ถนนทุกสายมุ่งหน้าสู่ EV หลายค่ายทยอยเปิดตัวรถใหม่ – ผู้จัดการออนไลน์



น่าจะบอกได้ว่า IAA Mobility คือ งานมอเตอร์โชว์ระดับโลกจากฝั่งยุโรปรายการแรกของอุตสาหกรรมยานยนต์ในรอบ 2 ปีหลังจากที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 จนทำให้อีเวนท์เหล่านี้ต้องเลื่อนและยกเลิกกันเป็นแถว ที่สำคัญ นี่คืองานที่ถูกมองว่าน่าจะเป็นตัวกำหนดเทรนด์ของโลกการขับเคลื่อนในวันหน้า…และก็เป็นเช่นนั้นจริง

หลายคนอาจจะงงว่า IAA Mobility คือ การแตกตัวมาจากงาน IAA ที่ตามปกติแล้วจัดขึ้นที่เมืองแฟรงค์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ Frankfurt Motorshow ซึ่งความจริงแล้วถูกเพียงครึ่งเดียว เพราะ IAA กับ IAA Mobility คือ ทีมจัดงานเดียวกัน แต่ไม่ใช่การแตกตัวมาสู่การจัดงานในเมืองอื่น

BMW i Vision Circular

จาก Frankfurt สู่ Munich

เชื่อว่าคนที่ติดตามข่าวสารในโลกยานยนต์มาโดยตลอดคงทราบดีแล้ว ส่วนคนที่ไม่ได้ติดตาม คงต้องบอกว่างานมอเตอร์โชว์ระดับโลกทั้งชื่อชั้นและขนาดอย่าง Frankfurt Motorshow ได้ถึงเวลาสิ้นสุดในการจัดงานแล้ว และนั่นทำให้ผู้จัดงานหาทางออก และได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองมิวนิกและเปลี่ยนชื่องานมาเป็น IAA Mobility โดยจะมีการจัดงานในแบบ 2 ปีต่อครั้งในปีค.ศ.ที่ลงท้ายด้วยเลขคี่เหมือนเดิม

รุ่นปรับโฉมของ iX3

เหตุผลของความเปลี่ยนแปลงถึงขนาดที่ทำให้งานที่ยิ่งใหญ่ยังต้องเกิดความเปลี่ยนแปลงคือ ความจำเป็นของงานมอเตอร์โชว์ในแง่ของการเป็นพื้นที่ในการนำเสนอนั้นลดลง และแบรนด์เริ่มมีช่องทางอื่นในการเข้าถึงลูกค้าทั่วโลกที่มีประสิทธิภาพมากกว่านั่นคือ ออนไลน์ ขณะเดียวกับตัวเลขของผู้เข้าชมงานก็เริ่มลดลงเรื่อยๆ อย่างใน Frankfurt Motorshow ครั้งล่าสุดคือ 2019 ซึ่งในตอนนั้นยังไม่เกิดสถานการณ์ COVID-19 ตัวเลขคนเข้างานลดลงถึง 30% เมื่อเปรียบเทียบกับงานครั้งก่อนหน้านั้น

นั่นก็เลยทำให้ผู้จัดงานมองหารูปแบบใหม่ของการจัดงานและลดขนาดพื้นที่ รวมถึงระยะเวลาในการจัดงานลง จนนำไปสู่งาน IAA Mobility ที่เปิดตัวเป็นครั้งแรก และจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 7-12 กันยายนที่ผ่านมา

BMW iX5 Hydrogen

ถนนทุกสายมุ่งหน้าสู่ EV

แน่นอนว่างาน IAA Mobility ไม่ถึงกับเป็นงานแสดงรถยนต์ที่มีแต่รถยนต์ไฟฟ้าหลากหลายรูปแบบจอดเรียงกันอยู่ แต่ยังมีทั้งรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน หรือไฮบริดแบบต่าง มาร่วมจัดแสดงด้วยเช่นกัน เพียงแต่ว่า 70-80% ของรถยนต์ใหม่ที่เปิดตัวในงานนี้คือ รถยนต์ไฟฟ้าไม่ว่าจะมาในรูปแบบของ BEV หรือ Battery Electric Vehicle หรือ Fuel Cell Vehicle ที่ใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงในการขับเคลื่อน

อย่างที่ทราบกันดีว่าการเข้าสู่ทศวรรษ 2020 ถือเป็นจุดเริ่มต้นของยุคแห่งพลังไฟฟ้า และหลายแบรนด์รถยนต์ก็ประกาศชัดเจนแล้วว่าจะยุติการพัฒนาเทคโนโลยีเก่าอย่างเครื่องยนต์สันดาปภายใน และหันมาพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าหรือรถยนต์ที่ใช้พลังงานที่มีความยั่งยืน ซึ่งจะเข้ามาทดแทน ดังนั้น งานนี้จึงถือเป็นเวทีแรกในการจัดแสดงรถยนต์ในกลุ่มนี้อย่างเป็นอย่างการ

Concept Mercedes-Maybach EQS

เจ้าถิ่นจัดแสดงกันพร้อมหน้า

บรรดาแบรนด์สัญชาติเยอรมันถือเป็นผู้ที่สร้างสีสันและไฮไลท์ของงานนี้อย่างแท้จริง และแต่ละค่ายโดยเฉพาะ Mercedes-Benz และ BMW ก็นำเสนอการขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าผ่านทางซับแบรนด์ของพวกเขาอย่าง EQ และ i (ตามลำดับ)

รถยนต์รุ่นเด่นของ BMW ก็มีทั้งiX5 Hydrogen มากับมอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนรุ่นที่ 5 ที่มีกำลัง 369 แรงม้าและใช้ถังเก็บแรงดันสูงระดับ 700 บาร์ 2 ถังในการเก็บไฮโดรเจนสำหรับสร้างกระแสไฟฟ้าส่งให้กับมอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนในรูปแบบของ Fuel Cell โดยใช้เวลาในการเติมแค่ 3-4 นาทีเท่านั้น ตัวรถจะเริ่มขายในปีหน้า ตามด้วย iX3 ที่มีการเพิ่มความสดใสให้กับรูปลักษณ์ภายนอก พร้อมแบตเตอรี่ขนาด 80kWh ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 282 แรงม้า และชาร์จ 1 ครั้งแล่นได้ 460 กิโลเมตร และต้นแบบของ BMW ในสไตล์สุดล้ำในชื่อ I Vision Circular ในสไตล์แฮทช์แบ็ก สะท้อนแนวคิดของการเป็นรถยนต์ในยุค 2040 ซึ่งใช้วัสดุในการผลิตตัวรถนั้นมาจากวัตถุที่ผ่านกระบวนการรีไซเคิล



ส่วน Mercedes-Benz นำเสนอผลผลิตใหม่ผ่านทาง EQ หลากหลายรุ่น เช่น Mercedes-Maybach EQS Concept ต้นแบบตามสไตล์อเนกประสงค์ระดับหรูที่มาพร้อมกับชื่อ Maybach และขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้า ซึ่งจะมีการผลิตออกสู่ตลาดในอนาคต และมีความสามารถในการขับเคลื่อนด้วยระยะทาง 600 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง

Mercedes-AMG EQS 53 4MATIC+ เมื่อความแรงตามมาถึงตลาดรถยนต์ไฟฟ้า กับเวอร์ชัน AMG ของซีดานหรู กับการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีกำลังรวมกัน 751 แรงม้าสำหรับรุ่น Dynamic Package แต่ถ้าเป็นรุ่นธรรมดามีกำลัง 649 แรงม้า และ EQB 350 4MATIC รถยนต์อเนกประสงค์พลังไฟฟ้ามาพร้อมกับเวอร์ชันตัวแรงด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวพร้อมการขับเคลื่อนในแบบ 4 ล้อใช้เวลา 8 วินาทีสำหรับอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง และการชาร์จ 1 ครั้งแล่นได้ 419 กิโลเมตร โดยมีความเร็วสูงสุดล็อกเอาไว้ที่ 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง

Mercedes-Benz-EQS53_AMG

ส่วนแบรนด์อื่นก็มีรถยนต์รุ่นใหม่ๆ เช่นกัน อย่าง Porsche จับเอาตัวแข่งเลอมังส์มาปรับจนได้เป็น Street Version โดยใช้ชื่อว่า 919 Street ซึ่งนำมาจัดแสดงในงานนี้ แต่ยังไม่มีข่าวว่าจะผลิตขายหรือไม่ โดย 919 Street ใช้ตัวถังแบบโมโนค็อกที่ผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ และเครื่องยนต์แบบไฮบริด 888 แรงม้าเช่นเดียวกับตัวแข่ง และ Audi กับต้นแบบรุ่น Gran sphere Concept ต้นแบบของรถยนต์ระดับหรูจาก Audi ที่มีความยาวถึง 5,350 มิลลิเมตร พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีกำลังขับเคลื่อนรวมกัน 700 แรงม้า และใช้เวลา 4 วินาทีสำหรับอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง และแบตเตอรี่ขนาด 120 kWh สามารถแล่นได้ถึง 750 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง

สิ่งที่น่าสนใจคือ การยกระดับความเหนือชั้นของการขับเคลื่อนในกลุ่มรถยนต์ระดับหรู ซึ่งแต่ละค่ายล้วนอัพเกรดระยะทางในการแล่นต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ซึ่งตัวเลขระดับ 500 กิโลเมตรถือเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว ซึ่งเชื่อว่าอีกไม่นานรถยนต์ไฟฟ้าน่าจะก้าวข้ามข้อจำกัดในเรื่องของระยะทางต่อการชาร์จจนทำให้รถยนต์ไฟฟ้ามีความยืดหยุ่นในการใช้งานมากขึ้น



สีสันใหม่ๆ จากแบรนด์ทั่วโลก

นอกเหนือจากแบรนด์เยอรมนีแล้ว แบรนด์อื่น จากทั่วโลกก็นำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าของตัวเองออกมาหลายรุ่น เช่น Renault ที่ปัดฝุ่นนำรถยนต์คลาสสิคอย่างรุ่น Renault 5 กลับมา แต่คราวนี้เป็นพลังไฟฟ้า ในชื่อ 5 EV โดยถือเป็นส่วนหนึ่งของแผน Renaulution ในการทยอยเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าตลอดปีนี้ไปจนถึงปี 2025 และอีกรุ่นคือ Megane E-Tech Electric มาในสไตล์ครอสส์โอเวอร์ 4,210 มิลลิเมตรใช้พื้นตัวถัง CMF-EV แบบเดียวกับ Nissan Ariya และมีกำลังให้เลือก 2 แบบคือ 129 และ 215 แรงม้าจากมอเตอร์ไฟฟ้า

Cupra แบรนด์แห่งความแรงจาก SEAT ผู้ผลิตรถยนต์จากสเปนในเครือ Volkswagen เปิดตัวต้นแบบคันดุที่พัฒนามาจากรถแข่ง Rally Cross ในชื่อ Tasvascan Extreme-E พร้อมกับมีข่าวว่ากำลังวางแผนผลิตออกขายในอนาคตด้วยจากความร่วมมือกับ ABT Sportline ที่เป็นผู้ผลิตชุดแต่งชื่อดังในยุโรป ซึ่งคาดว่าน่าจะเริ่มผลิตได้ในปี 2024 กับขุมพลังที่มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงต่ำกว่า 4 วินาที

Mercedes-Benz-EQE

GWM หรือ Great Wall Motor มากับรุ่น Ora Cat 03 รถยนต์ในสไตล์ฟาสต์แบ็ก 5 ประตูพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ที่รีดกำลังออกมาได้ 408 แรงม้า ใช้เวลา 3 วินาทีสำหรับ 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงและแล่นได้เร็วสุด 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนระยะทางต่อการชาร์จ 1 ครั้งอยู่ที่ 450 กิโลเมตร

City Transformer รถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กสำหรับใช้งานในเมือง ซึ่งเกิดจากการเก็บข้อมูลของการใช้งาน และนำมาผลิตรถยนต์เพื่อรองรับกับความต้องการของคนเมือง ตัวรถมีความยาวเพียง 2,500 มิลลิเมตร ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 20 แรงม้า แล่นได้ 120-180 กิโลเมตร ส่วนราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 14,845 เหรียญสหรัฐฯ



ที่น่าแปลกใจคือ การขยับตัวของแบรนด์ญี่ปุ่นในงานนี้ ซึ่งไม่มีความเคลื่อนไหวใดออกมาเลย จนทำให้เกิดความสงสัยว่า ทิศทางและการรุกตลาดในอนาคตของแบรนด์เหล่านี้จะเป็นอย่างไรต่อไป แต่ที่แน่ๆ เมื่อมองดูจากภาพรวมที่เกิดขึ้นในงานแล้ว คงต้องบอกว่า ยุค EV ที่เมื่อสัก 20 ปีที่แล้วยังถูกมองว่าเป็นเรื่องแห่งความฝัน ในตอนนี้ ได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการแล้ว

Renault 5

 Tavascan Extreme E

Porsche 919 Street

City Transformer รถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก

Concept EQG

Ora Cat 03 รถยนต์คันจิ๋วทรงน่ารักของ Great Wall

Ora-Cat

Concept EQG