ย้อนเวลากลับไปเมื่อกว่า 135 ปีที่ผ่านมา รถเยอรมันยี่ห้อ Mercedes-Benz ได้เข้าร่วมทำการแข่งขันรถยนต์ในยุคแรกเริ่มของวงการมอเตอร์สปอร์ต รางวัลจากชัยชนะ และการสร้างสถิติต่างๆ เกิดขึ้นตามมามากมาย บนเส้นทางแห่งประวัติศาสตร์ที่ยาวนานกว่า 100 ปีของการแข่งขันในโลกแห่งความเร็ว ภายใต้สัญลักษณ์ดาวสามแฉก หนึ่งเดียวของเป้าหมายแห่งชัยชนะทั้งหมด คือ เกียรติยศและศักดิ์ศรีที่ยืนยงควบคู่ไปกับการผลิตรถยนต์ของค่ายตราดาว ร่วมย้อนอดีตจักรกลมอเตอร์สปอร์ตของ Mercedes-Benz ที่เดินทางผ่านกาลเวลา บนเส้นทางของการแข่งขันที่กลายเป็นบันทึกแห่งประวัติศาสตร์
1894 Mercedes-Benz Lizenz Daimler
ร้อยกว่าปีก่อน รถยนต์เริ่มเข้ามาแทนที่รถม้าในยุคแรกเริ่มของวงการอุตสาหกรรมยานยนต์ มีรถจำนวน 20 คัน จากที่ลงทะเบียนไว้ทั้งหมด 102 คัน เข้าร่วมทำการแข่งขันความเร็วเป็นครั้งแรก การแข่งรถทางไกลในเมือง Paris ไปยังเมือง Pouen ระยะทาง 126 กิโลเมตร ท่ามกลางเส้นทางที่ย่ำแย่เมื่อกว่า 100 ปีก่อนของฝรั่งเศสซึ่งเป็นทางสำหรับรถม้า รถยนต์คันแรกที่คว้าชัยชนะในครั้งนั้น มีจำนวน 2 คัน ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซินของ Lizenz Daimler นับเป็นครั้งแรกของบริษัทผลิตรถยนต์จากเยอรมนี ที่รถยนต์ของบริษัทสามารถเข้าเส้นชัยในอันดับที่ 1-2 ด้วยเครื่องยนต์เบนซินที่มีประสิทธิภาพ
1909 Mercedes-Benz blitzen
เครื่องยนต์เบนซิน ปริมาตรความจุ 21.5 ลิตร ถูกวางลงไปในตัวรถแข่งรุ่น blitzen ของ Mercedes-Benz เจ้ารถแข่งทรงไส้กรอกคันนี้มีประสิทธิภาพที่น่าประทับใจในการทำความเร็วทางตรง รถแข่ง Mercedes-Benz blitzen ทำความเร็วทางตรงสูงถึง 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในวันที่ 8 พฤจิกายน ปี ค.ศ. 1909 นับเป็นสถิติใหม่ของรถแข่งคันแรกสุดจากแบรนด์ตราดาว ที่สามารถทำความเร็วทะลุ 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในสนามแข่งเป็นครั้งแรกของโลก
1922 Mercedes-Benz 6/40/65 PS Racing Car
Damler Motoren Gesellschaft สร้างปรากฏการณ์ใหม่ในวงการมอเตอร์สปอร์ตของยุโรป ด้วยการเปิดตัวรถแข่งรุ่นใหม่ล่าสุด Benz 6/40/65 PS Racing Car รถแข่งคันแรกของโลกที่ใช้ระบบอัดอากาศแบบ Supercharger ต่อมา รถแข่ง Mercedes-Benz 6/40/65 PS คว้าชนะเหนือรถคู่ต่อสู้ในรายการต่างๆ อย่างนับไม่ถ้วน!
1923 Mercedes-Benz RH 2-1
รูปทรงแบบซิการ์ของ Benz RH 2-1 ถูกพัฒนาขึ้นมาแบบเฉพาะทาง นับเป็นจุดเริ่มต้นของระบบอากาศพลศาสตร์หรือแอโรไดนามิก เพื่อลดแรงต้านทานของกระแสอากาศ Benz RH 2-1 จำนวนถึง 3 คัน ถูกส่งลงทำการแข่งขันในสนามแข่งของประเทศอิตาลี ในรายการอิตาเลียนกรังด์ปรีซ์ ซึ่งแข่งกันในสนาม Monza เมื่อเดือนกันยายน ปี ค.ศ. 1923
1934 Mercedes-Benz W25
W25 คือต้นกำเนิดและบรรพบุรุษของหนึ่งในตำนานธนูเงินหรือ Silver Arrows รถแข่งที่มีประสิทธิภาพสูงและเอาชนะได้ยากมากที่สุดคันหนึ่งในประวัติศาสตร์การแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ ช่วงปี ค.ศ. 1934-1936 ในวันที่ 3 กรกฎาคม ปี ค.ศ. 1934 นักขับรถแข่ง Manfred Von Brauchitsch เข้าร่วมทำการแข่งขันในรายการ Efel Race ด้วยรถแข่ง Mercedes-Benz W25 ที่วางเครื่องยนต์ 8 กระบอกสูบ และ W25 ก็วิ่งเข้าเส้นชัยเป็นคันแรก ถือเป็นการเปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ ด้วยทีมแข่งและรถแข่ง รวมถึงนักขับที่เป็นเยอรมันล้วนๆ
1938 Mercedes-Benz W125
ความทะยานอยากที่จะเป็นเลิศด้านวิศวกรรมจักรกลของ Adolf Hitler (อดอล์ฟ ฮิตเลอร์) ผู้นำเยอรมนีก่อกำเนิดเครื่องจักรกลที่มีประสิทธิภาพ ในปี ค.ศ. 1938 Mercedes-Benz ต้องการที่จะสร้างสถิติด้านความเร็ว เพื่อแสดงออกถึงความเหนือชั้นในด้านเทคโนโลยี W125 รถยนต์ต้นแบบสำหรับวิจัยและพัฒนาระบบอากาศพลศาสตร์ของรถยนต์ กลายเป็นจักรกลแห่งการทำสถิติคันใหม่ของอาณาจักรไรซ์ที่ 3 Mercedes-Benz W125 มีรูปทรงที่ถูกขัดเกลาให้ตรงกับกฎเกณฑ์ตามหลักอากาศพลศาสตร์ เป็นรถต้นแบบสำหรับการวิจัยและพัฒนาด้านความเร็ว เพื่อทำสถิติการวิ่งด้วยความเร็วสุงสุด บนถนนออโต้บาห์น ระหว่างเมือง Frankfurt ไปยังเมือง Darmstadt รถ Mercedes-Benz W125 สามารถทะยานทำความเร็วทางตรงในระดับ 432.7 กิโลเมตรต่อชั่วโมง!! สถิติความเร็วดังกล่าวของรถ Mercedes-Benz W125 ที่ยังคงอยู่ยั่งยืนยงมาจนถึงทุกวันนี้ โดยที่ยังไม่มีรถยนต์คันใดบนถนนออโต้บาห์นสามารถวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดได้เร็วเท่ากับมัน
1952 Mercedes-Benz 300 SL
ที่ระดับความเร็วกว่า 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รถแข่ง Mercedes-Benz 300 SL ชนปะทะเข้ากับนกแร้งอย่างจังในระหว่างการแข่งขัน Carrera Panamericana ซึ่งต่อมา ภาพความเสียหายของกระจกบังลมด้านหน้ารถถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก ขณะที่นักขับทั้งสองคนคือ Kari Kling และ Hans Klenk ต้องซิ่งผ่านภูมิประเทศที่ทุรกันดารยาวไกลถึง 3,130 กิโลเมตร ตัดผ่านใจกลางประเทศเม็กซิโก ด้วยความเร็วเฉลี่ย 165 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นาน 19 ชั่วโมง ในการแข่งขันเอนดูแรนซ์ระยะไกล ก่อนคว้าชัยชนะได้สำเร็จด้วยสภาพที่ยับเยินของรถ 300 SL
1955 Mercedes-Benz 300 SLR
ตำนานแห่งความทรหดอดทนของรถและนักขับเริ่มต้นขึ้นใน Mercedes-Benz 300 SLR รถแข่งหุ่นเพรียวลมแบบ Roadster ซึ่งเชื่อมโยงกลไกของการบังคับเข้ากับฝีมือการซิ่งอันสุดยอดของ Slr. Stirling Moss พาตัวรถโลดแล่นฝ่าอุปสรรคนานัปการจนเข้าเส้นชัยในอันดับที่ 1 ของการแข่งขันรถยนต์ทางไกลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งทวีปยุโรป นั่นก็คือรายการ Mille Miglia ที่ Brescia ในประเทศอิตาลี ด้วยเวลา 10 ชั่วโมง 7 นาที 48 วินาที บนระยะทางกว่า 1,000 กิโลเมตร ความเร็วเฉลี่ย 178.96 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็นสถิติใหม่ที่ยากต่อการลบล้าง หลังจากนั้น การแข่งรถสุดอันตรายในรายการนี้ก็ถูกยกเลิกไป เนื่องจากมีคนดูจำนวนหนึ่งเสียชีวิตด้วยสาเหตุรถแข่งแหกโค้งแล้วพุ่งเข้าใส่จนทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตหลายคน
1960 Mercedes-Benz 220 SE
รายการ Monte Carlo Rally ของปี ค.ศ. 1960 อุดมไปด้วยรถแข่งทางไกลสมรรถนะสูงจากหลากหลายบริษัทที่ส่งรถร่วมลงทำการแข่งขัน ในปีนั้น นักขับทั้งสองของทีมแข่ง Mercedes-Benz อย่าง Water Schock และ Rolf Moll กลายเป็นชาวเยอรมันคนแรกที่คว้าชัยชนะในตำแหน่งโอเวอร์ออล ด้วยรถแข่งซาลูนคันงาม Mercedes-Benz 200 SE
1961 Miss. Ewy Rosqvist
Mercedes-Benz สั่นสะเทือนวงการมอเตอร์สปอร์ตอีกครั้ง ด้วยการส่งนักขับหญิงสุดยอดฝีมือชาวสวีเดนชื่อ Ewy Rosqvist ลงทำการแข่งขันแรลลี่ทางไกลในปี ค.ศ. 1959-1961 ในรายการ European Championships ฝีไม้ลายมือในการควบคุมรถที่เป็นเลิศ ทำให้เธอกวาดถ้วยรางวัลจากการคว้าชัยชนะนับครั้งไม่ถ้วน ชัยชนะในสนามแข่งการันตีถึงความสามารถของ Ewy Rosqvist กับรถแข่ง Mercedes-Benz 200 SE Fintal ได้เป็นอย่างดี
1971 Mercedes Benz SEL 6.3 AMG
เพียงชั่วเวลาข้ามคืน การคว้าชัยของทีมแข่งส่งผลให้แผนกมอเตอร์สปอร์ตที่ใช้ชื่อว่า AMG ของ Mercedes-Benz แผนกที่มีความเชี่ยวชาญในการปรับแต่งเครื่องยนต์ ระบบส่งกำลังและช่วงล่างรวมถึงระบบเบรกเพื่อส่งลงทำการแข่งขัน กลายเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง รถแข่ง Benz SEL 6.3 AMG เข้าเส้นชัยในอันดับที่ 2 ของการแข่งขันรถยนต์แบบมาราธอน หรือเอนดูแรนซ์ 24 ชั่วโมงที่เบลเยียม ต่อมาในปี ค.ศ. 1999 แผนกมอเตอร์สปอร์ต AMG กลายเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับค่ายตราดาวอย่างเต็มตัว
1983 Mercedes-Benz G-Class 280 GE
นับเป็นการท้าทายประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์และทีมงาน เมื่อบริษัทรถยนต์ต้องส่งรถลงการลงทำการแข่งขัน Paris-Dakar เส้นทางที่หฤโหดที่พร้อมทำลายชีวิตของนักขับได้ทุกเวลา บริษัท Mercedes-Benz ส่งรถลุยรุ่น 280 GE ซึ่งมีการปรับแต่งเป็นพิเศษ เข้าร่วมทำการแข่งขันในรายการ Paris-Dakar ประจำปี ค.ศ. 1983 และสามารถวิ่งเข้าเส้นชัยในอันดับที่ 1 จากฝีมือการควบคุมรถของ Jacky Lckx นักขับชาวเบลเยียมกับคู่หู่นำทาง Claude Brasseur ชาวฝรั่งเศส ในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ เครื่องยนต์ 3.0 ลิตร
1985 Mercedes-Benz Group C Racing Car
หลังจากห่างหายไปจากการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบรุ่น Group C เป็นเวลาถึง 30 ปี ค่ายตราดาวก็หวนคืนสู่กลิ่นยางไหม้และกลิ่นน้ำมันเชื้อเพลิงอันน่าหลงใหลอีกครั้งในปี ค.ศ. 1985 ด้วยตัวรถรุ่น C8 วางเครื่องยนต์แบบ V8 440 แรงม้าที่ถูกพัฒนาโดยฝีมือของ Mr. Peter Sauber
1988 Mercedes-Benz 190 E 2.5-16 Evolution I-II
ค่ายตราดาวส่งรถบ้านที่ตกแต่งโดยสำนักงานมอเตอร์สปอร์ต AMG ในรุ่น 190 E 2.5-16 Evolution I และ II ลงทำการแข่งขันในรายการ DTM รายการแข่งรถที่ใช้รถแข่งซึ่งผลิตขึ้นในเยอรมนีทั้งหมด และคว้าตำแหน่งชนะเลิศประเภทผู้ผลิตมาครองในปี ค.ศ. 1991 จากสมรรถนะของเครื่องยนต์แถวเรียง 6 สูบติดระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบ
1989 Mercedes-Benz C9
การหวนกลับคืนสู่สังเวียนแข่งขันของทีม Silver Arrows ด้วยรถแข่ง Prototype C9 Model มันมีเครื่องยนต์อันทรงประสิทธิภาพขนาด V8 5.0 ลิตร อัดอากาศด้วยเทอร์โบคู่ เพื่อส่งลงทำการแข่งขันในรายการ Le Mans 24 h. ทีมแข่งตราดาวก็ไม่ทำให้แฟนๆ มอเตอร์สปอร์ตของ Mercedes-Benz ต้องผิดหวัง ด้วยการวิ่งเข้าเส้นชัยในอันดับที่ 1 จากการแข่งขันระยะไกล 24 ชั่วโมง บนระยะทางกว่า 3,000 กิโลเมตร คว้าแชมป์โลกประเภททีมผู้ผลิตในรุ่น Group C ไปครองด้วยความภาคภูมิ
1992 Mercedes-Benz AMG DTM
AMG แผนกมอเตอร์สปอร์ตของ Benz ครองความยิ่งใหญ่ในการแข่งขัน DTM ด้วยการคว้าชัยชนะถึง 16 ครั้งจากทั้งหมด 24 ครั้ง ในรายการแข่งความเร็วสูงที่สนาม Hockenhemring ซึ่งทำให้ Ellen Lohr กลายเป็นผู้หญิงคนแรกที่ชนะเลิศในการแข่งขัน DTM
1994 Mercedes-Benz F1 Sauber C12
รถแข่ง Formula 1-Mercedes Benz Sauber C12 เผยให้เห็นถึงเทคโนโลยีการทำความเร็วในสนามแข่งขันรถยนต์ความเร็วสูงที่ก้าวล้ำ เป็นหนึ่งในการพัฒนารถแข่งที่เกิดขึ้นในสนามแข่งขันล้วนๆ ประสบการณ์ และชัยชนะอันมีค่า ถูกถ่ายทอดลงไปบนตัวรถ Sauber C12 ซึ่งสามารถทำความเร็วทางตรงในสนามได้ถึง 354.5 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
1997 Mercedes-Benz CLK-GTR
สุดยดนักซิ่งชาวเยอรมัน Bernd Schneider ควบรถ Mercedes Benz CLK-GTR เข้าเส้นชัยคว้าตำแหน่งชนะเลิศในรายการ FIA GT Championships ในประเภทรถยนต์โปรดักชั่นคาร์ เครื่องยนต์วางกลางลำแบบ V12 ปริมาตรความจุกระบอกสูบ 6.0 ลิตร 450 แรงม้า เป็นการร่วมกันพัฒนาระหว่าง AMG และ Mercedes-Benz ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงสุด
1998 McLaren-Mercedes MP4/13
McLaren-Mercedes MP4/13 เป็นรถแข่ง Formula 1 ที่ทีม McLaren-Mercedes ใช้ในการล่าคะแนนสะสมของการแข่งรถ F1 ประจำปี ค.ศ. 1995-1998 หลังจากนั้นก็ขึ้นถึงจุดสูงสุด ด้วยการคว้าชัยชนะ ในอันดับที่ 1 หลายสนาม ซึ่งหมายถึงตำแหน่งแชมป์โลกของ Mika Hakkinen สุดยอดนักซิ่งตลอดกาลชาวฟินแลนด์
2008 McLaren-Mercedes MP4/23
Lewis Hamilton ควบรถแข่ง F1 McLaren-Mercedes MP4/23 ฉลองชัยชนะในการแข่งขันรายการสุดท้ายของฤดูกาลประจำปี ค.ศ. 2008 พร้อมกับตำแหน่งแชมป์โลกนักขับที่มีอายุน้อยที่สุด สำหรับทีมแข่ง Vodafone McLaren-Mercedes Hamilton ถือเป็นนักขับคนที่ 3 ที่คว้าตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้ไปครอง จากฝีมือและตัวรถอันยอดเยี่ยมบนสนาม Formula 1
2009 Brawn-Mercedes FO180W
Jenson Button นักขับชาวอังกฤษควบ Brawn-Mercedes FO180W เข้าเส้นชัยเป็นอันดับที่ 1 ของฤดูกาลแข่งขันรถ Formula 1 ประจำปี ค.ศ. 2009 รถแข่ง F1 ของทีม Brawn Mercedes คันนี้ วางเครื่องยนต์แบบ V8 รุ่น FO180W 700 แรงม้า ตัวรถได้รับการปรับตั้งช่วงล่างและระบบแอโรไดนามิกให้รองรับกับทุกสภาพสนามของการแข่งขัน Formula 1 ประจำปี ค.ศ. 2009 ทำให้ Button ขับได้ดีอย่างเหลือเชื่อ และทิ้งห่างคู่ต่อสู้แบบไม่เห็นฝุ่นตลอดการแข่งขัน
2010 Mercedes-Benz C-Class Race Car
ปี ค.ศ. 2010 กับการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบในเยอรมนีหรือ German Touring Car Masters คือชื่อใหม่ของการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบที่โด่งดังของทวีปยุโรป หลังจากที่ใช้ชื่อการแข่งขันว่า German Touring Car Championships หรือ DTM มานานกว่า 10 ปี รถแข่งภายใต้สัญลักษณ์ดาวสามแฉกที่ขับโดยนักแข่งจากทีมแข่งของ Mercedes-Benz สามารถกำชัยชนะได้มากถึง 6 ฤดูกาล สำหรับแชมป์ 4 สมัยซ้อนอย่าง Bernd Schneider ได้หวนกลับมาคว้าตำแหน่งชนะเลิศในรายการนี้อีกครั้ง ส่วนผู้ชนะในปี ค.ศ. 2009 ได้แก่ Paul di Resta
2011 Mercedes-Benz SLS AMG Gullwing Safety Car
Bernd Maylander อดีตผู้ชนะการแข่งขันในรายการเอนดูแรนซ์ที่สนามนรกเขียว Nurburrging 24 h. ซึ่งแม้จะไม่ได้ลงร่วมทำการแข่งขันรถ Formula 1 เพื่อสะสมคะแนนชิงแชมป์โลก แต่เขากลับเป็นผู้นำหน้ารถแข่ง F1 ทั้ง 26 คัน ในการวิ่งนำขบวนด้วยตัวรถ F1 Safety Car ซึ่งเป็นรถซุปเปอร์คาร์ของ Mercedes Benz รุ่น SLS AMG Gullwing Safety Car เครื่องยนต์ V8 420 กิโลวัตต์ 570 แรงม้า วางด้านหน้าขับเคลื่อนล้อหลัง แรงบิด 650 นิวตันเมตร เร่งจาก 0-100 กิโลเมตรได้ภายในเวลา 3.7 วินาที บวกไซเรนบนหลังคาที่แสนจะงดงามและดุดันยามวิ่งออกมานำขบวนฝูงรถแข่ง F1 เมื่อเกิดอุบัติเหตุ หรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดในสนามแข่ง
Mercedes-Benz SLS AMG เป็นรถสปอร์ตที่ถูกปรับตั้งให้ริเริ่มโครงการ Customer Racing Program เมื่อปี 2010 การแสดงความเคารพต่อบรรพบุรุษแห่งตำนานอย่าง gullwing 300 SL ซึ่งเป็นรถยนต์คันแรกที่พัฒนาโดย Mercedes-AMG ในระหว่างการแถลงข่าวที่สนามแข่งลากูน่า เซก้าในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2009 คริสตอฟ จุง ผู้จัดการโมเดลรถและอดีตนักแข่ง DTM สองคนคือ แบรนด์ ชไนเดอร์ และโธมัส เยเกอร์ ได้ร่วมกันคิดที่จะนำ SLS มาสู่สนามแข่ง อย่างไรก็ตาม ตัวเลือกที่สมเหตุสมผลของการเข้าร่วมงานในอีเวนต์ที่เลือกนั้นไม่ยั่งยืนเพียงพอสำหรับทั้งสามคน ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มทำงานเกี่ยวกับรถสปอร์ตประสิทธิภาพสูงที่เลียนแบบรถแข่งแต่ใช้งานได้ทุกวัน สำหรับลูกค้าใหม่ของ Mercedes-AMG
2016 Mercedes-AMG GT3
เช่นเดียวกับรุ่นก่อนหน้านี้ AMG GT3 ใหม่ ลงทำการแข่งขันเป็นครั้งแรกในรายการเอนดูแรนซ์ระยะไกล Nürburgring-Nordschleife: สำหรับการแข่งซึ่งถือเป็นการทดสอบรถครั้งแรกในสนามแข่ง วันที่ 4 กรกฎาคม 2015 Bernd Schneider, Thomas Jäger และ Jan Seyffarth สลับกันไปที่หลังพวงมาลัยเพื่อขับรถ GT3 พร้อมรวบรวมข้อมูลที่มีความสำคัญมาปรับแก้ ฤดูกาลแข่งขันในปี 2016 ซึ่งเป็นฤดูกาลแรกของ AMG GT3 ผู้มาใหม่ รถแข่งตราดาวรุ่นใหม่สร้างความแปลกใจด้วยการวิ่งนำแบบหน้ากระดานเรียงหนึ่งในรายการระยะไกลระดับโลก ADAC Zurich 24h-Rennen Nürburgring ครั้งที่ 44 รถแข่งสี่อันดับแรกและอันดับที่ 6 ตกเป็นของ Mercedes-AMG GT3 ซึ่งขับโดย Maro Engel, Bernd Schneider, Manuel Metzger และ Adam Christodoulou ทั้งหมด คว้าชัยชนะด้วยรถ AMG GT3 รุ่นใหม่ ภายใต้ทีมแข่งเหยี่ยวดำ BLACK FALCON ชัยชนะในอันดับที่ 1 / 2 / 3 / 4 เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2016 ยังคงอยู่ในความทรงจำ จากความสำเร็จในการแข่งขันระยะไกลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ Mercedes-AMG Customer Racing และในบันทึกการแข่งขันด้านความทนทาน จุดประกายความต้องการรถยนต์ AMG ตามมาด้วยการส่งมอบรถ AMG GT เกือบ 70 คันให้กับทีมแข่งทั่วโลก
ปี 2018 เป็นอีกฤดูกาลแห่งความสำเร็จของ Mercedes-AMG Customer Racing ด้วยรถยนต์ GT3 และ GT4 จาก Affalterbach ทีม Customer Racing Teams สามารถขึ้นโพเดียมได้ 373 ครั้ง และได้ชัยชนะ 141 ครั้งจากการแข่งขัน 394 ครั้ง การคว้าแชมป์รายการต่างๆ มากกว่า 40 รายการ รวมถึงชัยชนะโดยรวมในรายการ Blancpain GT Series กับ Raffaele Marciello และ AKKA ASP Team รวมถึงตำแหน่งนักแข่ง International GT Challenge กับ Tristan Vautier และ Kenny Habul ยิ่งกว่านั้น ในฤดูกาลแรกของ Mercedes-AMG GT4 ทีมแข่งของ AMG ต่างได้รับชัยชนะสองระดับ ในการแข่งขันเนือร์บูร์กริง 24 ชั่วโมง (รุ่น SP10 และ SP8T)
2020 Mercedes-AMG GT Black Series
รถยนต์ประเภท Production Car ที่มีกำลังแรงมากที่สุดเท่าที่ค่ายรถยนต์สัญชาติเยอรมันค่ายนี้เคยผลิตมา เครื่องยนต์ V8 ทวินเทอร์โบ กำลังสูงสุด 730 แรงม้า เทคโนโลยีระบบอัดอากาศ เพลาข้อเหวี่ยง แคมชาร์ป ระบบเชื้อเพลิง และโครงสร้างขั้นสูง GT Black Series รุ่นนี้ได้สร้างสถิติใหม่ในการทำเวลาต่อรอบสำหรับรถยนต์ประเภท Production Car บนสนามลูปเหนือ (Nordschleife Loop) ความยาว 20.832 กิโลเมตร ของสนามแข่งเนือร์บูร์กริง (Nürburgring) ด้วยเวลา 6 นาที 48.047 วินาที AMG GT Black Series พร้อมระบบการจัดการอิเล็กทรอนิกส์ที่ล้ำหน้าและเทคโนโลยีลดแรงต้านทาน ตามหลักอากาศพลศาสตร์เพื่อการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบโดยเฉพาะ คุณลักษณะดังกล่าวถือเป็นความท้าทายอย่างยิ่งสำหรับ Michelin ส่งผลให้ต้องพัฒนายาง 2 รูปแบบ โดยยางแบบแรกเป็นยางมาตรฐานติดรถที่ใช้ได้ทั้งบนถนนทั่วไปและสนามแข่ง (เนื้อยางนุ่ม) ส่วนยางแบบที่สองเป็นยางสำหรับใช้บนสนามแข่งโดยเฉพาะ (เนื้อยางแข็ง) ซึ่งเป็นชุดติดตั้งเพิ่มเติม.