‘จุรินทร์’ลั่นเคยเตือนอย่าแข่งกันเอง ได้ไม่คุ้มเสีย ย้ำ’คนละครึ่ง’เป็นผลงานของรัฐบาล – หนังสือพิมพ์แนวหน้า

วันเสาร์ ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2565, 06.00 น.

‘จุรินทร์’ลั่นเคยเตือนอย่าแข่งกันเอง

ได้ไม่คุ้มเสีย


ย้ำ‘คนละครึ่ง’เป็นผลงานของรัฐบาล

นำทัพปชป.ปราศรัยใหญ่ชุมพร

‘บิ๊กป้อม’บุกเปิดเวทีใหญ่สงขลา

กกต.คาดปชช.ใช้สิทธิ์เกิน70%

“บิ๊กป้อม” ลั่นไม่มีหมัดเด็ด โกยเสียงชนะเลือกตั้งซ่อมภาคใต้ ยังอุบมั่นใจหรือไม่ จัดทัพหลวงปราศรัยหาเสียงช่วยสงขลา “จุรินทร์” เคยเตือนแล้วส่งแข่งเลือกกันเอง ได้ไม่คุ้มเสีย ปัดตอบกระทบเสถียรภาพรัฐบาล ย้ำ “คนละครึ่ง”ผลงานพรรคร่วมฯทุกพรรค พร้อมทำทัพปชป.ปราศรัยใหญ่ชุมพร ประธานกกต.มั่นใจวางกำลังป้องกันความรุนแรง “สงขลา-ชุมพร” คาดใช้สิทธิเกินร้อยละ 70 “ฝ่ายค้าน” จ่อยื่นซักฟอกไม่ลงมติ 21 มกราคม จ้องถล่มปม แก้เศรษฐกิจ-ปากท้อง-โรคระบาด

เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2565ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ตอบคำถามสื่อมวลชนกรณีมีหมัดเด็ดในช่วงโค้งสุดท้ายของการหาเสียงเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ชุมพร เขต 1 และสงขลา เขต 6 ว่า ไม่มีหมัดเด็ด ไม่มีหรอก เมื่อถามย้ำว่า ไม่มีหมัดเด็ดเลยจริงหรือ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ไม่มี เมื่อถามย้ำอีกว่า แสดงว่ามีความมั่นใจว่าจะชนะเลือกตั้งซ่อมใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตรส่ายศีรษะพร้อมกล่าวว่า ไม่รู้ เมื่อถามอีกว่า พล.อ.ประวิตรเป็นหัวหน้าพรรค พปชร.จะไม่รู้ได้อย่างไร พล.อ.ประวิตรไม่ได้ตอบคำถามดังกล่าว เมื่อถามถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ระบุว่าจะกลับมาประเทศไทย คิดว่าจะกลับมาได้หรือไม่ พล.อ.ประวิตรไม่ได้ตอบคำถามดังกล่าว พร้อมกับขึ้นรถยนต์ออกจากทำเนียบทันที

จัดทัพหลวงปราศรัยช่วย’อนุกูล’สงขลา

ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค พปชร.เผยว่า เวลา 18.0 0น.พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค พปชร.จะลงพื้นที่พบปะประชาชน และขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงช่วยนายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ (น้องโบ๊ต) ผู้สมัครรับเลือกตั้ง สส.เขต 6 สงขลา เบอร์3ของพรรค ณ เวทีปราศรัย รร.สะเดาขรรค์ชัยกัมพลานนท์อนุสรณ์ ต.สะเดา อ.สะเดา จ.สงขลา โดยจะมีตนเอง นายสุชาติ ชมกลิ่น กรรมการบริหารพรรค ในฐานะผู้อำนวยการเลือกตั้งซ่อม เขต 6 สงขลา พร้อมด้วยแกนนำและ ส.ส.พลังประชารัฐอีกกว่า 20คน ร่วมลงพื้นที่และขึ้นเวทีช่วยหาเสียงปราศรัยใหญ่ครั้งนี้

‘จุรินทร์’เตือนแล้วแข่งกันเองได้ไม่คุ้มเสีย

ด้าน นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.)กล่าวถึงประเด็นพรรคร่วมรัฐบาลส่งผู้สมัคร สส.แข่งขันกันเองซึ่งอาจส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาล ว่า เคยเตือนล้วว่า โดยหลักถ้าพรรคร่วมด้วยกันเสียที่นั่ง พรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันก็ไม่ส่งคนลงไปแข่ง เพราะสุดท้ายแล้วจะกลายเป็นการแข่งกันเองในระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล และไม่ได้เกิดผลดีกับรัฐบาล นอกจากจะเกิดความหมางใจกัน ถ้ามีแข่งขันอย่างรุนแรง ขณะเดียวกันรัฐบาลก็ไม่ได้อะไร เพราะได้ที่นั่งเท่าเดิม ที่เสียไปก็เป็นของพรรคร่วมและส่งพรรคร่วมอีกพรรคหนึ่งมาแข่ง ถ้าได้มาก็ยังอยู่ในรัฐบาล รัฐบาลก็คะแนนเท่าเดิม ได้ไม่คุ้มเสีย

“ทั้งหมดนี้ผมได้พูดไปแล้ว และผมไม่ไปตำหนิใคร ไม่ไปตำหนิพรรคที่เขาส่ง เพราะว่าเมื่อเขาตัดสินใจแล้วว่า ต้องการดำเนินการทางการเมืองแบบนี้ ก็สุดแล้วแต่ เพราะเราจะไปห้ามเขาก็ไม่ได้ แต่มันจะนำมาสู่คำถามที่ถามนี้ แล้วสุดท้ายมันจะไปกระทบเสถียรภาพรัฐบาลหรือไม่ การทำงานร่วมกันหรือไม่ ซึ่งผมตอบล่วงหน้าไม่ได้ เพราะยังไม่ทราบว่า จะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต” นายจุรินทร์ กล่าว

เมื่อถามว่าเคยสอบถามบรรดาแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ หรือไม่ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ไม่ขอระบุตัวบุคคล แต่ตอนตั้งรัฐบาลใหม่ๆ เคยพูดคุยกันแล้วว่า หากพรรคร่วมรัฐบาลเสียที่นั่งก็จะไม่ส่งลงไปแข่งกันเอง ถ้าไปส่งกับฝ่ายค้านอันนั้นธรรมดา ไม่มีปัญหา แต่ว่าสุดท้ายข้อตกลงนี้ก็ถูกละเมิดไป ตนไม่ได้ตำหนิ แต่เล่าข้อเท็จจริงให้ฟัง ถามต่อว่า เหตุกระทบกระทั่งกันในการเลือกตั้งอาจเป็นเงื่อนไขนำไปสู่อุบัติเหตุทางการเมืองเร็วขึ้นหรือไม่ นายจุรินทร์ กล่าวว่า ตอบไม่ได้ อย่างที่ตอบไปแล้วว่าเราไม่สามารถคาดการณ์อะไรล่วงหน้าได้

ผู้สื่อข่าวถามว่ามองอย่างไรต่อประเด็นทางการเมืองในเวลานี้ที่อาจส่งผลให้รัฐบาลถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการทะเลาะกันเองในระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล นายจุรินทร์ กล่าวว่า คาดการณ์ได้อยู่แล้วว่า ถ้าลงไปแข่งกันเอง สุดท้ายมันก็ต้องกระทบกระทั่งกันบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องคาดการณ์ได้

‘คนละครึ่ง’ผลงานพรรคร่วมรัฐบาล

เมื่อถามต่อว่า ในการหาเสียงมีการเคลมว่าโครงการ”คนละครึ่ง”เป็นผลงานพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง นายจุรินทร์ กล่าวว่า ไม่อยากไปถกเถียงอะไรมาก เพราะมันอยู่ในป้ายหาเสียงเลย คนก็เห็นกันทั้งหมด แต่ตนไม่ไปโต้อะไร เพียงแต่พูดเพื่อให้ข้อเท็จจริงกับประชาชนนำไปพิจารณาและประกอบการตัดสินใจว่าข้อเท็จจริงคืออะไร นโยบายคนละครึ่งนั้น เป็นนโยบายของรัฐบาลชุดนี้ ที่เป็นรัฐบาลผสมหลายพรรค เกิดขึ้นช่วงโควิด หรือว่าเป็นนโยบายของพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งมาก่อน ซึ่งข้อเท็จจริงคือเป็นนโยบายของรัฐบาลผสมชุดนี้ มีทั้งพลังประชารัฐ ประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย ชาติไทยพัฒนา และอื่นๆ ที่ร่วมกันทำในช่วงโควิด เราก็ให้ข้อเท็จจริง ส่วนประชาชนจะพิจารณาอย่างไรก็สุดแล้วแต่ เพราะเราเป็นนักการเมืองต้องให้ข้อเท็จจริงในหลายๆด้านหลายๆเรื่อง เพื่อให้ประชาชนได้ข้อมูลมากที่สุด

‘จุรินทร์’ปราศรัยโค้งสุดท้ายที่ชุมพร

นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า วันที่ 14มกราคม นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคปชป.รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ จะขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่เพื่อหาเสียงในการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต1 จ.ชุมพร ให้กับ นายอิสรพงษ์ มากอำไพ หรือ “ตาร์ท” ผู้สมัครหมายเลข 1 พรรคประชาธิปัตย์ ที่ อ.เมือง จ.ชุมพร ไฮไลท์สำคัญคือการปราศรัยใหญ่โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งในช่วงเย็น

ณ ลานหน้าองค์การบริหารส่วนจังหวัด อ.เมือง จ.ชุมพร เวลา 18.00น.เป็นต้นไปและในวันรุ่งขึ้นจะเดินรณรงค์หาเสียงทั้งวันในเขต อ.เมือง จ.ชุมพร

‘ผู้สมัครมีจุดแข็งคือเป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ มีศักยภาพ มีความรู้ดี มีความพร้อม และมีความตั้งใจในการเข้ามาทำงานการเมือง มีประสบการณ์ในการทำงานการเมืองระดับท้องถิ่นจึงมีความรู้ความเข้าใจปัญหาในพื้นที่เป็นอย่างดี เพราะคลุกคลีอยู่ในพื้นที่มาโดยตลอด หากได้รับความไว้วางใจให้เป็นตัวแทนของพี่น้องประชาชน จึงมั่นใจได้ว่าจะเริ่มต้นทำงานได้ในทันที’นางดรุณวรรณ กล่าว

ปชช.เห็นใจ’ลูกหมี’ไม่เอาดูถูกคนจน

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ในฐานะผู้อำนวยการการเลือกตั้งประสานงานส่วนกลาง ได้กล่าวถึงการลงพื้นที่ช่วยรณรงค์หาเสียงในเขตเลือกตั้งที่ 1 จ.ชุมพร ว่า ในช่วงโค้งสุดท้ายของการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ในเขตนี้พรรคและผู้สมัครยังทุ่มเทหาเสียงกันอย่างเต็มที่ ผู้สมัครหมายเลข 1 นายอิสรพงษ์ มากอำไพ เขตเลือกตั้งที่1 จ.ชุมพร และตน ได้ร่วมกับ น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล ส.ส.นครศรีธรรมราช ได้ใช้วิธีการในการพบปะประชาชน คือการใช้มอเตอร์ไซค์ไปพบประชาชนทุกบ้านเท่าที่เวลาจะเอื้ออำนวย แต่ได้ผลดีมากคือมีโอกาสพบปะใกล้ชิดพูดคุย เกือบทุกบ้านเห็นใจ “ลูกหมี” อดีต ส.ส.ชุมพล จุลใส ที่ได้ออกไปต่อสู้ปกป้องให้กับบ้านเมือง แต่ท้ายที่สุดต้องหลุดจากการเป็นผู้แทนราษฎร นี่คือสิ่งที่ประชาชนมีความรู้สึกและจะแสดงพลังผ่านการเลือกตั้งซ่อมในครั้งนี้ ด้วยการเลือกผู้สมัครของพรรค เป็นคนในพื้นที่เป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่มีความรู้ความสามารถเข้าสภา

นายราเมศ กล่าวอีกว่า ทั้งสองเขต คือ เขตเลือกตั้งที่ 1 จ.ชุมพร และเขตเลือกตั้งที่ 6 จ.สงขลา ที่น่ากังวลจนวินาทีสุดท้ายคือการหาเสียงที่ผิดไปจากเจตนารมณ์ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง การใช้อำนาจรัฐบีบบังคับเจ้าหน้าที่ ขณะนี้เวลานี้มีการใช้เจ้าหน้าที่นอกพื้นที่มาเพื่อใช้ทำงานประโยชน์ในการเลือกตั้งอย่างหนัก การใช้คำพูดปราศรัยหมิ่นน้ำใจชาวบ้าน ดูถูกคนจน เป็นสิ่งที่ชาวบ้านคนใต้รับไม่ได้มากที่สุด หลักความเป็นมนุษย์ที่มีความเท่าเทียมกัน คนจนก็มีค่ามีศักดิ์ศรี แต่หากคนที่เป็นผู้นำอาสามาทำงานเป็นตัวแทนประชาชนกลับดูถูกประชาชนดูถูกคนจน แล้ววันข้างหน้าจะดูแลประชาชนด้วยความจริงใจและเป็นธรรมได้อย่างไร เชื่อว่าประชาชนจะพร้อมใจกันแสดงพลังผ่านการเลือกตั้งซ่อมทั้งสองเขตอย่างแน่นอน

‘ก้าวไกล’ไม่เปิดปราศรัยใหญ่

ที่ จ.สงขลา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล นายอำนาจ สถาวรฤทธิ์ ที่ปรึกษาพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย ส.ส.ของพรรค และนายธิวัชร์ ดำแก้ว ผู้สมัครเลือกตั้ง ส.ส.เขต 6 จ.สงขลา พรรคก้าวไกล ร่วมกันลงพื้นที่หาเสียงก่อนการเลือกตั้งจะมีขึ้นในวันที่ 16 ม.ค.นายพิธาเปิดเผยว่า ช่วงโค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง พรรคก้าวไกลไม่ปราศรัยใหญ่ แต่ใช้กลยุทธ์ดาวกระจาย แบ่งการเดินหาเสียงออกเป็น 4 สายทั่วทั้งเขต 6 จ.สงขลา หวังให้พี่น้องประชาชนตื่นตัวกับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 16 ม.ค. พร้อมตั้งข้อสังเกต จากการสอบถามชาวบ้านบางส่วนไม่รู้เลือกตั้งวันไหน และไม่เห็นรถประชาสัมพันธ์ กกต.แม้แต่คันเดียว

จี้กกต.ฟัน’ธรรมนัส’ปราศรัยส่อผิดกม.

นายชัยธวัช กล่าวถึงกรณีที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ขึ้นปราศรัยช่วยผู้สมัคร ของพรรคหาเสียงในทำนองเชิญชวนประชาชนเลือกคนที่มีเงินว่า ประโยคแบบนี้ไม่ใช่การเปรียบเปรย แต่เป็นการพูดปราศรัยต่อประชาชนในพื้นที่ที่มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งอย่างตรงไปตรงมาชัดเจน เข้าข่ายผิด พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 73 (1) เรื่องการจูงใจ สัญญาว่าจะให้ ผิดกฎหมายเลือกตั้งอย่างชัดเจน กกต.จังหวัดสงขลา ต้องเร่งตรวจสอบกรณีดังกล่าวโดยเร็วที่สุด

กกต.คาดออกมาใช้สิทธิว่าร้อยละ70

ที่ จ.ชุมพร นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้สัมภาษณ์ยืนยันความพร้อมของการเลือกตั้งทั้งในเรื่องงบประมาณ บุคลากรที่ประจำหน่วยเลือกตั้ง วัสดุอุปกรณ์ต่างๆไม่มีอุปสรรคปัญหาอะไร ส่วนเรื่องร้องเรียนกรณียิงข่มขู่ผู้สมัครนั้นปกติจะประสานขอความร่วมมือทางผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เรื่องการดูแลความปลอดภัยและในพื้นที่จะมีการจัดเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ชุดรักษาความปลอดภัยจากกระทรวงมหาดไทย มาดูแลหน่วยเลือกตั้งทุกหน่วย ซึ่งในส่วนของจังหวัดชุมพร 280 หน่วย แต่ในส่วนการไต่สวนสืบสวนทางตำรวจให้ความร่วมมืออยู่แล้ว และในส่วนของ กกต.เมื่อมี พ.ร.ฎ.เลือกตั้ง ก็มีการแต่งตั้งผู้ตรวจการเลือกตั้งลงมาปฎิบัติงานในพื้นที่ รวมทั้งมีชุดเคลื่อนที่เร็ว ชุดหาข่าวในพื้นที่ เพราะฉะนั้น เรื่องนี้อยู่ในการดูแลของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายแล้ว เชื่อว่าจะมีการป้องปรามไม่ให้มีการกระทำผิดในเขตเลือกตั้งได้ ส่วนมาตราการป้องกันโควิด-19 เราใช้รูปแบบและมาตรการจัดหน่วย ตามที่กระทรวงสาธารณสุขแนะนำ ซึ่งไม่พบการแพร่ระบาดและติดเชื้อโควิดในหน่วยเลือกตั้ง

ประธาน กกต.กล่าวว่าส่วนเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง พบว่า มีเรื่องร้องเรียน 2 เรื่องในการเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดสงขลา ส่วนที่จังหวัดชุมพรยังไม่มีเรื่องร้องเรียน คาดว่าทั้ง 2 แห่งจะมีผู้มาใช้สิทธิไม่ต่ำกว่าร้อยละ70 ดังนั้น ขอให้ประชาชนสละเวลามาใช้สิทธิและขอให้ผู้สมัครตระหนักถึงหน้าที่ ปฎิบัติตามกฎหมาย

พท.แย้มยื่นอภิปรายม.152วันที่21ม.ค.

ที่พรรคเพื่อไทย(พท.)นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรค พท. กล่าวถึงความคืบหน้าในการยื่นญัตติอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติตามมาตรา 152 ว่า พรรคร่วมฝ่ายค้านเตรียมยื่นญัตติอภิปรายทั่วไปในวันที่ 21มกราคม ซึ่งพรรคร่วมฝ่ายค้านจะนัดประชุมเพื่อกำหนดประเด็นที่จะนำไปสู่การอภิปรายในวันที่ 19มกราคมนี้ ส่วนประเด็นที่จะอภิปรายนั้น ต้องรอความชัดเจนจากที่ประชุมพรรคร่วมฝ่ายค้านก่อน แต่เบื้องต้นจะเป็นปัญหารัฐบาลต้องเร่งแก้ไขทั้งวิกฤตที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เช่น เรื่องเศรษฐกิจ ปัญหาปากท้อง ราคาสินค้าแพง โรคระบาด วิกฤตความศรัทธาและความน่าเชื่อถือของรัฐบาล ขณะนี้เสถียรภาพรัฐบาลง่อนแง่นมาโดยตลอด เนื่องจากเป็นเสียงข้างมากได้เพราะเกิดจากการรวมตัวกันเฉพาะกิจ ขณะนี้ฟากฝั่งรัฐบาลมีเสียงเหลือเพียง266 เสียง ดังนั้น เสถียรภาพจึงง่อนแง่นตั้งแต่แรกเริ่มมา ส่วนเสียงข้างมากที่แท้จริงในสภาเริ่มไม่มี เมื่อนับองค์ประชุมเมื่อไหร่ล่มทุกครั้ง รวมถึงการเลือกตั้งซ่อมเริ่มมีข้อเท็จจริงออกมาว่า อยู่ด้วยกันเพื่อรักษาผลประโยชน์ แต่ดูข้อเท็จจริงจริงๆ แล้วมองว่ามันไปด้วยกันไม่ได้ เป็นสัญญาณอาจทำให้รัฐบาลไม่สามารถทำงานร่วมกันต่อไปได้