รักนาย My Ride เมื่อซีรีส์วายหยิบเอาบทบาทของวิชาชีพมาเป็นอุปสรรคความรัก

 

การขึ้นอันดับ 1 ในสตรีมมิ่ง WeTV น่าจะพอการันตีความสำเร็จของ รักนาย My Ride อีกหนึ่งซีรีส์วายที่ดัดแปลงมาจากนิยายในชื่อเดียวกันผลงานการประพันธ์ของ “รังสิมันต์” หรือ “หมอตุ๊ด” ได้หยิบเอาอาชีพวินมอเตอร์ไซค์สุดห้าวมาพบรักกับคุณหมอสุดละมุน

ความน่าสนใจอยู่ตรงที่ว่า “รักนาย My Ride” เลือกจะหยิบ “ความแตกต่าง” ระหว่างอาชีพของตัวละครเอกมาเป็นปมขัดแย้งที่ทำให้ตัวละครอย่างหมอก (ฟลุ๊ค พงศกร) หนุ่มวินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ฝีมือการบิดไม่ธรรมดา แถมยังทำรอบในการขับไลน์แมนเพื่อหารายได้เสริม ความขยันของหมอกได้รับการตั้งคำถามจากเพื่อนร่วมวินว่า “หมอก มึงขยันขนาดนี้เดือนนึงได้เงินสามสี่หมื่นแน่ๆ เอาไปทำอะไรวะ” คำตอบที่หมอกตอบกลับคือ เขามีภาระในการใช้หนี้ให้แม่ ค่ากินอยู่จิปาถะ จ่ายค่าเทอมให้เฟิร์นแฟนสาวของเขา

คำถามถัดมาที่เพื่อนวินถามหมอกว่าทำไมต้องไปจ่ายค่าเทอมให้แฟนของตัวเองด้วย หมอกตอบกลับอย่างคนซื่อๆ ว่า เฟิร์นเขาลำบาก พ่อก็หนีไป แม่ก็ป่วย ดังนั้นเขาจึงคุยกับแฟนตัวเองว่า ต้องมีใครสักคนเรียนจบเพื่อประกอบอาชีพที่มั่นคงก่อนลงหลักปักฐานสร้างเนื้อสร้างตัว จะเห็นได้ว่าตัวละครอย่างหมอกเองถือได้ว่าเป็นคนที่เชื่อมั่นในความรักและยอมจะเสียสละเพื่อคนที่เขารักอย่างเต็มใจ โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าอีกไม่นานตัวเองกำลังจะต้องผิดหวัง

ในคืนวันเกิดของเฟิร์น หมอกได้พบความจริงที่ว่าเฟิร์นตัดสินใจบอกเลิก พอเธอคิดว่าความสัมพันธ์ในระยะยาวคงไปกันไม่รอด แต่ในวันถัดมาหมอกกลับเหลือบไปเห็นเฟิร์นไปอยู่กับผู้ชายคนอื่น มีความสุขอยู่บนรถเก๋งทำให้เขาบันดาลโทสะมีเรื่องชกต่อยกับผู้ชายคนใหม่ของเฟิร์น เมื่อแสงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปหมอกจนอยู่กับความเศร้า จนกระทั่งหมอตะวัน (เฟม ชวินโรจน์) เดินมาหาหมอกเพื่อเรียกวินมอเตอร์ไซค์ให้ไปส่งยังปลายทาง ทว่าการพบกันครั้งแรกของทั้งสองคน คนหนึ่งกำลังอกหัก ในขณะที่ฝั่งตะวันเพิ่งถูกพี่ปอ (ภัทร์ ฉัตรบริรักษ์) ขอเป็นแฟน

ระหว่างที่ซ้อนมอเตอร์ไซด์กลับ เมื่อถึงปลายทางที่หมาย ก่อนที่ตะวันจะจ่ายเงินเขาบอกกับหมอกว่า “คุณวิน ไม่ว่าคุณจะเจอเรื่องอะไรอยู่ สู้ๆนะครับ” และนั่นกลายเป็นประโยคที่ทำให้หมอกกลับมายิ้มได้อีกครั้ง

แม้หมอกอาจจะยังไม่รู้ว่าตะวันประกอบอาชีพเป็นหมอ ทำให้ช่วงหนึ่งเขาดำรงสถานะเป็นวินมอเตอร์ไซค์จอมห้าว พูดจายียวนกวนตีน จนเมื่อเขาได้ทราบ “อาชีพ” ที่แท้จริงของตะวัน เขาถึงกับยกมือไหว้ขอโทษขอโพยอย่างจริงจัง เป็นเรื่องเป็นราว ราวกับว่าตัวเองกำลังเล่นไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง แต่เปล่าเลยแทนที่ตะวันจะถือโทษโกรธเคือง เขากลับบอกหมอกว่า “หมอก็คนเหมือนกัน” นั่นหมายความว่าตะวันมองสถานะของคนอื่นในชีวิตเท่ากัน ไม่ได้มองว่าอาชีพอย่างวินมอเตอร์ไซค์มีความต่ำต้อยกว่าตัวเอง

เรื่องราวของหมอกและตะวันอาจจะดำเนินไปได้อย่างราบรื่น ถ้าหากตะวันไม่ได้คบหาอยู่กับพี่ปอ คุณหมอรุ่นพี่ที่ดูเหมือนว่า ยิ่งทั้งสองคงสถานะเป็นแฟนแค่ไหน พวกเขากลับพบว่าอีกฝ่ายเริ่มตีตัวออกห่าง โดยเฉพาะพี่ปอที่เริ่มหลบลี้หนีหน้าตะวันในทุกๆครั้งที่ตะวันอยากเจอ โดยที่ความเป็นจริงแล้วพี่ปอแอบกลับไปคบซ้อนอยู่กับแฟนเก่า

แม้ในห้วงแรกหมอกอาจจะเป็นแต่เพียงวินมอเตอร์ไซด์ประจำตัว พูดง่ายๆว่าเป็นขาประจำ ขึ้นบ่อยเจอกันบ่อยจนตะวันขอฝากหมวกกันน็อคไว้กับหมอก ราวกับว่าสิ่งนี้เป็นเหมือนไอเท็มล้ำค่า ทำให้หมอกบอกว่าเขาจะดูแลหมวกใบนี้เป็นอย่างดี

ตลอดเส้นทางของเรื่อง หมอกได้เห็นความโอบอ้อมอารี มีน้ำใจและเป็นห่วงเป็นใย ของตะวันอยู่ตลอดเวลา เขาจึงเริ่มตกหลุมรักในสิ่งที่ตะวันเป็น พลางย้อนกลับมาตั้งคำถามกับตัวเองว่าก่อนหน้านี้เขาคบผู้หญิงมาโดยตลอด เป็นไปได้ไหมที่เขาจะหลงรักผู้ชาย เมื่อเขาพยายามหาคำตอบ หมอกก็พบว่าลุงของเขาทั้งสองคนที่เปิดอู่ซ่อมรถ ก็เป็นคู่ชีวิตดูแลกันมาก็ดำรงสถานะเป็นผู้ชายทั้งคู่

ความน่าสนใจอันเป็นประเด็นหลักของ รักนาย My Ride กลับอยู่ที่เรื่อง “สถานะทางสังคม” ของหมอกที่เขามักจะทวนคำถามกับตัวเองอยู่เสมอว่า อาชีพวินมอเตอร์ไซค์อย่างเขาจะรักกับคุณหมอ ที่ดูเป็นวิชาชีพอันสูงส่ง (และเป็นค่านิยมของสังคมไทยด้วยเช่นกันว่า เป็นวิชาชีพที่คนต้องกราบไหว้ให้ความเคารพ) แต่เมื่อตัวละครอย่างตะวัน พยายามกะเทาะภาพของหมอ ที่ดูวันๆจะหมดไปกับการรักษาคนไข้ ไหนจะไม่อาจประคับประคองคนรัก (พี่ปอ) จนเกิดความไม่เข้าใจกัน ไส้กรอกดินประสิวและลูกชิ้นปลาที่อัดแน่นไปด้วยแป้งอันเป็นของโปรด ทั้งที่เขาเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่ามันเป็นอาหารที่อุดุมไปด้วยแคลอรี่ กระทั่งในยามที่เขาร้องไห้เสียใจ ก็ต้องการแค่ไหล่ของใครซักคนมาให้ซบอิงแอบแนบพิง เหล่านี้คือการละลายภาพคุณหมอที่ดูมีสถานะสูงกว่าคนทั่วไป ให้ดูมีชีวิตจับต้องได้ อกหักและมีหัวใจไม่แพ้คนอื่น

จริงๆแล้วเราเชื่อว่าคนดูซีรีส์นี้ก็คงเดาปลายทางตอนจบของเรื่องได้ว่า สุดท้ายแล้วยังไงหมอกกับตะวันก็น่าจะกลายเป็น “คู่” กันอยู่ดี แต่สิ่งที่น่าสนใจของซีรีส์นี้กลับอยู่ที่ระหว่างทาง เมื่อตัวละครได้พยายามเรียนรู้หัวใจของตัวเอง สลัดคำจำกัดความเรื่องการมีความรักกับเพศเดียวกันหรือเพศตรงข้าม ก้าวข้ามความกลัวในเรื่องความแตกต่างทางสังคมและวิชาชีพ จนท้ายที่สุดแล้วพวกเขาลงเอยกันในฐานะของคนสองคนที่เข้าใจความต้องการของอีกฝ่ายต่างหาก