อินเทรนด์ เปลี่ยนรถน้ำมันเป็นไฟฟ้า ยุคฝ่าฟันน้ำมันแพงของผู้บริโภค

ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก ส่งผลให้เกิดกระแสความต้องการรถยนต์พลังงานไฟฟ้าหรือรถ EV มากขึ้นหากใครจะซื้อรถใหม่ขณะนี้มีค่ายรถยนต์ EV ที่เข้าโครงการของภาครัฐที่ได้สิทธิประโยชน์ราคารถจะถูกลง ต่ำกว่า 1 ล้านบาทเริ่มเห็นมากขึ้น  ส่วนอีกหนึ่งทางเลือกที่กำลังมาแรงในขณะนี้คือ การนำเอารถยนต์ที่เป็นเชื้อเพลิงสันดาปเดิมไปดัดแปลงเป็นรถยนต์ไฟฟ้านั่นเอง  

สำหรับกระแสการเปลี่ยนรถเก่ามาเป็นรถยนต์ไฟฟ้าในบ้านเราขณะนี้   มีเพิ่มมากขึ้นและนอกจากรถยนต์แล้ว ปัจจุบันยังมีการเปลี่ยนรถมอเตอร์ไซต์มาเป็นเครื่องยนต์ไฟฟ้าอีกด้วย ส่วนมากจะเป็นอู่รถรายย่อย แม้ผู้บริโภคจะเสียค่าปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์เป็นไฟฟ้า เช่นหากเป็นรถมอเตอร์ไซต์ มีค่าใช้จ่ายตั้งแต่ 20,000 – 50,000 บาท หรือ หากเป็นรถยนต์ราคาค่าปรับเปลี่ยนจะสูงกว่าไปสู่หลักแสน  

.

แต่ผู้บริโภคประเมินว่า ราคาน้ำมันขณะนี้เทียบต่อกิโลเมตรแพงกว่าค่าไฟไปแล้ว ซึ่งทีมงาน SPOTLIGHT เคยสัมภาษณ์ผู้บริหารจากค่าย MG เปรียบเทียบว่ารถยนต์ไฟฟ้าถูกกว่ารถน้ำมันหรือไม่พบว่า  ปัจจุบันรถยนต์ที่ใช้น้ำมันจะวิ่งได้เฉลี่ยประมาณ 12 กิโลเมตรต่อลิตร หากราคาน้ำมันลิตรละ 40 บาท ค่าใช้จ่ายต่อกิโลเมตรของรถน้ำมันจะอยู่ราวๆ  เกือบ 4 บาท ยิ่งน้ำมันแพงเท่าไหร่ เช่นปัจจุบันเกือบ 50 บาทสำหรับเบนซิน ตกค่าใช้จ่ายต่อกิโลเมตรจะอยู่ที่ 5 – 6 บาท

ในขณะที่รถยนต์ไฟฟ้า สมมติฐานค่าไฟหน่วยละ 4 บาท  รถยนต์ไฟฟ้าวิ่งได้ 6 กิโลเมตรต่อ 1กิโลวัตต์  ค่าไฟ1 กิโลวัตต์ประมาณ 30 สตางค์ ดังนั้น   1 กิโลเมตรของรถยนต์ไฟฟ้าจะอยู่ประมาณ 60 สตางค์ เท่านั้น ส่วนค่าใช้จ่ายอื่นเช่น ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งระบบชาร์จไฟฟ้าที่บ้านเพิ่มเติม และ ค่าบำรุงรักษา  และรถที่ทำการปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์เป็นไฟฟ้าจะต้องไปแจ้งจดทะเบียนใหม่กับทางขนส่งด้วย

 รถยนต์ไฟฟ้า

มองในระยะยาวแล้วว่าราคาต่อกิโลเมตร ค่าไฟจะถูกกว่า ค่าน้ำมัน และยิ่งในยุคน้ำมันเกือบลิตรละ 50 แบบนี้ในกลุ่มเบนซิน แก๊สโซฮอลล์ ก็เป็นได้สูงว่า จะทำให้เกิดการเปลี่ยนไปสู่รถพลังงานไฟฟ้ากันมากขึ้นตามไปด้วย  ผู้ที่กำลังคดจะเปลี่ยนรถเก่า เป็นรถไฟฟ้าอาจจะกำลังหาข้อมูลถึงข้อดี ข้อเสียและความพร้อม รวมถึงมาตรฐานของการปรับเปลี่ยนเป็นไฟฟ้ากันอยู่

แต่อีกกลุ่มหนึ่งที่มีDemand หรือความต้องการในตลาดแล้ว คือกลุ่มผู้มีกำลังซื้อ ที่ต้องการนำเอารถคลาสสิค มาปรับเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าทั้งรถยนต์และมอเตอร์ไซต์  ล่าสุดบมจ.กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล  หรือ GPI ผู้จัดงาน มอเตอร์โชว์ มองเห็นโอกาสและความต้องการของตลาดนี้ จึงเตรียมนำรถคลาสสิกปรับแต่งเป็น EV Car อีกด้วย   

.

 Mercedes-Benz 600, Mercedes-Benz 380 SL, Mercedes-Benz 280 SE, Mercedes-Benz W114 or W115

นายพีระพงศ์ เอี่ยมลำเนา ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการบริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ GPI เปิดเผยว่า บริษัทฯยังคงมองหาโอกาสต่อยอดไปสู่ธุรกิจตกแต่งรถประเภทอื่นๆนอกจากรถแข่ง  เพื่อสร้างรายได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดอยู่ระหว่างการศึกษาเข้าสู่ตลาดรถคลาสสิก โดยจะนำรถคลาสสิกที่ได้รับความนิยมและมีกลุ่มคนที่มีความชื่นชอบเป็นวงกว้าง เช่น Mercedes Benz มาปรับแต่งระบบให้เป็นรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า   (EV Car)

.

ซึ่งจะเป็นการพัฒนาปรับแต่งรถยนต์ทั้งคัน อาทิ ระบบขับเคลื่อน การตกแต่งภายใน การดีไซน์ ฯลฯ รวมถึงเพิ่มเติมฟังก์ชั่นต่างๆ ให้มีความทันสมัยยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีอัตรากำไรอยู่ในระดับที่ดีและจะเพิ่มความสามารถทำกำไรโดยรวมของบริษัทฯ ให้ดียิ่งขึ้น

gpi

พีระพงศ์ เอี่ยมลำเนา ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ

บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน)

นอกจากนี้ อาจพิจารณาจับมือกับพันธมิตรในกลุ่มธุรกิจชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อร่วมลงทุนนำรถคลาสสิกมาปรับแต่งเป็น EV Car โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการพัฒนารถต้นแบบ คาดว่าจะได้เห็นความชัดเจนภายในปีนี้ และจะเริ่มทำการตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศภายในปีหน้า 

ขณะเดียวกัน GPI ยังมุ่งมั่นสร้างการเติบโตในธุรกิจใหม่ๆ ให้บริการรับตกแต่งรถยนต์สำหรับการแข่งขัน โดยวางเป้าหมายปี 2565 จะมียอดขายรถปรับแต่งประมาณ 20 คัน คิดเป็นรายได้กว่า 10 ล้านบาท ซึ่งจะมาจากรถรุ่น HONDA CITY HATCHBACK ที่นำมาปรับแต่งใหม่ทั้งคันเพื่อใช้สำหรับการแข่งขัน และอีกส่วนจะเป็นรถแข่งรุ่นใหม่ที่อยู่ระหว่างการพัฒนารถต้นแบบ คาดว่าจะเปิดตัวในเดือนพฤศจิกายนนี้ สำหรับเป็นรถที่ใช้ในการแข่งขันรายการใหม่ในปีหน้า

 HONDA CITY HATCHBACK

“GPI ยังคงเดินหน้าสร้างการเติบโตตามกลยุทธ์หลัก Growth from the core เน้นต่อยอดความเชี่ยวชาญจากธุรกิจหลักด้านการจัดเอ็กซิบิชั่นยานยนต์และกิจกรรมส่งเสริมการตลาดให้แก่ค่ายผู้ผลิตรถต่างๆ ไปสู่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อสร้างการเติบโตของรายได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายที่จะเจาะตลาดรถคลาสสิกและรถไฟฟ้า เพราะมองว่าเป็นกลุ่มที่น่าจะขยายตัวได้อีกมากในอนาคต รวมถึงในอนาคตมีแผนที่ขยายไปสู่ธุรกิจจำหน่ายอุปกรณ์เสริมสำหรับตกแต่งรถ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งทางธุรกิจรอบด้าน” นายพีระพงศ์ กล่าว

สำหรับกระแสของยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยมีความคึกคักมากขึ้น  โดยภาครัฐมีการส่งเสริมสนับสนุนค่ายรถยนต์ที่จะเข้าโครงการ และทำให้ราคารถยนต์ไฟฟ้าถูกลงไปสุงสุด 150,000 บาท  และยิ่งสถานการณ์ราคาน้ำมันแพงลิ่ว ยิ่งเร่งให้เกิดความต้องการเพิ่มมากขึ้น สะท้อนผ่านยอดจองรถในงานมอเตอร์โชว์ที่ผ่านมา ยอดจองรถยนต์EV เพิ่มมากขึ้นคิดเป็นสัดส่วน 10 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 3,084 คัน จากยอดจองรถรวมทั้งงาน ประมาณ 33,936 คัน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง 

OR ลุยเปิดปั๊ม EV 7,000 จุด แซงจำนวนปั๊มน้ำมันภายในปี 2573

ศึกรถยนต์ไฟฟ้าจีน แต่ละบริษัทใหญ่แค่ไหน

เทสล่า จดทะเบียนบริษัทในไทยแล้ว เตรียมขายรถเอง สะเทือน เกรย์ มาร์เก็ต