“สมรภูมิ”ม็อบแรงลากยาว “มั่นคง”ส่งสัญญาณ“ประยุทธ์”? – กรุงเทพธุรกิจ

แม้ ‘ความมั่นคง’ เชื่อมั่นว่า การชุมนุมของกลุ่มต่างๆที่ออกมาขับไล่ ‘พล.อ.ประยุทธ์’ ยังไม่ถึงขั้นจลาจล หรือ ต้องงัดกฎอัยการศึก แต่สิ่งที่น่าห่วง คือ การบุกรุก ‘เขตพระราชฐาน’ และเผาทำลายทรัพย์สินที่อาจลามไปสู่สถานที่ราชการ เอกชน และ พรรคการเมือง

เล่นเอาหืดขึ้นคอกับสถานการณ์ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เข็นคะแนนแก้ไขปัญหา โควิด-19 ไม่ขึ้น จึงได้เห็น ‘สารพัดม็อบ’ แตกตัวออกมาเปิดเกมไล่บี้ ไล่รุก รับส่งไม้กันเป็นทอดๆ จาก ม็อบ 3 นิ้วของกลุ่มเยาวชน มาสู่ม็อบรวมทุกรุ่น 

โดยเฉพาะกลุ่มไทยไม่ทน แม้แกนนำคนสำคัญ นายจตุพร พรหมพันธ์ ประธาน นปช.จะอยู่ในคุก แต่ม็อบก็ยังไปต่อ โดยฝากไว้กับ “สมบัติ บุญงามอนงค์” หรือ บก.ลายจุด เจ้าของไอเดีย ‘คาร์ม็อบ’ ที่กำลังมาแรง  

กระทั่งล่าสุด ‘เต้น’ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช.อีกปีก เข้ามาผนึก ต่อยอดไอเดียคาร์ม็อบกับไฮปาร์ก เป็นกิจกรรม “คาร์ปาร์ก”ระดมคาราวานรถยนต์ มอเตอร์ไซด์ทั่วประเทศ เปิดฉากเต็มรูปแบบวันอาทิตย์ 15 ส.ค.นี้

 

ในพื้นที่ กทม.กำหนดกิจกรรมคาร์ปาร์ก #ไล่ประยุทธ์ 3 ขบวน กำหนดจุดนัดหมายไว้ 3 แห่ง จุดที่ 1 แยกราชประสงค์ ตั้งขบวนมุ่งหน้าไปพระรามสี่ – บ่อนไก่- แยกคลองตัน และวนกลับมาที่แยกราชประสงค์ จุดที่ 2. อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย มุ่งหน้าสะพานพระปิ่นเกล้า – เซ็นทรัลปิ่นเกล้า – ถนนจรัญสนิทวงศ์ วนกลับมายังอนุสาวรีย์ และจุดที่ 3. เริ่มที่พระนครศรีอยุธยา เส้นทางถนนสายเอเชีย-ถนนวิภาวดีรังสิต เข้ามาปักหลักที่ห้าแยกลาดพร้าว

ทุกจุดจะเคลื่อนขบวนพร้อมกันเวลา 15.00 น. ถึงจุดนัดหมาย จะมีการปราศรัย แสดงดนตรี ถ่ายทอดสดผ่านเฟซบุ๊คไลฟ์ ยูทูป ทุกช่องทาง 

ส่วนแนวร่วมต่างจังหวัด ให้กำหนดจุดกันเอง แต่ให้พร้อมเพรียงกันในกิจกรรมไฮไลท์

 6 โมงเย็น เวลาเคารพธงชาติ หยุดขบวน แล้วกดแตรยาวตามเวลาเพลงชาติ เพื่อเป็นสัญญาณขับไล่พล.อ.ประยุทธ์ ให้ออกจากนายกฯ ให้สะเทือนเลื่อนลั่นทั้งแผ่นดิน และปิดกิจกรรม

 ถือเป็นการเปิดฉากไล่นายกฯ อย่างเอาจริงเอาจัง ด้วยขบวนการจัดตั้งของฝ่ายตรงข้าม ที่มีแกนนำชัดเจน 

 

ฝ่ายความมั่นคง คาดการณ์ว่าการเคลื่อนไหวในลักษณะนี้ ส่อเค้าจะลากยาวไปถึงปลายปี หรือจนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย ซึ่งเป็นงานหนักของทั้ง ตำรวจ-ทหาร ที่ต้องเตรียมแผนรับมือกันให้ดี  เนื่องจาก ‘สามเหลี่ยมดินแดง’ ถนนเชื่อมไปสู่บ้านพัก พล.อ.ประยุทธ์ ภายใน กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ (ร.1 ทม.รอ) กำลังกลายเป็นสมรภูมิรบย่อยๆ

หลังเกิดเหตุปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่ และกลุ่มผู้ชุมนุม แต่ละครั้งความรุนแรงได้ถูกยกระดับขึ้นมาเรื่อยๆ มีการนำอาวุธจริงมาใช้ ตามมาด้วยการเผาทำลายทรัพย์สินของราชการ ในขณะตำรวจงัดอุปกรณ์ควบคุมฝูงชนทุกรูปแบบทั้ง รถฉีดน้ำ แก๊สน้ำตา กระสุนยาง

หน่วยงานความมั่นคงประเมินว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นยังสามารถควบคุมได้ ยังไม่เข้าขั้นจลาจลที่ต้องงัดกฎอัยการศึก เพื่อให้ทหารออกมาประจัญหน้าจนกระทบภาพลักษณ์ของประเทศ ให้เข้าทางอีกฝ่าย อีกทั้งยังมี พ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็นเครื่องมือสำคัญในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่

ทว่า สิ่งที่กังวลคือ พื้นที่เขตพระราชฐานยังเป็นเป้าหมายของกลุ่มผู้ชุมนุม โดยเฉพาะพระบรมมหาราชวัง และ ร.1 ทม.รอ. จึงจำเป็นต้องคงกำลังทหารไว้ 20 กองร้อย เฝ้าดูสถานการณ์ตลอดเดือน ส.ค.นี้ หรือจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง  โดยมีการเตรียมพร้อมกำลังทหาร เพื่อทำหน้าที่ 2 รูปแบบ คือเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงาน แต่ในขณะเดียวกัน พร้อมแปรสภาพเป็นเจ้าพนักงานทันที หากสถานการณ์บานปลาย

มีการวิเคราะห์ถึงการชุมนุมที่เปลี่ยนแนวทางมาใช้ความรุนแรง และยั่วยุให้เกิดการปะทะ ตั้งแต่พ่นสีด้วยข้อความไม่เหมาะสมในสถานที่สำคัญ เพื่อให้กระทบความรู้สึก เช่น สถานที่บรรจุอัฐิของตำรวจ ทหาร และพลเรือนที่เสียชีวิตจากการปกป้องประเทศที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ 

สิ่งที่ฝ่ายความมั่นคงระวังหนัก คือการเผาทำลายทรัพย์สิน อาจมีแนวโน้มลามไปสู่การเผาสถานที่ราชการ เอกชน นักการเมือง พรรคการเมือง

นอกจากนี้ ยังมีการวิเคราะห์ถึงมวลชนว่า มีจำนวนไม่มากเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งตัวเลขอยู่ในระดับหลักร้อยถึงหลักพัน 

รูปแบบการชุมนุมไม่ได้แตกต่างจากปีที่แล้ว การชุมนุมมีลักษณะมาก่อความวุ่นวายแล้วก็กลับ มีแนวโน้มชัดเจนว่า ต้องการให้เกิดความรุนแรง เพื่อให้ได้ภาพเจ้าหน้าที่กระทำรุนแรงกับประชาชน หวังนำไปขยายผลต่อในโซเชียลมีเดีย ซึ่งรัฐบาล หรือหน่วยงานความมั่นคง ต้องเตรียมรับมือให้ดี ด้วยการบังคับใช้กฎหมายเต็มรูปแบบและยึดมาตรฐานสากล เพื่อป้องกันนำไปกล่าวอ้างว่าเจ้าหน้าที่ใช้ความรุนแรงกับประชาชน” แหล่งข่าวจากฝ่ายความมั่นคง ระบุ

 ส่วนความเคลื่อนไหวของ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาฯ นปช. แกนนำคาร์ม็อบ 15 ส.ค. หน่วยงานความมั่นคง ชี้ว่า ไม่มีอะไรน่าห่วง เนื่องจากมีแนวทางชัดเจนเป้าหมายต้องการขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ เท่านั้น ในส่วนมวลชนเสื้อแดงกระจัดกระจายไม่เหนียวแน่นเหมือนก่อน

ทั้งนี้ หน่วยงานความมั่นคง ยอมรับว่า คะแนนนิยมของ พล.อ.ประยุทธ์ ต่ำสุดในรอบ 7 ปี ตั้งแต่ทำรัฐประหาร 2557 ปัจจัยสำคัญคือ ไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 รวมทั้งแนวทางแก้ไขปัญหาที่ประชาชนรู้สึกไม่ตอบโจทย์ โดยเฉพาะการจัดหาและกระจายวัคซีนก็ซับซ้อนจนเกิดข้อครหาตลอดเวลา แต่ปัจจัยเหล่านี้ยังไม่เพียงพอ ที่จะทำให้ประชาชนลุกฮือมาต่อต้านเหมือนการชุมนุมในอดีตอย่างพันธมิตร นปช. กปปส.เพราะ เงื่อนไข สถานการณ์ และเวลายังไม่สุกงอม

ถึงแม้ประชาชนบางส่วน ไม่พอใจกับการบริหารงานของ พล.อ.ประยุทธ์ แต่ก็ยังไม่อยากให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในช่วงหัวเลี้ยวหัวตัว กับสภาพเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว

ดังนั้นข้อมูลจากการประเมินที่ไปถึงทำเนียบรัฐบาล เป็นสัญญาณว่า พล.อ.ประยุทธ์ ยังพอมีแต้มต่อที่จะประคับประคองสถานการณ์ ผ่านพ้นช่วงวิกฤติโดยเฉพาะโควิดไปได้ เว้นแต่ก้าวพลาดสะดุดขาตัวเอง