EAเปิดตัวกระบะไฟฟ้า เล็งอีวีดันกำไรQ3

#EA #ทันหุ้น – EA เตรียมเปิดตัวรถกระบะไฟฟ้ารุ่นใหม่ เสริมแกร่งธุรกิจอีวีอัพรายได้เพิ่ม ฟากโบรกมองหนุนการเติบโตในระยะกลาง-ยาว ชูส่งมอบ EV Bus เพิ่มคาดส่งมอบ 250-500 คัน ในไตรมาส 3/2565 ดันกำไรนิวไฮ จากแบ็กล็อกกว่า 3,000 คัน คาดส่งมอบต่อเนื่องถึงไตรมาส 2/2566 แถมต้นทุนวัตถุดิบในการผลิต EV และแบตเตอรีปรับตัวลดลงดันมาร์จิ้น ขณะที่วินด์ฟาร์มเข้าไฮซีซัน เคาะเป้าหมาย 107 บาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (18 ต.ค.65) บริษัท ไมน์ โมบิลิตี คอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยในกลุ่มบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA เตรียมจัดงาน “Grand Opening EV Mini Truck MT30 : Respect Environment” เพื่อเปิดตัวรถกระบะไฟฟ้ารุ่นใหม่

ทั้งนี้ บริษัท ไมน์ โมบิลิตี คอร์ปอเรชั่น จำกัด ดำเนินธุรกิจผลิตและประกอบยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยระบบพลังงานไฟฟ้า 100%โดยใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัย บริษัทได้พัฒนายานยนต์ไฟฟ้าในการยกระดับการขนส่งเชิงพาณิชย์จากฝีมือคนไทย นับเป็นก้าวที่สำคัญอย่างยิ่งที่จะผลักดันให้เกิดผลสำเร็จของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าที่เป็น New S-Curve ตามยุทธศาสตร์ของประเทศ กลุ่ม EA มุ่งเน้นพัฒนาธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ในการเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขันของประเทศไทยและสนับสนุนด้านความยั่งยืนโดยเฉพาะอย่างยิ่งการลดมลพิษ และภาวะโลกร้อนให้บรรลุเป้าหมาย

**กำไรนิวไฮต่อเนื่อง

บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุถึง EA ว่า เบื้องต้นคาดกำไรปกติไตรมาส 3/2565 เติบโตเด่น QoQ และ YoY รวมถึงมีโอกาสทำ New high โดยการเติบโตQoQ หนุนจาก 1.การเข้าสู่ช่วง High Season ของโรงไฟฟ้าพลังงานลมในไตรมาส 3/2565 2.ต้นทุนวัตถุดิบในการผลิต EV และแบตเตอรีที่เริ่มปรับตัวลงเช่นเดียวกับราคา Commodity อื่นหลังเศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงในการเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) มากขึ้น ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นมีแนวโน้มฟื้นตัว QoQ และ 3.EA ได้มีการส่งมอบไปแล้วราว 200 คันในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม โดยคาดจะสามารถส่งมอบได้ราว 250-500 คันในไตรมาส 3/2565 (ไม่มีการส่งมอบใน 1H/65)

ขณะที่การเติบโต YoY จะได้แรงหนุนมากจากการส่งมอบรถ EV Bus ที่สูงขึ้น YoY (ส่งมอบ 77 คันในไตรมาส 3/2564) และประสิทธิภาพที่สูงขึ้นของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ หลังจากมีการเปลี่ยนแผง Solar รวมถึงการปรับขึ้นค่า Ft เป็นหลัก

*ทยอยส่งมอบ EV Bus

ทั้งนี้ปัจจุบัน EA มี Backlog สำหรับรถ EV Bus อยู่ที่ราว 3,000 คัน (คำสั่งซื่อหลักมาจากกลุ่ม BYD) โดยจะทยอยส่งมอบตั้งแต่ไตรมาส 3/2565 ไปจนถึงไตรมาส 2/2566 เมื่อประกอบกับการสั่งชิ้นส่วนจากจีนที่ทำได้ง่ายขึ้น (สถานการณ์การแพร่ระบาดในจีนเริ่มคลี่คลาย) และความเร็วการผลิตของโรงงาน EV Bus ในปัจจุบันที่ราว7-8 คันต่อวัน (ถ้าเต็ม Capacity อยู่ที่ราว 9-10 คันต่อวัน) จึงคาดการส่งมอบรถ EV Bus จะมีความต่อเนื่องมากขึ้นตั้งแต่ครึ่งปีหลัง 2565 เป็นต้นไป ทั้งนี้ EA มีการตั้งเป้าหมายการส่งมอบรถ EV Bus ในปี 2565 จำนวน 1,200 คัน ดังนั้นจึงมีโอกาสสูงที่ปริมาณการส่งมอบจะปรับตัวสูงขึ้นในไตรมาส 4/2565 และทำให้กำไรปกติไตรมาส 4/2565 มีโอกาสทำ New High เป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกัน

ในวันที่ 22 กันยายนที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตจะมีการเสนอให้บอร์ด EV พิจารณามาตรการส่งเสริมอุตสาหกรรมแบตเตอรีรถ EV ซึ่งจะมีทั้งมาตรการทางด้านภาษีและการให้เงินอุดหนุน สำหรับสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีคาดได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลราว 5-8 ปี และลดภาษีนำเข้าวัตถุดิบ (ขึ้นอยู่กับระดับของกระบวนการผลิต) ขณะที่การได้รับเงินอุดหนุนคาดจะขึ้นอยู่กับปริมาณการผลิตและคุณภาพของแบตเตอรีเป็นหลัก

โดยมองว่าผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากประเด็นดังกล่าวมากที่สุด คือ EA ที่เป็นผู้ประกอบการเพียงรายเดียวที่มีโรงงานแบตเตอรีที่ COD แล้วและสามารถผลิตได้ในเชิงพาณิชย์ นอกจากนี้ EA ยังได้รับประโยชน์จากมาตรการสนับสนุนการผลิต EV ในประเทศเพราะมาตรการดังกล่าวมีเงื่อนไขว่าต้องใช้แบตเตอรีที่ผลิตในประเทศเท่านั้น (หนุนยอดขายแบตเตอรีแบบ OEM)

*เปิดตัวรถกระบะอีวีหนุน

ปรับไปใช้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2566 ที่ 107.00 บาทต่อหุ้น (อิง SOTP) มี Upside +17.6% คงคำแนะนำ “ซื้อ” นอกจากนี้ EA ยังมีประเด็นบวกที่รออยู่คือการเปิดตัวรถกระบะ EV (EV Mini Truck) ในช่วงไตรมาส 4/2565 ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนการเติบโตในระยะกลาง-ยาว (ยังไม่รวมไว้ในประมาณการ) เนื่องจากเป็นกลุ่มรถที่มีการใช้งานอย่างแพร่หลายในประเทศไทย (ทั้งในภาคขนส่งและภาคครัวเรือน)