สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 10-16 ต.ค.2564 – ผู้จัดการออนไลน์



1.สังคมเห็นใจ “บาส” มือแทงโจ๋ล้อมบ้าน หลังถูกรุม 6 ต่อ 1 เชื่อ ถ้าไม่มีอาวุธ อาจเป็นฝ่ายตายเอง ด้าน “หมอปลา-เสี่ยเปีย” ยื่นมือช่วย!

เมื่อวันที่ 12 ต.ค. ได้เกิดเหตุทะเลาะวิวาทของกลุ่มวัยรุ่นและมีการแทงกันจนมีผู้เสียชีวิต 2 ศพ ที่หน้าบ้านพัก ซอย 39 ถนนกาญจนาภิเษก แขวงหลักสอง เขตบางแค กรุงเทพฯ รายงานแจ้งว่า เหตุเกิดหลังจากนายบาย ขี่รถจักรยานยนต์ย้อนศรตัดเลน ก่อนเจอกับนายบาสที่ขี่รถมาเลนปกติ ก่อนจะมีการปาดกันไปมา ซึ่งนายบาส หรือนายณัฐวุฒิ อายุ 21 ปี กำลังขี่รถจักรยานยนต์ไปบ้านแฟนสาว

แม้ทั้งสองฝ่ายจะแยกย้ายกันไปแล้ว แต่เรื่องไม่จบ เมื่อนายบายไปชักชวนเพื่อนๆ อีก 5-6 คน ขี่จักรยานยนต์บุกมาหานายบาสและล้อมบ้านแฟนสาวนายบาส ก่อนขว้างปาสิ่งของเข้าไปในบ้าน พร้อมพูดยั่วยุท้าทายให้นายบาสออกมา รวมทั้งด่านายบาสด้วยถ้อยคำหยาบคาย กระทั่งนายบาสทนไม่ไหว จึงออกจากบ้านตามคำท้าพร้อมกับมีด 2 เล่ม ก่อนจะถูกนายบายและพรรคพวก 6 คนรุมสกรัม นายบาสซึ่งมีมีดอยู่ในมือจึงแทงสวนมั่วไปหมด สุดท้าย พรรคพวกฝั่งนายบาย มีผู้บาดเจ็บ 3 คน โดย 2 คน เสียชีวิตที่โรงพยาบาล ส่วนนายบาสก็บาดเจ็บเช่นกัน โดยแขนหักและมีแผลแตกที่ใบหน้า

เป็นที่น่าสังเกตว่า คดีนี้ นายบาย ซึ่งพาพวกมาบุกบ้านนายบาส ระบุว่า แค่ต้องการมาเคลียร์กับนายบาส ไม่ได้ต้องการมาหาเรื่อง ขณะที่นายบาส ระบุว่า ที่ต้องพกมีดออกจากบ้าน เพราะฝ่ายตรงข้ามมาหลายคน ตนไม่ได้ต้องการฆ่าใคร แค่ต้องการป้องกันตัว ขณะที่กระแสสังคมส่วนใหญ่เห็นใจนายบาส ซึ่งเป็นมือแทง เพราะถูกคู่อริพาพวกมาบุกล้อมบ้าน ก่อนปาสิ่งของเข้าบ้าน สะท้อนว่า เจตนาหาเรื่อง หากไม่มา ก็จะไม่เกิดเรื่อง นอกจากนี้ยังมองว่า หากนายบาสไม่มีอาวุธ และถูกอีกฝ่ายรุมสกรัมแบบนี้ คนที่ตายคงเป็นนายบาส

ด้าน พ.ต.อ.วิสิษฐ์ วัฒนพงษ์พิทักษ์ ผกก.สน.เพชรเกษม เผยเมื่อวันที่ 14 ต.ค.ว่า นายณัฐวุฒิ หรือนายบาส ถูกแจ้งข้อหา 3 ข้อหา คือ ฆ่าคนตาย พยายามฆ่า และพกพาอาวุธมีด ส่วนคู่กรณีนายณัฐวุฒินั้น พนักงานสอบสวนกำลังรวบรวมพยานหลักฐาน มีบุคคลเกี่ยวข้องหลายคน ทั้งก่อนเกิดเหตุ ขณะเกิดเหตุ และหลังเกิดเหตุ กำลังเร่งดำเนินการ จากนั้นจะแจ้งข้อหาผู้เกี่ยวข้องต่อไป

วันเดียวกัน ตำรวจ สน.เพชรเกษมได้คุมตัวนายบาส ส่งศาลอาญาธนบุรีเพื่อฝากขัง โดยนายบาสมีสีหน้าเคร่งเครียด พร้อมให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวโดยยืนยันว่า ที่ทำไป เพื่อป้องกันตัว และขอโทษแม่กับแฟนที่เกิดเรื่องดังกล่าวขึ้น และเสียใจที่มีผู้เสียชีวิต

ขณะที่มารดาของนายบาส กล่าวว่า “ลูกชายตัวคนเดียว ก็ต้องสู้ เหมือนคนจนตรอก ตนอยากไปงานศพคนที่เสียชีวิต อยากไปขอโทษ ขอให้เรื่องมันจบ เพราะอยู่กับลูก 2 คน คนต้นเหตุยังลอยนวลอยู่ ยังจับไม่ได้ ก็อยากฝากเจ้าหน้าที่ดำเนินการให้เร็วที่สุด เพราะคนต้นเรื่องพาเพื่อนมาตาย ลูกเราป้องกันตัว เขาไม่ได้ตั้งใจ แต่สถานการณ์มันบังคับ”

เป็นที่น่าสังเกตว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บุคคลหลายแวดวงเห็นใจนายบาส และยื่นมือเข้าช่วยเหลือ โดยนายจีรพันธ์ เพชรขาว หรือหมอปลา พร้อมด้วยนายสาธิต แสงจันทร์ หรือเสี่ยเปีย ได้ช่วยประกันตัวนายบาส เพราะเห็นว่า ครอบครัวนายบาสอยู่กัน 2 คนแม่ลูก ไม่มีคนช่วยเหลือ นอกจากนี้ยังมองว่า นายบาสไม่ใช่ฝ่ายที่มาหาเรื่อง แต่วัยรุ่นทั้ง 6 คนต่างหากที่มาหาเรื่องเอง ภาพจากกล้องวงจรปิดก็มีหลายมุม หมอปลาไม่สามารถปล่อยให้แม่สู้เองตามลำพังได้ อีกฝั่งก็มาไม่รู้ตั้งกี่คน

ทั้งนี้ หมอปลายอมรับว่า พอเห็นคลิปแล้วต้องยอมรับจริง ๆ ว่า ใจของตนยังไม่เท่าน้องเลย ครอบครัวนายบาสไม่มีใคร พ่อก็ไม่ได้ติดต่อกันมา 20 ปี ส่วนเรื่องคลิปที่นายบาสถูกล้อมนั้น หมอปลาบอกว่า ตนไม่ได้อยากเข้าข้างผู้ต้องหา เราต้องคิดว่า ถ้าเราอยู่ตรงนั้นแล้วเราจะทำอย่างไร และอยากให้ตำรวจสอบสวนเรื่องนี้ด้วยความยุติธรรม ต้นเรื่องมาจากการที่นายบาสถูกหาเรื่อง จะมาดำเนินคดีกับนายบาสฝ่ายเดียวไม่ได้

ด้านมารดาของนายบาส กล่าวว่า ไม่คิดว่าเราจะมีโอกาสนี้ ก่อนหน้านี้ตำรวจบอกว่า โทษคดีนี้สูง เงินประกันต้องเยอะ เราก็ถอดใจแล้ว และคิดว่าคงเอาลูกออกมาไม่ได้ หากหมอปลายินดีมาช่วย ตนก็ยินดี

ทางด้านนายไพศาล เรืองฤทธิ์ ทนายความ กล่าวถึงแนวทางการต่อสู้คดีให้นายบาสว่า ขณะนี้มีความมั่นใจในพยานหลักฐาน ที่จะเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับนายณัฐวุฒิได้ โดยเฉพาะหลักฐานที่เป็นประจักษ์พยาน สามารถที่จะอธิบายข้อเท็จจริงให้กับสังคมหรือศาลเชื่อมั่นว่า คู่กรณีมีพฤติกรรมอย่างไร ถึงแม้ว่าลูกความจะถูกดำเนินคดีในข้อหาหนัก แต่ก็เชื่อมั่นกับพยานหลักฐานที่มีอยู่

ขณะที่เสี่ยเปีย กล่าวว่า ตนเป็นเพื่อนบ้านของนายณัฐวุฒิ รู้สึกสงสารและเห็นใจกับความไม่ถูกต้องในครั้งนี้ โดยได้นำเงินสดจำนวน 5 แสนบาท มายื่นต่อศาลเพื่อขอประกันตัวโดยไม่มีเงื่อนไข หรือเจตนาอื่น พร้อมทั้งยืนยันว่า จะช่วยเหลือจนคดีถึงที่สุด เพราะที่ผ่านมาก็มีการช่วยเหลือผู้ได้รับความเดือดร้อนมาโดยตลอด

ล่าสุด (16 ต.ค.) พ.ต.อ.วิสิษฐ์ วัฒนพงษ์พิทักษ์ ผกก.สน.เพชรเกษม เผยว่า คดีนี้ได้มีการแบ่งออกเป็น 2 คดี คือกรณีนายณัฐวุฒิ ใช้อาวุธมีดทำร้ายคู่กรณีเสียชีวิต ส่วนอีกกรณี คือนายณัฐวุฒิ ถูกคู่กรณีทำร้าย โดยดำเนินการกับกลุ่มคู่กรณีในข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่น และข้อหาร่วมกันบุกรุก เนื่องจากเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน เจ้าหน้าที่ตำรวจฐานะเจ้าพนักงานสามารถแจ้งข้อกล่าวหาดำเนินคดีตามกฎหมาย ส่วนความผิดอื่นที่เป็นความผิดส่วนบุคคลนั้น ทางนายณัฐวุฒิ ต้องเป็นผู้มาแจ้งความกรณีดังกล่าวในฐานะผู้เสียหาย ซึ่งเบื้องต้นยังไม่ได้เข้ามาพบกับพนักงานสอบสวนสน.เพชรเกษม แต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยืนยันว่า จะเร่งรวบรวมพยานหลักฐานตามข้อเท็จจริงที่ปรากฎ เพื่อดำเนินการทางกฎหมาย

2.”บิ๊กตู่” แถลงเปิดประเทศ 1 พ.ย. ให้ชาติเสี่ยงต่ำเข้ามาแบบไม่ต้องกักตัว แต่ต้องฉีดวัคซีนครบ-ปลอดเชื้อ ไฟเขียวเปิดสถานบันเทิง 1 ธ.ค.!



เมื่อวันที่ 11ต.ค. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย เกี่ยวกับการเปิดรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ โดยไม่ต้องกักตัว โดยมีเนื้อหาบางช่วงบางตอนว่า หนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา การแพร่ระบาดของโควิด-19 ไม่มีประเทศไหนในโลก ที่ไม่ได้รับผลกระทบ และการระบาดของโควิด เป็นความหนักใจที่สุดในชีวิตของผมเองด้วย ที่ต้องตัดสินใจเลือก ระหว่างปกป้องชีวิตคน กับปกป้องการทํามาหากิน

“ผมเลือกที่จะไม่ยอมให้มันมาพรากเอาชีวิตของพี่น้องคนไทยไป เหมือนอย่างที่เกิดขึ้นในหลาย ประเทศทั่วโลก เพราะฉะนั้น ผมได้ตัดสินใจอย่างชัดเจนแน่วแน่ ปฏิบัติตามคําแนะนําของผู้เชี่ยวชาญทางด้าน สาธารณสุขที่ยอดเยี่ยมของเรา ที่มีอยู่มากมายหลายท่าน เราลงมือทําอย่างรวดเร็ว ด้วยการใช้มาตรการที่เข้มงวดต่างๆ พร้อมกับขอความร่วมมือจากประชาชนคนไทย …วันนี้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ประสบความสําเร็จมากที่สุดในโลกในการปกป้องรักษาชีวิตของประชาชน”

“และด้วยความเสียสละอย่างมหาศาล อดทนเจอกับความยากลําบากในการทํามาหากิน สูญเสียรายได้ สูญเสียเงินเก็บ ธุรกิจพัง สิ่งเหล่านี้ คือสิ่งที่พวกเราแลกไป เพื่อรักษาชีวิตของพ่อแม่พี่น้อง และเพื่อนของเราเอาไว้ ให้พวกเขายังคงอยู่กับเราในวันนี้”

“ตอนนี้ถึงเวลาแล้ว ที่เราต้องค่อยๆ เตรียมตัว กล้าที่จะเผชิญหน้ากับโควิด-19 โดยมีความพร้อมเรื่องยารักษาและวัคซีนป้องกันมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อไปอีกไม่นาน เราก็จะต้องเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอยู่กับ มันเหมือนกับโรคภัยอื่นๆ ที่กลายเป็นโรคประจําถิ่น”

“วันนี้ ผมอยากประกาศหนึ่งก้าวเล็กๆ แต่เป็นก้าวที่สําคัญ ที่เรากําลังจะเดินหน้า บนเส้นทางที่จะช่วยให้พี่น้องประชาชน สามารถกลับมาทํามาหาเลี้ยงตัวเองกันได้อีกครั้ง”

“ในช่วงเทศกาล เดินทางท่องเที่ยววันหยุดสิ้นปี ใน 3 เดือนข้างหน้านี้ เพื่อสนับสนุนส่งเสริมการทํามาหากินของประชาชนนับล้านๆ คน ในภาคการท่องเที่ยว การเดินทาง และภาคธุรกิจพักผ่อน หย่อนใจ และบันเทิง รวมถึงภาคธุรกิจอื่นอีกมากมายที่เกี่ยวข้อง …ผมได้สั่งการให้ ศบค. และกระทรวงสาธารณสุขร่วมพิจารณา โดยตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นต้นไป ประเทศไทยจะเริ่มเปิดรับการเดินทางเข้าประเทศไทย โดยไม่ต้องกักตัว สําหรับผู้ที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว และเดินทางเข้าประเทศไทยโดยทางอากาศ โดยมาจากประเทศที่ เรากําหนดว่า เป็นประเทศความเสี่ยงต่ำ เช่น อังกฤษ สิงคโปร์ เยอรมนี จีน และอเมริกา”

“เราจะขอเพียงแค่ เมื่อเดินทางเข้าประเทศไทย ทุกคนต้องแสดงตัวว่าปลอดเชื้อโควิด-19 โดยต้องมีหลักฐานผลการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธี RT-PCR ซึ่งทําการตรวจก่อนเดินทางออกจากประเทศต้นทาง และจะมีการตรวจหาเชื้อโควิด-19 อีกครั้ง เมื่อเดินทางมาถึงประเทศไทย

หลังจากนั้น จึงสามารถเดินทางไปพื้นที่ต่างๆ ได้อย่างอิสระ เช่นเดียวกับที่คนไทยปกติทั่วไปสามารถทําได้”

ส่วนผู้ที่มาจากประเทศ ที่ไม่ได้อยู่ในรายชื่อประเทศความเสี่ยงต่ำา เรายังให้การต้อนรับเข้าประเทศ ไทย แต่จําเป็นต้องมีการกักตัว ตามเงื่อนไขและข้อกําหนด”

“พร้อมกันนี้ ภายในวันที่ 1 ธันวาคม เราจะพิจารณาอนุญาตให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ในร้านอาหารได้ และจะพิจารณาอนุญาตให้สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ และสถานบันเทิง เปิดให้บริการได้ ภายใต้มาตรการด้านสาธารณสุขที่เหมาะสม เพื่อสนับสนุนและกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว การพักผ่อนและบันเทิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่เรากําลังจะเข้าสู่เทศกาลเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสปีใหม่”

“ผมรู้ว่าการตัดสินใจแบบนี้มีความเสี่ยงที่เกือบจะแน่นอนเลยว่า เมื่อเราเริ่มต้นการผ่อนคลายต่างๆ จะทําให้มีจํานวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็นการชั่วคราว ซึ่งเราต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และประเมินดูว่า เราจะรับมือกับสถานการณ์นั้นอย่างไร เราต้องไม่ปล่อยโอกาสนี้ เพราะถ้าเราต้องเสียโอกาสในช่วงเวลาทองของการทํามาหากินไปอีก เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน ผมคิดว่าประชาชนคงรับมือไม่ไหวอีกต่อไป”



“อย่างไรก็ตาม ถ้าเราเห็นว่า ในสองสามเดือนหรือสี่เดือนข้างหน้า มีสายพันธุ์ใหม่ที่อันตรายมากๆ เกิดขึ้นอีก แน่นอนว่า เราก็ต้องจัดมาตรการที่เหมาะสมและพอเหมาะพอดี มาจัดการคุมสถานการณ์เอาไว้ให้ได้ เมื่อเรารู้ว่า ไวรัสนี้ได้ทําให้ทั่วทั้งโลกต้องตกใจมาแล้วหลายรอบ ดังนั้น เราต้องพร้อมรับมือ หากมันเกิดขึ้นอีก”

3. ศบค. ปรับเวลาเคอร์ฟิวเป็น 5 ทุ่ม-ตี 3 ลดพื้นที่สีแดงเข้มเหลือ 23 จังหวัด ไฟเขียวร้านสะดวกซื้อ-ห้าง เปิดได้ถึง 4 ทุ่ม มีผล 16 ต.ค.!



เมื่อวันที่ 14 ต.ค. นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงผลการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานว่า ศบค.เห็นชอบการปรับพื้นที่และมาตรการป้องกันควบคุมโรคโควิด-19 โดยพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) จากเดิม 29 จังหวัด เหลือ 23 จังหวัด ประกอบด้วย กรุงเทพฯ กาญจนบุรี จันทบุรี ชลบุรี ฉะเชิงเทรา ตาก นครปฐม นครนายก นครศรีธรรมราช นราธิวาส นนทบุรี ปทุมธานี ปราจีนบุรี ปัตตานี พระนครศรีอยุธยา ยะลา ระยอง ราชบุรี สงขลา สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร และสระบุรี

ส่วนพื้นที่ควบคุมสูงสุด (สีแดง) จากเดิม 37 จังหวัด เหลือ 30 จังหวัด ประกอบด้วย กาฬสินธุ์ ขอนแก่น ชัยนาท ชัยภูมิ ชุมพร เชียงราย เชียงใหม่ ตรัง ตราด นครสวรรค์ นครราชสีมา ประจวบคีรีขันธ์ พัทลุง พิจิตร พิษณุโลก เพชรบุรี มหาสารคาม ระนอง ลพบุรี ศรีสะเกษ สตูล สระแก้ว สิงห์บุรี สุพรรณบุรี สุราษฎร์ธานี สุรินทร์ อ่างทอง อุดรธานี อุบลราชธานี และเพชรบูรณ์

ขณะที่พื้นที่ควบคุม (สีส้ม) จากเดิม 11 จังหวัด เพิ่มเป็น 24 จังหวัด ประกอบด้วย กระบี่ กำแพงเพชร นครพนม น่าน บึงกาฬ บุรีรัมย์ พะเยา พังงา แพร่ ภูเก็ต มุกดาหาร แม่ฮ่องสอน ยโสธร ร้อยเอ็ด ลำปาง ลำพูน เลย สกลนคร สุโขทัย หนองคาย หนองบัวลำภู อุตรดิตถ์ อุทัยธานี และอำนาจเจริญ

นอกจากนี้ ศบค.ยังเห็นชอบปรับเงื่อนไขมาตรการสำหรับกิจการและกิจกรรมในพื้นที่สีแดงเข้ม ที่เปิดให้บริการ ประกอบด้วย 1.การห้ามออกนอกเคหสถาน จากเดิม 22.00-04.00น. ปรับเป็น 23.00-03.00น. อย่างน้อย 15 วัน เริ่ม 16 ต.ค.นี้

2. ร้านสะดวกซื้อ ตลาดสด หรือตลาดนัด เดิมเปิดได้จนถึงเวลา 21.00น.(จำหน่ายเฉพาะเครื่องอุปโภคบริโภค) ปรับเป็นเปิดได้ถึงเวลา 22.00น.

จำหน่ายได้ทุกประเภทสินค้า เปิดบริการ เครื่องเล่น สวนสนุกได้ โดยผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดและคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพฯ

3. กิจการอื่นๆ ที่เปิดโดยกำหนดเวลา เช่น ธุรกิจโรงภาพยนตร์หรือฉายภาพยนตร์ ร้านอาหารโรงละคร โรงมหรสพ (ลิเก งิ้ว ลำตัด หรือการแสดงพื้นบ้านอื่นๆ) สนามกีฬาทุกประเภท สวนสาธารณะ ศูนย์การค้า และห้างสรรพสินค้า เดิมเปิดได้ถึงเวลา 21.00น. ปรับเป็นเปิดได้ตามปกติ แต่ไม่เกิน 22.00น. และยังเน้นย้ำมาตรการป้องกันโรคอย่างเคร่งครัดต่อเนื่อง

ส่วนสถานที่เล่นกีฬา หรือแข่งขันกีฬา ในพื้นที่สีแดงเข้ม เปิดได้ทุกประเภทกีฬา ตามเวลาปกติ แต่ไม่เกิน 22.00น. จำกัดจำนวนผู้เข้าร่วม สำหรับกีฬาในร่มแข่งขันได้ ไม่มีผู้ชม ส่วนกีฬากลางแจ้ง แข่งขันได้ มีผู้ชม ไม่เกิน 25% ผู้ชมได้รับวัคซีน ครบตามเกณฑ์ หรือมี ATK และ RT-PCR ผลเป็นลบ ภายใน 72 ชั่วโมง กรณีแข่งขัน ให้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด คณะกรรมการกรุงเทพฯ พิจารณา รวมถึงพื้นที่สีแดง เปิดตามเวลาปกติ แต่ไม่เกิน 22.00น. จัดการแข่งขันได้ โดยจำกัดผู้ชม

4. สถานดูแลผู้สูงอายุ เดิมให้รับเฉพาะที่อยู่ประจำ ไม่เปิดแบบรับไป-กลับ ปรับเป็นให้เปิดแบบรับไป-กลับได้ โดยผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดและคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพฯ โดยบุคลากรต้องได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์และส่งตรวจ ATK ทุกสัปดาห์ ขณะที่ผู้ใช้บริการต้องได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์ด้วยเช่นกัน

5. การขนส่งสาธารณะทุกประเภท เดิมความจุ 75% ของยานพาหนะ ปรับเป็นเพิ่มความจุตามความสามารถของยานพาหนะ โดยให้กระทรวงคมนาคมกำกับดูแล

6. ศูนย์แสดงสินค้าศูนย์ประชุมหรือสถานที่จัดนิทรรศการ รวมถึงสถานที่ในลักษณะเดียวกัน ในห้างสรรพสินค้าและโรงแรม เปิดบริการจัดประชุมและจัดงานตามประเพณีนิยมได้ แต่จำกัดจำนวนคนไม่เกิน 500 คน เว้นระยะห่างระหว่างบุคคล อย่างน้อย 1 เมตร จัดเลี้ยงอาหารแบบแยกชุด และสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา กำหนดเวลาประชุมไม่เกินช่วงละ 2 ชั่วโมง ให้มีเวลาพักและเปิดระบายอากาศของห้องประชุม รวมถึงเปิดตามเวลาปกติ แต่ไม่เกินเวลา 22.00น.โดยให้ขออนุญาตจากคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดและคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพฯ กรณีเกิน 50 คน ทั้งนี้ ขอให้กระทรวงสาธารณสุขกำหนดแนวทางปฏิบัติภายใน 18 ต.ค.นี้

ส่วนการปรับเงื่อนไขมาตรการสำหรับกิจการและกิจกรรมในทุกพื้นที่ ประกอบด้วย 1. ศูนย์การค้าห้างสรรพสินค้า และคอมมูนิตี้มอลล์ มาตรการเดิมยังไม่เปิดบริการตู้เกม เครื่องเล่น ร้านเกมสวนสนุก สวนน้ำ จำกัดกิจกรรมส่งเสริมการขายในบริเวณห้างสรรพสินค้า ปรับใหม่ เป็นเปิดบริการตู้เกม เครื่องเล่น ร้านเกมที่เล่นเป็นรายบุคคลหรือแข่งเป็นคู่เท่านั้น โดยให้สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ยกเว้นในพื้นที่สีแดงเข้ม ยังไม่เปิดบริการ รวมถึงยังไม่เปิดบริการสวนน้ำ สวนสนุกในทุกพื้นที่

2. สนามกีฬาทุกประเภท สวนสาธารณะ เดิมจำกัดเวลาพื้นที่สีแดงเข้มและสีแดง เวลา 21.00น. ปรับเป็นเปิดตามเวลาปกติ แต่ไม่เกินเวลา 22.00น. ส่วนมาตรการอื่นคงเดิม 3. การจัดกิจกรรมรวมกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรค เดิมกำหนดการรวมกลุ่มตามระดับพื้นที่ ตั้งแต่พื้นที่สีแดงเข้มถึงพื้นที่เฝ้าระวัง 25, 50, 100, 200, 500 คน ปรับใหม่เป็น เพิ่มการรวมกลุ่มตามระดับพื้นที่ตั้งแต่พื้นที่สีแดงเข้มถึงพื้นที่เฝ้าระวัง ดังนี้ 50, 100, 200, 300, 500 คน

4. สถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ เดิมยังไม่เปิดบริการ แต่ให้ผู้ประกอบการเตรียมการปรับปรุงสภาพแวดล้อม และระบบระบายอากาศตามมาตรฐาน รวมถึงให้บุคลากรได้รับวัคซีนครบทุกคน ปรับใหม่เป็น กระทรวงมหาดไทยกรุงเทพฯ ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข กรมอนามัย กรมควบคุมโรค กรมสนับสนุนบริการสุขภาพของรัฐดำเนินมาตรการสำหรับเตรียมการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 ต.ค.นี้ อย่างไรก็ตาม การเปิดกิจกรรม กิจการ และการปรับระดับพื้นที่ เริ่มตั้งแต่วันที่ 16 ต.ค. นี้

4. ป.ป.ช. มีมติ 8 ต่อ 1 “พล.อ.ปรีชา” ไม่ได้จงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินเท็จ ปมบ้านที่พิษณุโลก เงินของลูก!



เมื่อวันที่ 12 ต.ค. มีรายงานว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้มีมติเสียงข้างมาก 8 ต่อ 1 เสียง ตีตกคำร้องกล่าวหา พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม น้องชาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กรณีถูกกล่าวหาว่า จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันเท็จและเอกสารประกอบ หรือปกปิดข้อเท็จจริงอันควรแจ้งให้ทราบ กรณีมิได้แจ้งถือครองบ้านใน จ.พิษณุโลก รวมถึงข้อมูลบัญชีเงินฝากของนางผ่องพรรณ จันทร์โอชา ภริยา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม และกรรมการ (บอร์ด) บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ

ทั้งนี้ มีรายงานว่า กรรมการ ป.ป.ช. เสียงข้างน้อย 1 เสียง คือ น.ส.สุภา ปิยะจิตติ สำหรับเหตุผลที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสียงข้างมากเห็นว่า พล.อ.ปรีชา ไม่ได้จงใจแจ้งบัญชีทรัพย์สินเท็จ เพราะเปรียบเทียบทรัพย์สินที่มีกับที่ไม่แจ้งห่างกันมาก เงินที่เอามาซื้อทรัพย์สินที่ไม่ได้แจ้ง เป็นเงินที่มีมาก่อนที่มีหน้าที่ต้องแจ้ง และเป็นเงินของลูก ซึ่งไม่ต้องแจ้งบัญชีทรัพย์สินด้วย

อนึ่ง ก่อนหน้านี้เมื่อเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติเอกฉันท์ 8 เสียง (นายณรงค์ รัฐอมฤต กรรมการ ป.ป.ช. มิได้เข้าร่วมประชุม) แจ้งข้อกล่าวหาแก่ พล.อ.ปรีชา กรณีดังกล่าว ต่อมา มีรายงานข่าวจากสำนักงาน ป.ป.ช. แจ้งว่า พล.อ.ปรีชา ได้เข้าชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาดังกล่าวแล้ว

ซึ่ง พล.อ.ปรีชา เคยให้สัมภาษณ์ยืนยันหลายครั้งว่า ชี้แจงรายละเอียดต่อ ป.ป.ช. ไปหมดแล้ว ตั้งแต่เดือน ม.ค.-ก.พ. 2564 คิดว่าไม่มีอะไร ส่วนเรื่องบ้านที่ จ.พิษณุโลก นั้น พล.อ.ปรีชา เคยให้สัมภาษณ์ชี้แจงว่า บ้านหลังดังกล่าวปลูกบนที่ดินประมาณ 1 ไร่เศษ ได้ที่ดินมาตั้งแต่ปี 2554 และเตรียมจะดำเนินการแจ้งต่อ ป.ป.ช. ไม่ได้มีเจตนาปกปิด

สำหรับประเด็นการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของ พล.อ.ปรีชา นั้น ก่อนหน้านี้ ในช่วงดำรงตำแหน่งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เคยกรอกข้อมูลเงินฝากของนางผ่องพรรณ จันทร์โอชา คู่สมรส ไม่ครบ อย่างไรก็ดี คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดก่อนหน้านี้เคยมีมติยกคำร้องกรณีดังกล่าวไปแล้ว โดยเห็นว่า ไม่จงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ

ด้านนายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กว่า “ป.ป.ช. ควรออกมาชี้แจงประชาชน คำตัดสินของ ป.ป.ช. กรณี พลเอกปรีชา จันทร์โอชา ไม่แจ้งบัญชีทรัพย์สิน โดยมีคำแถลงเป็นเอกสารจาก ป.ป.ช.ถึงเหตุของการยกคดีเพียงไม่กี่บรรทัดว่า เนื่องจากเป็นบ้านที่สร้างไม่เสร็จและขาดเจตนาในการไม่แจ้งนั้น น่าจะไม่เพียงพอที่จะทำให้สังคมเชื่อถือ แถมยังเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงการทำงานที่เอนเอียงเข้ากับผู้มีอำนาจในบ้านเมืองอีกครั้ง นับแต่กรณีนาฬิกายืมเพื่อนของพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เราเชื่อว่า การลงมติถึง 8:1 ในกรณีดังกล่าว ต้องมีเหตุผลที่หนักแน่นเพียงพอ และสมควรตั้งโต๊ะแถลงต่อประชาชนให้เกิดความเข้าใจ มิเช่นนั้นคนจะยิ่งเชื่อว่า องค์กรนี้ไม่มีประโยชน์ในการปราบปรามทุจริตและประพฤติมิชอบ ป.ป.ช. ที่เป็นตัวบุคคลมาแล้วไป แต่ศักดิ์ศรีแห่งองค์กรอิสระต้องรักษาไว้ อย่าคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กๆ ที่ออกเอกสาร หรือให้ จนท.มาแถลงแล้วจบ”

5. “พระมหาสมปอง” ย้ำ มีบางองค์กรจ้องจับสึก ย้ำ เป็นแค่พระเล็กๆ ไม่ต้องการขัดขาใคร หากวันใดไม่มีใครฟังเทศน์ จะไปเอง!



จากกรณีพระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต แห่งวัดสร้อยทอง ได้ไลฟ์สดเมื่อวันที่ 9 ต.ค. ซึ่งมีช่วงหนึ่งพระมหาสมปองได้พูดถึงความรู้สึกถูกกดดัน ถูกบางคนด่าด้วยคำหยาบคาย และถูกจ้องจับสึก จนถึงกับร้องไห้เป็นบางช่วง และห่วงความรู้สึกของโยมแม่ที่ป่วยติดเตียง และเครียดเมื่อรู้ข่าวนี้ โดยมีพระมหาไพรวัลย์และพระมหานภันต์ จากวัดสระเกศ ที่ร่วมไลฟ์อยู่ด้วย ช่วยกันให้กำลังใจ กระทั่งชาวทวิตเตอร์ได้ทวีตข้อความให้กำลังใจ พร้อมติดแฮชแท็ก #saveพระมหาสมปอง นั้น

เมื่อวันที่ 10 ต.ค. พระมหาสมปองได้กล่าวกับสื่อมวลชนสำนักหนึ่งว่า ไม่ได้พาดพิงถึงมหาเถรสมาคม หรือพระเถระชั้นผู้ใหญ่แต่อย่างใด แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ขณะนี้มีบางองค์กร ซึ่งอาตมาไม่ขอเอ่ยนามองค์กร มีการจ้องจับผิด และหาช่องเพื่อจะจับอาตมาสึก แต่เมื่อมีสื่อมวลชนนำเสนอข่าวดังกล่าว ทำให้แม่ของอาตมาที่ป่วยติดเตียงและอายุมากแล้ว ได้ติดตามข่าวสาร ทำให้เกิดความเครียดและไม่สบายใจ จึงทำให้อาตมารู้สึกเป็นห่วงครอบครัวด้วย

พระมหาสมปอง กล่าวอีกว่า ช่วงนี้จะทำอะไรก็ถูกจับจ้องไปหมด หากถามเรื่องพระธรรมวินัย อาตมาทำได้หมด แต่บางครั้งก็อยากช่วยเหลือญาติโยมบ้าง ซึ่งอาตมาเป็นเพียงพระเล็กๆ รูปหนึ่ง ไม่ได้ต้องการจะขัดขาใคร แต่เมื่อเจอเรื่องต่างๆ โถมเข้ามา ก็ทำให้เกิดความอึดอัด และที่ผ่านมาก็ไม่ได้มีหน่วยงานใดให้ความปกป้องหรือชี้แนะอาตมาเลย

ขณะเดียวกัน ตอนนี้มีผู้แสดงความคิดเห็นหลากหลาย บางส่วนมองว่าอาตมาทำถูก แต่บางส่วนก็มองว่าอาตมาทำผิด และบางคนถึงขั้นแสดงความคิดเห็นไล่ให้ไปสึก ซึ่งอาตมาขอยืนยันว่า การที่ครองสมเพศเป็นพระอยู่ในขณะนี้ เพราะเห็นว่าตัวอาตมาเองยังทำประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาได้ ยังมีญาติโยมนิมนต์ไปเทศน์อยู่บ้าง แต่หากวันใดไม่มีคนฟังเทศน์จากอาตมา หรือตัวอาตมาไม่สามารถทำประโยชน์ให้พระพุทธศาสนาได้ อาตมาก็จะไปเอง

ส่วนกรณีบัญชีรับบริจาคน้ำท่วม อาตมายอมรับว่าผิดพลาด

เนื่องจากขณะนั้นต้องการช่วยเหลือญาติโยมที่กำลังประสบภัยน้ำท่วม จึงขอรับบริจาค โดยที่ไม่ทราบว่าการรับบริจาคดังกล่าวจะต้องมีขั้นตอนต่างๆ มากมาย และมีกฎหมายรองรับ ดังนั้นหลังจากที่ได้ปรึกษากับลูกศิษย์และทนายความที่เป็นห่วงและหวังดี ได้ให้คำแนะนำว่าการเปิดบัญชีในลักษณะนี้จะต้องเปิดเป็นมูลนิธิ แต่อาตมามองว่า ส่วนตัวตอนนี้ยังไม่พร้อมถึงขั้นนั้น เบื้องต้นจึงแก้ไข โดยการปรับเปลี่ยนวิธีการรับบริจาค โดยยกเลิกคำว่าช่วยเหลือน้ำท่วม แต่เปลี่ยนเป็นบัญชีรวม ที่จะช่วยเหลือพระภิกษุ-สามเณร ช่วยเหลือผู้ประสบภัย และช่วยเหลือด้านอื่นๆ ตามสมควรแทน

พระมหาสมปองกล่าวด้วยว่า ตอนนี้มีคนโทรหาสำนักงานพระพุทธศาสนา รายงานว่า การไลฟ์สดที่ผ่านมาของอาตมา ที่อาจจะดูไม่เหมาะสม ทางสำนักพุทธก็มีหนังสือข้อความส่งถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และหน่วยงานดังกล่าวก็ได้ส่งหนังสือมาถึงรักษาการเจ้าอาวาส ซึ่งอาตมาก็น้อมรับและนำมาปรับปรุงแก้ไข “ยืนยันว่าจะยังไลฟ์สดต่อไป เพราะไม่สามารถทอดทิ้งลูกเพจกว่า 1 ล้านคนที่สนับสนุนได้ แต่จะมีการระมัดระวังมากขึ้น รวมถึงตอนนี้ลูกศิษย์ก็กำลังศึกษาข้อมูลทางด้านกฎหมายมากขึ้น”