พิสูจน์’ซูซูกิสวิฟต์’ในสนามแข่ง กับ6สถานีสุดหิน-มีดีแม้เป็นรถเล็กถึงจะเป็นรถเล็ก – ข่าวสด

ถึงจะเป็นรถเล็ก แบบอีโค คาร์ แต่ “ซูซูกิ สวิฟต์” อัดแน่นเทคโนโลยีต่างๆ ไว้มากมาย ทำให้มีสมรรถนะและความปลอดภัยไม่ต่างจากซีดานชั้นดีทั่วไป

เกาะติดข่าว กดติดตาม ข่าวสด

เพิ่มเพื่อน

แต่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ ว่าแล้ว ผู้บริหารหนุ่มแฟมิลี่แมน วัลลภ ตรีฤกษ์งาม กรรมการบริหารด้านการขาย และการตลาด ซูซูกิ มอเตอร์ ประเทศไทย

จัดทดสอบสมรรถนะหลากหลายรูปแบบ ที่สนามแข่งรถพีระ อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต พัทยา

อธิบายตัวรถ และรูปแบบการทดสอบ มีทั้งหมด 6 สถานี ซูซูกิ สวิฟต์ จอดรอเรียงราย หลากสี ราวกับโหลลูกกวาดแตก พร้อมเริ่มการทดสอบ

รอบแรกขับตามกันไป วนดูสนามกันก่อน ว่าตรงไหนควรเข้าอย่างไร บนความเร็วแค่ไหน

จากนั้นปล่อยโซโล่เดี่ยว สถานีแรกเป็นกลับรถแบบ 360 องศา ทดสอบในเรื่องความคล่องตัว รัศมีวงเลี้ยว กับการเลี้ยวใน พื้นที่แคบ

ถ้าไม่ใช่รถขนาดเล็ก และพวงมาลัยคมกริบ ยากที่จะทำได้ เพราะทีมงานวางกรวยยางไว้แบบพอดีตัวอย่างมาก

ไปต่อกับสถานี การเปลี่ยนเลนกะทันหัน หรือ Lane Chance ทำความเร็วขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วหักหลบตามทิศทางที่กำหนด

เพื่อให้รู้ถึงเสถียรภาพการทรงตัวของรถ ที่อยู่บนโครงสร้างตัวถังแบบ heartect ที่เลื่องชื่อเรื่องความแข็งแกร่ง น้ำหนักเบา และ หนึบแน่น

ต่อกันกับการขับแบบสลาลอม แต่แปลกกว่าปกติอยู่สักหน่อย เพราะกรวยยางแต่ละอันมีระยะห่างที่ไม่เท่ากัน

หากพวงมาลัยไม่คมจริง ช่วงล่างต้องหนึบแน่น ไม่เช่นนั้นไม่สามารถควบคุมรถไปในทิศทางที่ต้องการได้ มีโอกาสหลุดไลน์สูง

สถานีต่อไป Panic Brake หรือเบรกฉุกเฉิน ขับอยู่บนความเร็วสูง แล้วทีมงานให้เบรกกะทันหัน พร้อมหักหลบสิ่งกีดขวางตรงหน้า

ทำให้เห็นถึงข้อดีของการใช้ดิสก์เบรก 4 ล้อ ซึ่งหาได้ยากกับรถยนต์แบบอีโค คาร์ รวมถึงระบบกระจายแรงเบรก EBD และระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESP ว่าสามารถควบคุมรถได้ แม้อยู่บนสถานการณ์ฉุกเฉิน

สถานี ABS Target Brake ทดสอบระบบเบรก ABS และการควบคุมให้เบรกหยุดนิ่ง ในตำแหน่งที่กำหนด แน่นอนว่าเจ้าซูซูกิ สวิฟต์ ทำได้อย่างสบายมือ

สถานีสุดท้าย ทดสอบกำลังเครื่องยนต์ ขนาด 1.2 ลิตร หัวฉีดคู่ Dual Jet 83 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 108 นิวตัน-เมตร ที่ 4,400 รอบต่อนาที เรียกกำลังมาใช้งาน ได้ตั้งแต่ตีนต้น ได้ไม่เป็นรองเครื่องยนต์ขนาดใหญ่กว่า

ขณะที่ตีนปลายนั้นหายห่วง เพราะที่เคยขอยืมมาทดสอบ ทำความเร็วไว้สูงสุดกว่า 160 ก.ม.ต่อช.ม. แบบช่วงล่างยังนิ่งกริบ แถมเครื่องยนต์ไม่มีอาการเครียดให้ได้รู้สึก

ภายในดีไซน์สปอร์ต พวงมาลัยหุ้มหนัง ทรง D-shape มัลติฟังก์ชัน ปรับได้ 4 ระดับ ขึ้น ลง หน้า หลัง เพื่อให้เข้ากับสรีระผู้ขับขี่ให้มากที่สุด

หน้าจอระบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อบลูทูธ ช่องจ่ายไฟแบบ USB และ 12V รวมถึงช่อง HDMI เชื่อมต่อความบันเทิงจากอุปกรณ์ผ่านหน้าจอได้ทันที

โดยรวม ถือได้ว่าเป็นรถขนาดเล็ก ที่ครบทั้งความกะทัดรัด คล่องแคล่ว สำหรับใช้ในเมือง หรือจะทำความเร็วบนไฮเวย์ ยามไปต่างจังหวัดก็ทำได้แบบชิลชิล

กับราคาที่เอื้อมถึงได้ไม่ยาก คันที่ทดสอบเป็นรุ่นท็อป GLX ราคา 629,000 บาท ส่วนตัวเริ่มต้น GL ราคา 557,000 บาท

กิตติพงศ์ ศรีเจริญ