สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 22-28 ม.ค.2566



1.”ทักษิณ” ยัน กลับไทยแน่ รอ “อิ๊งค์” ประกาศวันกลับ เมิน “จตุพร” ไม่สนถูกเห่า ด้าน “จตุพร” ฟาดกลับ “ถ้าผมหมาท่านก็หมา”!

เมื่อวันที่ 24 ม.ค. นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และจำเลยหนีคำพิพากษาศาลฎีกาฯ จำคุก 2 ปีคดีซื้อที่รัชดาฯ ได้ร่วมรายการในแอปพลิเคชันชื่อ ClubHouse CareTalk x CareClubHouse : มีเรื่องคาใจ ก็ถามมาเลย! โดยช่วงหนึ่ง นายทักษิณ ได้กล่าวถึงการเดินทางกลับประเทศไทยว่า “ก่อนอื่น ต้องขออภัย ที่เคยพูดว่าจะกลับ พ.ศ.ที่แล้ว ผมพยายามอย่างยิ่ง ผมไปทำออกซิเจนให้เสร็จก่อนเวลา ก่อนสิ้นปี เพื่อจะกลับให้ทัน แต่สถานการณ์มัน ลูกเขามีความห่วงใยเรื่องความปลอดภัย ก็เลยยังกลับไม่ได้ แต่ยังไงผมก็จะกลับ”

นอกจากนี้ นายทักษิณ ยังระบุว่า ตนเองอยู่เมืองนอกนาน พวกใส่ร้ายป้ายสีก็เพิ่มขึ้น รวมถึงพวกกล่าวหาทางคดี เพราะฉะนั้นกลับไปดีกว่า “ถ้าผมกลับไป ย้ำไว้นะ ไม่อาศัยนักการเมืองใดๆ รวมทั้งพรรคเพื่อไทยด้วย อาศัยหัวใจตัวเอง เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลผม แล้วยังไงก็ย้ำอีกครั้งว่า น้องอิ๊งค์จะเป็นคนประกาศว่าผมจะกลับเมื่อไหร่ อย่างไร รับรองว่าไม่มีการออกกฎหมาย อย่าไปคิดว่าจะเกี้ยเซียะกับพลังประชารัฐ เพื่อจะขอกลับ ไม่มี”

นายทักษิณ ยังกล่าวอีกว่า ขอมอง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ในวันนี้ ยืนยันว่า ท่านอยากเป็นนายกฯ แน่นอน เพราะลุกขึ้นมาใส่แจ็กเก็ตแล้ว และถือเป็นความท้าทายที่ต้องการแข่งกับพรรครวมไทยสร้างชาติ และว่า พล.อ.ประยุทธ์ คิดถูกแล้วที่ไปพรรครวมไทยสร้างชาติ เพราะมีมหามิตรอยู่ที่นั่น “แต่ถ้าถามผม ควรกลับไปเลี้ยงหลาน แต่ท่านไม่มีหลานก็ไม่เป็นไร กลับไปเลี้ยงลูก แล้วไปเที่ยวกัน ตอนผมกลับบ้านแล้วไปเที่ยวกัน ไปช่วยเอาประสบการณ์มาแชร์กัน จากซีกของท่าน ที่เป็นซีกใช้อำนาจสุดๆ และซีกของผม ต้องแคร์ประชาชนสุดๆ แล้วมานั่งแชร์กัน แล้วมาเขียนหนังสือสักเล่ม”

ขณะเดียวกันนายทักษิณ ยังได้มีการตอบคำถามจากผู้ร่วมชมรายการ กรณีนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคณะหลอมรวมประชาชน และอดีตประธาน นปช. ออกมาวิพากษ์วิจารณ์นายทักษิณอย่างต่อเนื่อง โดยนายทักษิณ กล่าวว่า ตนมีคนเรียกหลายชื่อ “ทักษิณ” “แม้ว” “โทนี่” คิดว่าจะเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “ถูกเห่า” ตลอด 16 ปีตนโดนเห่ามาตลอด ใครนึกอะไรไม่ได้ก็เห่าตนไว้ก่อน

นายทักษิณ กล่าวว่า มีการแก้กฎหมายฟ้องหมิ่นประมาท ใครอยู่นอกประเทศฟ้องร้องไม่ได้ ตนไม่ได้อยู่ในประเทศ คนก็กล่าวหาตน เพราะรู้ว่าตนฟ้องไม่ได้ “ผมโดนประจำ 16 ปีแล้ว เป็นเรื่องธรรมดา ผมเฉยๆ ผมโดนมาเยอะ โดนอีกสักตัวสองตัวก็ไม่เป็นไร ผมปลง ผมเฉย โดนมาเยอะแล้ว”

นายทักษิณ กล่าวด้วยว่า ตนอยากบอกคนเสื้อแดงทั้งหลาย ความเป็นมนุษย์สำคัญที่สุด มนุษย์ต้องรู้จักบาปบุญคุณโทษ รู้เจ็บรู้ปวด ต่อมาคือความเป็นคนไทย ต้องมองคนไทยอย่างคนไทยด้วยกัน “และความเป็นนักประชาธิปไตย ต้องอยู่กับประชาธิปไตย ไม่ใช่เดี๋ยวเป็นประชาธิปไตย เดี๋ยวเป็นประชาธิปตาย คนเสื้อแดงรักประชาธิปไตยสำคัญสุด”

อนึ่ง ก่อนหน้านี้ (20 ม.ค.) นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคณะหลอมรวมประชาชน ได้เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน “การเมืองสาละวันเตี้ยลง” โดยกล่าวบางช่วงบางตอนว่า การเมืองไทยติดกับดักมาตลอดกับการเลือกข้าง หากไม่เลือกข้างใด แต่วิจารณ์ทั้งสองข้างทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ ทักษิณ ชินวัตร อย่างตรงไปตรงมา จึงเป็นเรื่องยากมากที่สุด ตนบอกได้ว่า การติดคุกที่ผ่านมาเกิดจากการต่อสู้เพื่อปกป้องให้ทักษิณทั้งสิ้น และตอนนี้ก็ไม่เป็นสมาชิกพรรคใด

ส่วนการวิจารณ์พรรคเพื่อไทยนั้น นายจตุพร กล่าวว่า เนื่องจากเอาประชาธิปไตยมาผูกขาด ตนเห็นว่า เพื่อไทยละเลงประชาธิปไตยจนเละเทะไปหมด การพยายามชูคำขวัญเป็นพรรคนักประชาธิปไตย ใครย้ายออกเป็นผู้ทรยศ เป็นเผด็จการ และใครย้ายเข้ามาพรรคก็เป็นประชาธิปไตย

นายจตุพร กล่าวต่อว่า พฤติกรรมใช้ไม่ได้ เพราะตัวเองสามารถทรยศลูกน้องตัวเองได้ เลือกทรยศใครก็ได้ แต่ใครจะมาทรยศตัวเองไม่ได้ ทั้งที่ตัวเองเป็นเจ้าของการทรยศเช่นกัน

นายจตุพร ชี้ด้วยว่า ต้องหยุดการชูชนะเลือกตั้งพาทักษิณกลับบ้าน เพราะเคยชนะแล้วแต่ไม่ได้เอากลับมาบ้านอย่างแท้จริง “แล้วเป็นไงละ ทักษิณกลายเป็นของเล่นหาเสียง ทักษิณก็พูดซ้ำๆ จะกลับบ้านให้ได้ แล้วถ้าชนะจะเอากลับจริงหรือไม่ ยิ่งการพูดเช่นนี้จะเป็นเงื่อนไขทางการเมือง การเผชิญหน้าอีกฝ่ายหนึ่งทันทีโดยไม่จำเป็นเลย”

ทั้งนี้ หลังนายจตุพรถูกนายทักษิณกล่าวถึงโดยใช้คำว่า “ตัว” และ “ถูกเห่า” นายจตุพรจึงได้พูดถึงนายทักษิณอีกครั้งผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์ฯ ว่า นายทักษิณพูดว่า ช่วง 16 ปีท่านถูกเห่า นับตนเป็นตัว และตั้งฉายาให้ตัวเองว่า ถูกเห่า… “ผมกับนายกฯ ทักษิณ ปราศรัยเวทีเดียวกันมาในช่วงอยู่ประเทศไทย และผ่านวิดีโอลิงก์ต่างกรรมต่างวาระกันมายาวนานที่สุด ถ้าการพูดของผมเป็นการเห่า บนเวทีนี้ท่านก็ร่วมเห่ากับผมด้วย ถ้าผมหมา ท่านก็หมา ท่านอาจเป็นจ่าฝูง ถ้านับบรรดาศักดิ์ของหมู่หมาด้วยกัน”

นายจตุพร กล่าวต่อว่า ถ้าหลักคิดของนายทักษิณมองผู้ร่วมต่อสู้ด้วยกันเป็นหมา เป็นตัว แล้วหลีกเลี่ยงการตอบความจริง ดังนั้นท่านต้องนึกช้าๆว่า สิ่งที่ท่านดำเนินการทั้งหมดไปนั้น ถ้าตรงไปตรงมากับประชาชน และไม่พูดถึงตนในทางเป็นเท็จและเกิดความเสียหายในช่วงนี้ แล้วตนจะมาพูดเรื่องนี้ในช่วงนี้ทำไม นอกจากนี้ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ถ้าตนคิดถึงผลประโยชน์แล้วจะอยู่กับท่านได้อย่างไร เพราะท่านทรยศหักหลังตนตลอดเวลา โกหกซ้ำซาก โกหกแล้วโกหกใหม่ซ้ำกันไปซ้ำกันมา

นายจตุพรกล่าวด้วยว่า ขณะนี้นายทักษิณต้องคดีถึงที่สุดแล้ว แต่คดีหลังไม่มีอายุความ มีคำพิพากษารวมโทษประมาณ 12 ปี ดังนั้นในทางกฎหมายเมื่อนายทักษิณกลับไทยต้องถูกจับตัวส่งศาล แล้วเข้าคุก แต่มีข้อเท็จจริงบางประการว่า มีดีลพิเศษ แต่ไม่มีวันเป็นไปได้ เพราะเป็นสิ่งที่ไม่สมควร

“เรื่องจะกลับประเทศไทยจะไม่ออกกฎหมาย จะไม่เกี๊ยะเซียะกับพลังประชารัฐ และไม่ใช้พรรคเพื่อไทยด้วย ผมต้องเรียนไปยังนายกฯ ทักษิณว่า ผมได้ยินมาอยู่แล้ว หลายวันที่ผ่านมาคงจำกันได้ ผมว่ามันมีดีลหนึ่ง ซึ่งเป็นดีลที่ไม่สมควร และไม่สมควรจะดีล และไม่มีวันจะเป็นไปได้อีก และนี่หนักกว่าสุดซอย เพราะหนึ่งเป็นเรื่องไม่สมควรทำ สองยิ่งกว่าการลักหลับ และจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ แต่ผมขออนุญาตไม่อธิบายความ”

2.7 ตร. ห้วยขวาง ยัน ไม่ได้รีดเงินดาราสาวไต้หวัน 2.7 หมื่นตามที่กล่าวหา ด้านคนขับแกร็บ เผย ดาราไต้หวันเมามาก ตำรวจไม่ได้รีดเงิน!



ความคืบหน้ากรณี น.ส.อัน หยู ฉิง หรือชาร์ลีน อัน ดาราสาวชาวไต้หวัน โพสต์อินสตาแกรม (ไอจี) อ้างว่าถูกตำรวจไทยตั้งด่านตรวจใกล้สถานเอกอัครราชทูตจีน เรียกตรวจหนังสือเดินทางกล่าวหาว่าไม่มีวีซ่า จากนั้นถูกรีดเงินจำนวน 27,000 บาท ระหว่างมาเที่ยวประเทศไทยช่วงปีใหม่ ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 26 ม.ค. พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เผยว่า ได้มีการตรวจสอบแล้วเบื้องต้นพบว่า นักแสดงดังกล่าวได้เดินทางมายังประเทศไทย เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2565 โดยสายการบินเวียตเจ็ทแอร์ และเดินทางออกจากประเทศไทยในวันที่ 5 มกราคม 2566 ด้วยสายการบินไชน่าแอร์ไลน์

เมื่อมีข้อมูลพบว่า น่าจะมีการกระทำจากเจ้าหน้าที่ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้กำชับให้มีการเร่งตรวจสอบโดยด่วน แบ่งเป็น ทาง Instagram หรือไอจี ได้มีการเช็กอินที่โรงแรมแอคคอร์ดทองหล่อ ซึ่ง ผบ.ตร.ได้สั่งการให้กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) เข้าไปตรวจสอบว่า โรงแรมดังกล่าวมีการเข้าพักหรือมีชื่อของนักแสดงสาวเข้าพักหรือไม่ และโรงแรมแอคคอร์ดมีกี่แห่ง ให้เข้าไปตรวจสอบทั้งหมดเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วน

ขณะเดียวกัน ได้สั่งการให้ บช.น.ตรวจสอบเรื่องการตั้งด่านในห้วงนักแสดงสาวพำนักในประเทศไทย มีการตั้งด่านจากเจ้าหน้าที่ตำรวจในจุดไหนบ้าง นอกจากนี้ ได้มีการติดต่อไปยังนักแสดงคนดังกล่าวโดยได้ส่งข้อความไปใน Inbox ของนักแสดงทั้งในไอจีและเฟซบุ๊ก จากทีมโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อขอให้นักแสดงคนดังกล่าวให้ข้อมูลเพิ่มเติม ทั้งเรื่องสถานที่ ตัวบุคคล หรือพฤติกรรมอื่น รวมถึงภาพถ่ายอื่นๆ ที่มีประโยชน์ สามารถติดต่อในทางลับก็ได้ เพราะพร้อมรับข้อมูลทุกด้าน

พล.ต.ต.อาชยน เผยด้วยว่า “นายกรัฐมนตรีได้กำชับมายัง ผบ.ตร.ว่า เหตุการณ์ดังกล่าว เร่งทำความจริงให้ปรากฏกับสื่อมวลชนและประชาชน หากพบมีการกระทำผิด จะต้องโดนโทษทางวินัยและอาญาอย่างเคร่งครัดและจะต้องตรวจสอบให้ได้อย่างรวดเร็ว”



วันเดียวกัน (26 ม.ค.) พล.ต.ต.สำเริง สวนทอง รอง ผบช.น. ได้เรียกประชุมกรณีตำรวจ สน.ห้วยขวาง ถูกกล่าวหาจากดารานักแสดงไต้หวันว่า เรียกรับผลประโยชน์ขณะเข้ามาเที่ยวประเทศไทย 27,000 บาท โดยมีตำรวจป้องกันปราบปราม สน.ห้วยขวาง ที่ปฏิบัติหน้าที่วันเวลาดังกล่าวเข้าให้ข้อมูล 7 นาย

พล.ต.ต.สำเริง กล่าวว่า จากการสอบถามชุดปฏิบัติการทั้ง 7 นาย ที่เข้าให้ข้อมูล ยืนยันไม่มีการเรียกรับเงินนักท่องเที่ยวชาวไต้หวัน แต่ยอมรับว่า มีการโต้เถียง เนื่องจากขอเรียกตรวจสอบหนังสือเดินทาง แต่นักท่องเที่ยวไต้หวันคนนี้ มีอาการมึนเมา อ้างว่า ไม่ได้พกพาหนังสือเดินทางติดตัวมาด้วย แต่สามารถให้เพื่อนนำมาจากที่พัก มาให้ตำรวจตรวจสอบได้ เนื่องจากการสื่อสารและภาษาไม่เข้าใจกัน ประกอบกับในเวลาดังกล่าว เป็นช่วงใกล้เวลาของการยกเลิกจุดตรวจ ว.43 เคลื่อนที่ป้องกันเหตุอาชญากรรม จึงอนุญาตให้นักท่องเที่ยวคนดังกล่าวเดินทางกลับไปได้ เนื่องจากหัวหน้าชุดจุดตรวจ ประเมินแล้วว่า ไม่น่าจะเป็นบุคคลที่เป็นภัยหรือเป็นอันตราย

ส่วนกรณีพบบุหรี่ไฟฟ้าที่ตัวของนักท่องเที่ยวไต้หวันคนนี้ ยอมรับว่า ตำรวจไม่ได้มีการจับปรับ แต่ได้ชี้แจงว่า บุหรี่ไฟฟ้ามีความผิดตามกฎหมายของประเทศไทย

พร้อมยอมรับว่า การจะเชิญตัวนักท่องเที่ยวไต้หวันคนนี้มาให้ข้อมูลคงเป็นไปได้ยาก เพราะขณะนี้ไม่ได้อยู่ในประเทศไทย แต่เบื้องต้นทราบว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอข้อมูลข้อเท็จจริงนี้แล้ว นอกจากนี้ อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานกล้องวงจรปิดในจุดต่างๆ เพื่อมาหักล้าง และยืนยันว่า ตำรวจไม่ได้มีพฤติกรรมเรียกรับผลประโยชน์ตามที่นักท่องเที่ยวคนนี้กล่าวอ้าง

วันต่อมา (27 ม.ค.) พล.ต.ต.อัฏธพร วงศ์ศิริปรีดา ผบก.น.1 ได้เดินทางมา สน.ห้วยขวาง เพื่อติดตามความคืบหน้ากรณีดาราสาวชาวไต้หวันอ้างถูกตำรวจไทยตั้งด่านรีดทรัพย์ 27,000 บาท หลังประชุมร่วมกับ พ.ต.อ.ยิ่งยศ สุวรรณโณ ผกก.สน.ห้วยขวาง พล.ต.ต.อัฏธพร เผยว่า คาดว่าไม่เกิน 1-2 วัน ข้อเท็จจริงจะกระจ่าง โดยขณะนี้ ชุดสืบสวนอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน ได้แก่ กล้องวงจรปิด นำมาเชื่อมโยงกับข้อมูลคำบอกเล่าจากพยาน ซึ่งดำเนินการไปได้กว่าร้อยละ 80 แล้ว

ส่วนพยานแวดล้อม คือ รถสาธารณะ จะมี 2 ส่วน คือ รถแกร็บมาสด้า ที่ขับพาดาราสาวเข้ามาในจุดเกิดเหตุ ซึ่งได้เรียกตัวคนขับมาให้ข้อมูลแล้ว อีกส่วนคือ คนขับแท็กซี่ ที่รับดาราสาวออกจากจุดเกิดเหตุไป ขณะนี้อยู่ระหว่างติดตามเชิญตัวมาให้ข้อมูล เพื่อนำข้อมูลมาเชื่อมโยงกับข้อมูลที่ได้จากตำรวจในจุดเกิดเหตุด้วย

ผู้สื่อข่าวถามว่า ยืนยันหรือไม่ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีการเรียกรับเงิน พล.ต.ต.อัฏธพร กล่าวว่า ยังอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน เมื่อถามต่อว่า คดีนี้จะพลิกหรือไม่ พล.ต.ต.อัฏธพร กล่าวว่า ให้รอความคืบหน้า ตำรวจกำลังเร่งหาพยานหลักฐาน

ทั้งนี้ ช่วงเที่ยงวันเดียวกัน ชายที่ขับรถมาสด้า 2 สีแดง ซึ่งปรากฎในคลิปกล้องวงจรปิดที่รับดาราสาวไต้หวัน ได้เข้าพบ พล.ต.ต.อัฏธพร เพื่อให้ปากคำกรณีดังกล่าว ต่อมา พล.ต.ต.สำเริง สวนทอง รอง ผบช.น. เผยว่า จากการสอบปากคำเบื้องต้นทราบว่า หลังจากคนขับได้รับการเรียกผ่านระบบแอพพลิเคชั่นเอกชน จึงเข้าไปรับหญิงคนดังกล่าวที่บริเวณหน้าสถานบันเทิงแห่งหนึ่ง ในย่านอาร์ซีเอ จากนั้นได้ขับรถมาตามเส้นทาง จนกระทั่งเข้าสู่ถนนรัชดาภิเษก และผ่านมาที่หน้าด่านจุดตรวจจุดสกัดของ สน.ห้วยขวาง ที่หน้าสถานเอกอัครราชทูตจีน ตลอดทางที่หญิงสาวคนดังกล่าวนั่งรถมา ลักษณะมีอาการมึนเมามาก และพูดคุยเสียงดังมาตลอดทาง กระทั่งมาถึงที่ด่าน ตำรวจขอตรวจตามปกติ และพูดจาด้วยถ้อยคำสุภาพ แต่หญิงสาวคนดังกล่าวมีอาการมึนเมา พูดคุยเสียงดัง ตำรวจจึงขอตรวจสอบหนังสือเดินทางและวีซ่า

ด้านนายวิเชษฐ์ อายุ 40 ปี ผู้ขับขี่แกร็บ เผยหลังให้ปากคำกับตำรวจว่า ตนได้รับผู้โดยสารมาจากสถานบันเทิงย่านอาร์ซีเอ มีชาย 3 หญิง 1 เพื่อไปส่งที่พัก หลังทั้งหมดขึ้นรถมาแล้ว ตนสังเกตเห็นหญิงสาว หรือดาราไต้หวัน ตามที่เป็นข่าวมีลักษณะมึนเมา พูดจาโวยวายภายในรถ กระทั่งตนขับรถมาถึงด่านตรวจ ตำรวจได้เชิญทั้ง 4 รายลงจากรถ ก็มีการพูดคุยเสียงดังกับตำรวจ โดยตนขอยืนยัน ตำรวจไม่ได้รีดเงินดาราไต้หวัน เพียงแค่ขอตรวจกระเป๋า โดยให้กลุ่มคนเหล่านั้นเปิดกระเป๋า แล้วตำรวจใช้ไฟส่องดู มีเพียงดาราไต้หวันที่โวยวาย

เบื้องต้น ตำรวจได้นำกล้องวงจรปิดหน้ารถแกร็บไปตรวจสอบว่า สามารถบันทึกภาพเหตุการณ์อะไรได้บ้าง เพื่อนำไปประกอบสำสวนคดีต่อไป

ด้าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. กล่าวถึงกรณีนักท่องเที่ยวสาวชาวไต้หวันโพสต์โซเชียล หลังมาเที่ยวประเทศไทย และอ้างว่าถูกตำรวจรีดไถเงินขณะตั้งด่านตรวจที่หน้าสถานทูตจีน เป็นเงิน 27,000 บาทว่า ได้สั่งการ พ.ต.อ.ศิรณวิชญ์ อินทร ผกก.สส.บก.น.1 และ พ.ต.อ.ยิ่งยศ สุวรรณโณ ผกก.สน.ห้วยขวาง ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว ต้องทำความจริงให้ปรากฎ หากพบว่า ตำรวจมีการเรียกรับเงินจริง ก็ต้องโทษคดีอาญา รับความผิด แต่หากตรวจสอบแล้ว ไม่เป็นความจริง ผู้แจ้งก็จะถูกตั้งข้อหาแจ้งความเท็จ เพราะสร้างความเสื่อมเสียให้กับประเทศเป็นอย่างมาก และถึงแม้ตัวจะอยู่ที่ต่างประเทศ ตำรวจก็สามารถขอหมายจับ พร้อมประสานความร่วมมือกับสถานทูต หรือสถานกงศุล ในการพาตัวมาดำเนินคดีได้ในภายหลัง

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวด้วยว่า ต้องตรวจสอบด้วยว่า เหตุใดจึงมีการปล่อยนักท่องเที่ยวไป เช่น กรณีไม่มีวีซ่า รวมถึงการมีบุหรี่ไฟฟ้าไว้ในครอบครอง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องผิดกฎหมายในประเทศ หากมีการปล่อยไปจริง ก็ต้องถูกลงโทษเช่นกัน รวมถึงหากอ้างว่า ด่านใกล้เลิก จึงผ่อนผันไม่มีการจับกุม ก็ไม่สามารถอ้างได้ เพราะตำรวจ 1 คน หากพบการกระทำผิด ต้องปฏิบัติหน้าที่ จะละเว้นการปฏิบัติไม่ได้ ในฐานะผู้บังคับบัญชา การกล่าวอ้างแบบนี้ ฟังไม่ขึ้น

3. ศาลพิพากษาจำคุกคนขับรถบัสคณะพยาบาลฯ มข. ชน นศ.แพทย์ดับ 2 ปี ไม่รอลงอาญา ด้านแม่ นศ.ฟ้องแพ่งเรียก 50 ล้านทั้งคนขับรถ-อธิการบดี!



เมื่อวันที่ 24 ม.ค. ศาลจังหวัดขอนแก่นได้นัดอ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการจังหวัดขอนแก่น เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสุรศักดิ์ สีเป็น จำเลย ฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย กรณีขับรถบัสโดยสาร คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ชนรถจักรยานยนต์ บริเวณสามแยกคณะเภสัชศาสตร์ ส่งผลให้นางสาวอรุณนภา วัฒนพานิช หรือน้องอาย นักศึกษาชั้นปีที่ 2 คณะแพทยศาสตร์ เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2565

โดยศาลพิพากษาจำคุก 4 ปี แต่จำเลยรับสารภาพ ให้การเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี เห็นควรลดโทษกึ่งหนึ่ง คงเหลือจำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา พร้อมให้เหตุผลว่า มหาวิทยาลัยควรเป็นพื้นที่ปลอดภัย ไม่ใช่ถนนสาธารณะทั่วไป

ทั้งนี้ ศาลสั่งให้สืบเสาะและพินิจ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 เพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประวัติภูมิหลังทางสังคมของจำเลย สภาพความผิดและเหตุอื่น อันควรปราณีก่อนศาลมีคำพิพากษาด้วย

หลังศาลอ่านคำพิพากษา นางนิตยา รุ่งสถิต มารดาของน้องอาย เผยว่า รู้สึกพอใจในคำพิพากษา โดยศาลเลือกที่จะใช้ดุลพินิจไม่ให้รอลงอาญา เพราะเห็นใจผู้สูญเสีย และมองว่า มหาวิทยาลัยขอนแก่นควรให้ความช่วยเหลือมากกว่านี้ และว่า วันนี้ตนจะยื่นฟ้องแพ่งเรียกค่าสินไหม 50 ล้านบาทจากคนขับรถทัวร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และอธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น

ส่วนยอดสินไหม 66 ล้านเดิมที่เคยเรียกร้อง คิดตั้งแต่อายุจะครบ 23 ปี ในวันจบการศึกษา เริ่มต้นการเป็นแพทย์ จนถึงวันเกษียณอายุราชการ โดยคิดรายได้ของแพทย์ ในอัตราวันละ 5,000 บาท ซึ่งมหาวิทยาลัยขอนแก่นไม่สามารถจ่ายให้ได้ จึงให้ญาติน้องอายใช้สิทธิ์ยื่นฟ้องศาล

ด้าน รศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข) กล่าวว่า ส่วนตัวรู้สึกเสียใจกับเหตการณ์ที่เกิดขึ้น และพร้อมยอมรับคำตัดสินของศาล หลังจากนี้ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยคณะพยาบาลศาสตร์ ต้นสังกัดของนายสุรศักดิ์ คนขับรถพร้อมปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลทุกประการ

อนึ่ง เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2565 เวลาประมาณ 08.00 น. รถบัสโดยสารของคณะพยาบาลศาสตร์ มข. ที่มีนายสุรศักดิ์เป็นคนขับ ได้เฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ที่น้องอายกับเพื่อนกำลังจอดอยู่บริเวณสามแยกหน้าคณะเภสัชศาสตร์ เป็นเหตุให้น้องอายเสียชีวิตและเพื่อนที่ซ้อนท้ายมาด้วยได้รับบาดเจ็บ

4. เจ้าของเงิน 53 ล้านโอนให้ “นอท กองสลากพลัส” มอบตัวดีเอสไอแล้ว โดน 2 ข้อหา ด้านนอทส่งทนายแจง 39 เส้นทางเงิน ยันเป็นเงินถูก ก.ม.!



เมื่อวันที่ 26 ม.ค. นายศุภชัย ทิพย์สิทธิ์ ทนายความของนายพันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ หรือ “นอท กองสลากพลัส” ได้เดินทางเข้าพบนายพงษธร อินอำนวย ผอ.ศูนย์คดียาเสพติด กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) หลังดีเอสไอพบเส้นทางการเงิน 39 รายการ จำนวนเงินรวมกว่า 1,090 ล้านบาท ของนายพันธ์ธวัชเชื่อมโยงกับธุรกิจสีเทา จึงให้ชี้แจงเส้นทางเงินดังกล่าว

ด้าน น.ส.พิทยาภรณ์ ชูรัตน์ รองโฆษดีเอสไอ เผยว่า นายพันธ์ธวัชได้ส่งทนายความมาชี้แจงแทน และมอบหลักฐานข้อมูลเส้นทางการเงินดังกล่าวให้กับดีเอสไอ เพื่อตรวจสอบบุคคลที่เกี่ยวข้องที่โอนเงินเข้าบัญชีของนายพันธ์ธวัช ตามเส้นทางการเงิน 39 รายการ ทั้งนี้ หากตรวจสอบแล้วพบข้อสงสัยก็อาจจะเรียกมาชี้แจงเพิ่มเติม โดยต้องรอทางทนายความของนายพันธ์ธวัชให้การก่อน

ส่วนคดีพิเศษที่เกี่ยวข้องจำนวนเงิน 53 ล้านบาท ที่นายพันธ์ธวัชรับโอนมาจากผู้กระทำความผิดคดีฟอกเงินพนันออนไลน์นั้น น.ส.พิทยาภรณ์ เผยว่า ดีเอสไอได้เรียกนายพันธ์ธวัชมาชี้แจงครบถ้วนทั้งหมดแล้ว และอยู่ระหว่างการพิจารณาข้อมูลหลักฐานว่าสอดคล้องกับหลักฐานที่ธนาคารส่งมาให้หรือไม่ โดยคดีนี้ได้ออกหมายเรียกพยาน 7 ราย มาให้ข้อมูลถึงเส้นทางการเงิน ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจร้านอาหาร และมาให้ข้อมูลแล้ว 5 ราย ส่วนอีก 2 ราย ไม่มาให้การ จึงขออนุมัติศาลออกหมายจับ ขณะนี้ยังหลบหนีอยู่

น.ส.พิทยาภรณ์ กล่าวด้วยว่า “กรณีนายพันธ์ธวัชเดินทางไปต่างประเทศเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้จะอยู่ระหว่างการสอบสวน แต่ยังอยู่ในฐานะพยานและไม่ใช่ผู้ต้องหา ดีเอสไอไม่สามารถไปจำกัดการเดินทาง หรือสิทธิเสรีภาพได้”

น.ส.พิทยาภรณ์ กล่าวอีกว่า แม้ที่ผ่านมา นายพันธ์ธวัชจะปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาและออกมายืนยันทุกช่องทางว่าไม่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน แต่หากมีหลักฐานเส้นทางการเงินชัดเจนก็สามารถดำเนินคดีได้ ส่วนการถ่ายภาพร่วมของนายพันธ์ธวัชกับบุคคลอื่นในเครือข่ายพนันออนไลน์นั้น น.ส.พิทยาภรณ์ กล่าวว่า ไม่ผิดกฎหมาย แต่ถ้ามีหลักฐานเชื่อมโยงก็จะเรียกมาสอบปากคำเช่นกัน

ต่อมา นายศุภชัย ทนายความของนายพันธ์ธวัช เผยหลังพบดีเอสไอว่า ได้ยื่นเอกสารหลักฐานที่ได้รับมอบหมายจากนายพันธ์ธวัช ให้มาชี้แจงเส้นทางการเงิน 39 รายการ เป็นเงินเข้าออกบัญชีของนายพันธ์ธวัชเอง แต่เป็นเงินก้อนใหญ่ จึงต้องเข้าชี้แจง หลังจากนี้ คงต้องรอดูทางดีเอสไอก่อนว่าจะมีการเรียกสอบถามเพิ่มเติมหรือไม่ หากเรียก นายพันธ์ธวัชและตนก็ยินดีให้ความร่วมมือ “ยืนยันว่า เส้นทางการเงิน 39 รายการนั้น สามารถชี้แจงได้หมด และเป็นเงินที่มาจากธุรกิจที่ทำโดยชอบด้วยกฎหมายแน่นอน”

มีรายงานว่า ก่อนหน้านี้ นายพันธ์ธวัช หรือ “นอท กองสลากพลัส” เคยอ้างว่า เดินทางไปขึ้นรางวัลที่ 1 ด้วยตัวเองทุกครั้ง แต่ปรากฏว่า มี 2 รอบให้ “นาย อ.” ผู้ต้องหาคดี 288/2565 ขึ้นรางวัลที่ 1 แทน และจ่ายแคชเชียร์เช็ค 2 ฉบับ คือ 42 ล้านบาท และ 11 ล้านบาท รวม 53 ล้านบาท โอนให้นายพันธ์ธวัช จึงเป็นข้อมูลขัดแย้งกันว่า เหตุใดให้บุคคลอื่นขึ้นเงินแทน

มีรายงานด้วยว่า “นาย อ.” ได้ประสานขอเข้ามอบตัวแล้ว ดีเอสไอจึงเรียกเจ้าตัวมาสอบปากคำ เพราะเส้นทางการเงินเชื่อมโยงชัดเจน และอยู่ระหว่างพิจารณาว่า นายพันธ์ธวัชมีส่วนกระทำความผิดด้วยหรือไม่ โดยสำนวนคดี 288/2565 จะเร่งรัดให้เสร็จ ส่งอัยการสั่งฟ้องภายในเดือน ก.พ. นี้



ทั้งนี้ ช่วงบ่ายวันเดียวกัน (26 ม.ค.) “นาย อ.” ได้เดินทางเข้าพบนายพงษธร อินอำนวย ผอ.ศูนย์คดียาเสพติด เพื่อชี้แจงกรณีจ่ายแคชเชียร์เช็ค 2 ฉบับ รวม 53 ล้านบาท โอนให้นายพันธ์ธวัช หรือ “นอท กองสลากพลัส” ตามหมายเรียกครั้งที่ 2

หลังจาก “นาย อ.” เข้ามอบตัวกับดีเอสไอแล้ว ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามว่า นายอรรถการหรือไม่ ซึ่งบุคคลดังกล่าวได้ปฏิเสธว่า “ไม่ใช่ครับ” เมื่อถามต่อว่า มาในกรณีใด เนื่องจากเห็นว่าได้เข้าไปในห้องศูนย์คดียาเสพติด จากนั้นบุคคลใกล้ชิดกล่าวแทนว่า “มาเป็นพยานเฉยๆ เขาเรียกมาสอบถาม” นอกจากนี้ “นาย อ.” ยังระบุด้วยว่า ตนไม่รู้จักกับนายนอทแต่อย่างใด

มีรายงานว่า “นาย อ.” ได้เข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ และถูกแจ้งข้อหา 1. ร่วมกันฟอกเงิน และ 2. ร่วมกันจัดให้มีการเล่นพนันออนไลน์ ซึ่งจากการสอบปากคำ ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ และขอยื่นพยานหลักฐานเพิ่มเติมภายหลัง นอกจากนี้ ได้ขอประกันตัวชั่วคราวในชั้นพนักงานสอบสวน วงเงิน 5 แสนบาท โดยมีการกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศ

5. “บิ๊กโจ๊ก” เผยผลสอบอดีตอธิบดีดีเอสไอ ให้การย้อนแย้งชุดจับกุม ปมค้นบ้านพักอดีตกงสุลใหญ่นาอูรู ชี้ความจริงมีหนึ่งเดียว-จะไม่มีใครยอมตายคนเดียว!



เมื่อวันที่ 27 ม.ค. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เผยถึงกรณีนายไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เข้าให้ข้อมูลกรณีเจ้าหน้าที่ดีเอสไอร่วมกับตำรวจ 191 ตบทรัพย์แก๊งนายทุนจีนสีเทาทำพาสปอร์ตปลอมในบ้านอดีตกงสุลใหญ่นาอูรู ย่านสาทร 9.5 ล้าน โดยเหตุเกิดเมื่อวันที่ 22 ธ.ค. 65 ว่า นายไตรยฤทธิ์ ยอมรับเป็นผู้แต่งตั้งชุดเฉพาะกิจในการปฏิบัติหน้าที่ด้านการข่าว และให้ไปปฏิบัติงานโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่ไม่ได้สั่งการให้ไปกระทำความผิด หลังจากปฏิบัติการตรวจค้นเสร็จแล้ว ไม่ได้รายงานกลับมาให้ทราบถึงผลการตรวจค้น

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า คำให้การของอดีตอธิบดีดีเอสไอยังไม่สอดคล้องกับชุดจับกุมที่สอบสวนไปแล้ว และให้การว่า ได้รายงานนายไตรยฤทธิ์ทั้งหมดแล้ว หลังจากนี้พนักงานสอบสวนจะไล่ความเชื่อมโยงของคำให้การ และเปรียบเทียบกับพยานหลักฐาน โดยเชื่อว่าความจริงมีหนึ่งเดียว และจะต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นคนไม่พูดความจริง

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เผยด้วยว่า จะเรียกนายเสกสิทธิ์ ซึ่งอยู่หน้าห้องทำงานของนายไตรยฤทธิ์ มาสอบปากคำเพิ่มเติม เพื่อเทียบเคียง และไล่เวลาตามพยานหลักฐานที่ตรวจพบ ซึ่งยังมีบางประเด็นที่ให้การไม่ตรงกับนายไตรยฤทธิ์ ส่วนนายไตรยฤทธิ์ให้การครบถ้วนแล้ว ยังไม่ออกหมายเรียกให้มาพบเพิ่มเติม ส่วนจะเข้าข่ายว่าเป็นคนสั่งการให้ไปปฏิบัติงานหรือไม่นั้น ขอเวลาตรวจสอบพยานหลักฐานก่อน

สำหรับเงิน 9.5 ล้านบาทที่ถูกรีดทรัพย์ไปนั้น เชื่อว่าแบ่งกันทั้งหมดแล้ว และหาไม่พบ และอดีตอธิบดี ดีเอสไอก็ไม่รู้ว่ามีการรีดทรัพย์เงินในจำนวนดังกล่าว รวมทั้งการเข้าไปตรวจค้นในคอนโดมิเนียมย่านห้วยขวางของเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ 3 คน ขณะนี้พนักงานสอบสวน สน.ห้วยขวาง เตรียมขอศาลออกหมายจับข้อหาบุกรุกเคหสถานและลักทรัพย์ เนื่องจากพบภาพจากวงจรปิดว่า นำพระเครื่องออกจากห้องไป ซึ่งห้องนี้เป็นของครอบครัวอดีตกงสุลนาอูรูที่ในวันเกิดเหตุไม่อยู่ในห้อง

สำหรับจุดเริ่มต้นในการเข้าตรวจค้นบ้านพักอดีตกงสุลนาอูรู เริ่มจากเจ้าหน้าที่สถานกงสุลทำหนังสือแจ้งมาที่อธิบดีดีเอสไอให้จัดชุดไปตรวจสอบ ซึ่งจะต้องเรียกหญิงคนนี้มาให้ข้อมูลถึงสาเหตุการให้ไปตรวจสอบ รวมทั้งการเข้าตรวจค้นที่คอนโดมิเนียม

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เชื่อด้วยว่า หลังจากการสอบสวนทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องแล้ว จะสามารถพิสูจน์ความจริงได้ว่า ใครเป็นผู้สั่งการ และสุดท้ายจะไม่มีใครยอมตายคนเดียว