทธิภาพการขับขี่เหนือระดับ รวมถึงเทคโนโลยีการเชื่อมต่อที่ล้ำยุค ซึ่งรวมเป็นเอกลักษณ์แก่นแท้ของบีเอ็มดับเบิลยู และยังมาพร้อมองค์ประกอบเฉพาะตัวที่โดดเด่นยิ่งขึ้น ด้วยกระจังหน้าทรงไตคู่ขนาดใหญ่ขึ้นล้อมรอบด้วยกรอบที่เชื่อมต่อกันเป็นชิ้นเดียว รับกับไฟหน้า LED ทรงเรียวยาวด้านข้างของตัวรถโดดเด่นด้วยกรอบหน้าต่างดีไซน์แบบ Hofmeister Kink อันเป็นเอกลักษณ์ของบีเอ็มดับเบิลยูที่ได้รับการออกแบบให้เป็นหนึ่งเดียวกับเสา C-pillar มอบมิติไร้ขอบหรูหรายิ่งขึ้น พร้อมด้วยกรอบไฟท้ายดีไซน์ใหม่ที่เพรียวบางยิ่งขึ้น กับไฟ LED ทรงตัว L และท่อไอเสียแบบคู่ ล้วนเสริมให้ท้ายรถดูกว้างและสปอร์ตกว่าเดิม

บีเอ็มดับเบิลยู 330Li M Sport ใหม่ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ส่งกำลังสูงสุด 190 กิโลวัตต์ / 258 แรงม้าที่ 5,000 – 6,500 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตรที่ 1,550 – 4,400 รอบต่อนาที เร่งความเร็วจากหยุดนิ่งถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 6.2 วินาที และมีความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำงานควบคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Sport Steptronic 8 จังหวะ และรองรับระบบ Driving Experience Control ที่มีรูปแบบการขับขี่ให้เลือกทั้งในโหมด COMFORT, SPORT และ ECO PRO นอกจากนี้ ตัวรถยังมาพร้อมกับล้ออัลลอย M ขนาด 18 นิ้้ว ลาย Double-spoke แบบสลับสี สอดรับกับขอบหน้าต่าง ช่องดักอากาศ และซี่บริเวณกระจังหน้าไตคู่สีดำเงา ภายในโฉบเฉี่ยวด้วยพวงมาลัย M Sport คอนโซลด้านบนบุด้วยหนัง Sensatec และตกแต่งด้วยอะลูมิเนียมลาย Tetragon

เพื่อสร้างความอุ่นใจให้แก่ผู้ขับขี่ บีเอ็มดับเบิลยู 330Li M Sport ใหม่ ยังมาพร้อมระบบความปลอดภัยและระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นระบบช่วยนำเข้าที่จอดอัตโนมัติ รุ่น Plus (Parking Assistant Plus) เซนเซอร์ควบคุมระยะการจอดด้านหน้าและหลัง กล้องแสดงภาพรอบทิศทาง และระบบ BMW Head-up display พร้อมระบบการเชื่อมต่อเต็มรูปแบบผ่านระบบปฏิบัติการ BMW Operating System 7.0 ซึ่งเสริมประสิทธิภาพให้แก่ระบบ BMW Intelligent Personal Assistant และ Live Cockpit Professional นอกจากนี้ BMW ConnectedDrive ยังมอบทางเลือกมากมายในการเชื่อมต่อและควบคุมระบบในตัวรถ รวมถึงการใช้ BMW Gesture Control ระบบสั่งงานด้วยเสียง ปุ่ม iDrive และจอแสดงผล Control Display ขนาด 10.25 นิ้ว

มินิ คูเปอร์ เอส คันทรีแมน เอนทรี ใหม่

ราคาจำหน่าย: 1,999,000 บาท (พร้อมโปรแกรมบำรุงรักษา MSI Standard)

มินิ คูเปอร์ เอส คันทรีแมน ไฮทริม ใหม่

ราคาจำหน่าย: 2,529,000 บาท (พร้อมโปรแกรมบำรุงรักษา MSI Standard)

ดีไซน์ที่ผ่านการขัดเกลามาอย่างประณีต อุปกรณ์เสริมและชุดแต่งที่สะดุดตา และเทคโนโลยีระดับนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนการทำงานในทุกส่วนของตัวรถ ส่งให้ มินิ คูเปอร์ เอส คันทรีแมน ใหม่ เหนือชั้นยิ่งกว่าใครในเซกเมนต์พรีเมียมคอมแพกต์ แนวคิดในการออกแบบที่ครบเครื่อง พร้อมด้วยพื้นที่ภายในสารพัดประโยชน์สำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารรวม 5 ที่นั่ง ต่างเป็นเครื่องยืนยันถึงความเป็นรถอเนกประสงค์ตัวจริงที่เปี่ยมด้วยสีสันและความสนุกในสไตล์มินิอยู่เสมอ ไม่ว่าจะโลดแล่นบนท้องถนนในชีวิตประจำวัน ออกเดินทางสู่จุดหมายไกล หรือลุยผจญภัยบนทุกสภาพพื้นผิว

ดีไซน์ของมินิ คูเปอร์ เอส คันทรีแมน ใหม่ เน้นย้ำเสน่ห์อันแข็งแกร่งของรุ่นรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดของมินิ โครงสร้างใหม่ของครอบกันชนที่มาในสีเดียวกับตัวถัง ส่งให้ตัวรถมีรูปลักษณ์ที่หมดจดและหรูหรายิ่งกว่าเคย ส่วนกระจังหน้าในดีไซน์ใหม่ มาในกรอบทรงหกเหลี่ยมในแบบฉบับมินิ ล้อมรอบด้วยกรอบโครเมียมบาง โดดเด่นด้วยลวดลายกระจังหน้าทรงหกเหลี่ยมที่เสริมความโดดเด่นด้วยอักษร S สีแดง ล้อมด้วยขอบโครเมียม ด้านหน้ารถที่ออกแบบใหม่ มาพร้อมไฟหน้า LED ในทรงกลมมน และไฟวงแหวนที่ทำหน้าที่เป็นทั้งไฟส่องสว่างระหว่างวันและไฟเลี้ยวในตัวเดียวกัน มินิ คูเปอร์ เอส คันทรีแมน ใหม่ ในชุดแต่งมาตรฐาน มาพร้อมกับไฟตัดหมอก LED โดยที่ไฟวงแหวนครึ่งวงบนของไฟตัดหมอกทำหน้าที่เป็นไฟจอด

ส่วนกันชนท้ายดีไซน์ใหม่ มีแผงใต้กันชนที่เสริมให้มินิ คูเปอร์ เอส คันทรีแมน ใหม่ ดูทรงพลังและทันสมัยเป็นพิเศษ ไฟท้ายแนวตั้งในกรอบโครเมียมเสริมความเอ็กซ์คลูซีฟและเอกลักษณ์ตามแบบฉบับแบรนด์สัญชาติอังกฤษ ฟังก์ชั่นไฟหน้าและท้ายทั้งหมดมาพร้อมกับเทคโนโลยี LED คุณภาพสูงเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ในขณะที่ไฟท้ายโดดเด่นด้วยดวงไฟในลวดลายของธงยูเนียนแจ็ค มินิ คูเปอร์ เอส คันทรีแมน เอนทรี ใหม่ มาพร้อมกับล้ออัลลอย 18 นิ้ว ลาย Pair Spoke ในขณะที่มินิ คูเปอร์ เอส คันทรีแมน ไฮทริม มากับล้อขนาด 18 นิ้ว ลาย Black Pin Spoke

มินิ คูเปอร์ เอส คันทรีแมน ใหม่ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร มอบกำลังสูงสุดถึง 141 กิโลวัตต์ / 192 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตร ที่ 1,350-4,600 รอบต่อนาที ขับขี่สนุกตามสไตล์มินิด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบคลัตช์คู่ Steptronic 7 จังหวะ และแบบ Paddle Shift ในรุ่นไฮทริม โดยเครื่องยนต์มาพร้อมกับท่อร่วมไอเสียที่ผสานกับฝาสูบและเทอร์โบชาร์จเจอร์ จึงช่วยให้สามารถลดอุณหภูมิของไอเสียและระบบอัดอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ระบบจ่ายเชื้อเพลิงแบบฉีดตรงในเครื่องยนต์เบนซินตัวนี้ยังสามารถทำงานด้วยแรงดันสูงสุดที่เพิ่มขึ้นจาก 200 เป็น 350 บาร์

มินิ คูเปอร์ เอส คันทรีแมน ใหม่ ผสานสมรรถนะที่รองรับการขับขี่หลากหลายรูปแบบเข้ากับการออกแบบห้องโดยสารเพื่อการใช้งานที่หลากหลายไม่แพ้กัน โดยมาพร้อมกับเบาะหลังที่กว้างเต็ม 3 ที่นั่ง นอกจากนี้ เบาะนั่งแถว 2 ยังสามารถปรับพับในแบบ 40 : 20 : 40 เพื่อขยายปริมาตรความจุสัมภาระจาก 450 ลิตร เป็นสูงสุดถึง 1,390 ลิตร ภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วยวัสดุผิวหน้าในสีดำ Piano Black โดยในรุ่นไฮทริม ตกแต่งเพิ่มเติมด้วยเส้นสาย Chrome Line สีเงิน ขณะที่ชุดแต่ง MINI Excitement Package และไฟโลโก้ MINI ที่ฉายออกจากกระจกมองข้างลงสู่พื้นถนน เติมเต็มความหรูหราให้มินิ คันทรีแมน ใหม่ โดดเด่นยิ่งขึ้น