เผยแพร่: ปรับปรุง: โดย: โรม บุนนาค
เมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พระบรมราชินี ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปลี่ยนเครื่องทรงฤดูฝนเป็นเครื่องทรงฤดูหนาว ถวายพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม หลังจากเสร็จพระราชพิธีแล้ว ทั้งสองพระองค์พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ ได้เสด็จออกจากศาลาสหทัยสมาคม ไปตามถนนจักรีจรัณย์ เสด็จออกทางประตูวิเศษไชยศรี มีประชาชนสวมเสื้อเหลืองจากหลายจังหวัดมาจับจองที่นั่งเพื่อรอรับเสด็จอย่างแน่นขนัดตั้งแต่เช้า
ในเวลา ๑๗.๐๐ น. มีเสียง “ทรงพระเจริญ” ดังกึกก้องมาจากในพระบรมมหาราชวัง ครู่หนึ่งต่อมาทั้งสองพระองค์ก็ปรากฏพระองค์ที่ประตูวิเศษไชยศรี ทรงโบกพระหัตถ์แย้มพระสรวลมีพระราชปฏิสันถารกับประชาชนที่มารอเฝ้ารับเสด็จอยู่สองข้างทางที่เสด็จพระราชดำเนิน เสียงทรงพระเจริญจึงดังยิ่งขึ้นจากคนที่อยู่ด้านนอกด้วย พร้อมกับเสียงชัตเตอร์จากกล้องของช่างภาพกลุ่มใหญ่ที่ปักหลักกันอยู่ที่จุดสำคัญนี้
นิติพงษ์ ห่อนาค นักร้องและนักแต่งเพลงที่นั่งรอเฝ้าอยู่หน้าประตูวิเศษไชยศรีร่วมกับดาราหลายคน เล่าว่า
“เสียงทรงพระเจริญอื้ออึง…มหาดเล็กเดินตบเท้า สื่อมวลชนพรั่งพรู…รู้ตัวอีกที…
ฟ้าหญิงสิริวัณณวรีฯ ก็ทรงมานั่งยองๆอยู่ตรงหน้า…จะเร็วอะไรปานสายฟ้าขนาดนั้น
ทรงจำแม่นกกับฉันได้ ขนาดใส่หน้ากากอยู่
ยังทำอะไรไม่ถูก…ในหลวงกับพระราชินีก็มาประทับอยู่ตรงหน้า…
ท่ามกลางเสียงอื้ออึงทรงพระเจริญ…
ได้ยินเสียงพระราชินีรับสั่งกับในหลวงพร้อมผายพระหัตถ์มาที่ฉัน…
“นี่…คุณดี้ นิติพงษ์”
ในหลวงรับสั่งอะไรบ้างก็ได้ยินไม่ชัด…จับได้เลาๆว่า อ้อ นกสินจัย อ้อ ดี้นิติพงษ์…ขอบใจมากนะ…
พยายามมองท่าน พยายามฟังฝ่าเสียงอื้ออึง…จนลืมแม้จะกราบพระบาท”
เมื่อเสด็จพระราชดำเนินผ่านไป ช่างภาพกลุ่มใหญ่ต่างมองตาม ถือว่างานของเขาเสร็จแล้ว เพราะไม่อาจจะแหวกฝูงชนตามไปดักถ่ายข้างหน้าได้อีก แต่วันนั้น เห็นประชาชนที่มาเฝ้าลุกเดินตามไปข้างๆพระองค์ ไม่มีใครห้าม ไม่มีใครกั้น กลุ่มช่างภาพจึงตามกันไปถ่ายภาพที่ทรงทักทายกับประชาชนอย่างใกล้ชิด เหล่าราชองครักษ์และข้าราชบริพารที่ติดตาม ก็ได้แต่เดินตามด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่มีใครที่มีท่าทีขึงขังจะถวายความปลอดภัย พระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชินีทรงมีพระพักตร์ยิ้มแย้ม โบกพระหัตถ์ทักทายและบางครั้งก็ยื่นพระหัตถ์ให้สัมผัส พระเจ้าอยู่หัวทรงรับสั่งตลอดเส้นทางพระราชดำเนินแข่งกับเสียงถวายพระพรที่ดังก้องขณะที่ฝนเริ่มโปรยว่า
“ระวังไม่สบายนะ เดินทางกลับบ้านปลอดภัยนะ ขอบใจมาก ขอบคุณมากที่มาให้กำลังใจ ขอส่งกำลังใจนี้กลับไปให้ทุกคนด้วย”
ประชาชนที่เฝ้ารับเสด็จอยู่แน่นถนน ต่างโบกธงชาติ ธงพระปรมาภิไธย วปร. และธงพระนามาภิไธย สท. เมื่อเสด็จพระราชดำเนินผ่านต่างก็ก้มลงกราบแสดงความจงรักภักดี บางคนอัญเชิญพระบรมฉายาลักษณ์ขึ้นเหนือศีรษะ รายหนึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาพระราชทานลายพระหัตถ์บนพระบรมฉายาลักษณ์ที่ประชาชนอัญเชิญมานั้นด้วยข้อความว่า
“ช่วยกันรักประเทศไทยและพี่น้องประชาชน รักบ้านเรา รักพี่น้องร่วมชาติ ด้วยความเมตตาและร่วมสามัคคีทำความดี”
ทำให้เจ้าของภาพที่มาจากชลบุรีหลั่งน้ำตาด้วยความปลื้มปีติ ไม่คิดว่าชีวิตจะมีวันนี้
คนโชคดีในคืนนี้อีกคนหนึ่งคือ อัศวิน สมโภชน์ นักเรียนมัธยมปีที่ ๔ ของโรงเรียนวัดราชบพิตร ที่ได้ขอเซลฟี่กับพระมหากษัตริย์ และได้รับพระมหากรุณา เขาเล่าว่า…
“กระผมบอกกับพระองค์ท่านว่า กระหม่อมเป็นเยาวชนพ่ะย่ะค่ะ มาถวายพระพรพระองค์ ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนานพระพุทธเจ้า ในหลวงต้องสู้นะพ่ะย่ะค่ะ อย่ายอมแพ้นะพ่ะย่ะค่ะ
พระองค์ก็ตรัสว่า “ขอบใจ” แล้วผมก็บอกพระองค์ท่านว่า ในหลวง กระหม่อมเรียนอยู่วัดราชบพิตรพ่ะย่ะค่ะ
ท่านก็ตรัสถามว่า “อยู่ชั้นไหน” ผมก็ตอบท่านว่า ม.๔ พ่ะย่ะค่ะ
ท่านก็ตรัสว่า “อ่อ”
แล้วผมก็ขอในหลวงว่า ในหลวง กระหม่อมขอเซลฟี่ได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ
ท่านตรัสว่า “เอ้าได้”
เมื่อเสด็จพระราชดำเนินต่อมา นายโจนาธาน มิลเลอร์ ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ช่อง ๔ ของอังกฤษ และสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็นของอเมริกา ก็ได้ทำสิ่งที่ไม่เคยมีนักข่าวคนใดทำมาก่อน นั่นคือ “ยื่นไมค์” ทูลถามขณะที่พระองค์เสด็จพระราชดำเนินทักทายพสกนิกร
นายโจนาธานได้เผยในภายหลังว่า เจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯทรงเอื้อมพระหัตถ์มาห้ามไว้และตรัสว่า “ห้ามสัมภาษณ์” แต่เขาก็ยังคงทำต่อ สมเด็จพระราชินีสุทิดาทรงแย้มพระสรวลและโบกพระหัตถ์ นายโจนาธานจึงทูลถาม
โจนาธาน: คนเหล่านี้จงรักภักดีต่อพระองค์ ทว่าพระองค์จะมีพระราชดำรัสอย่างไรต่อผู้ชุมนุมที่ออกมาบนท้องถนนเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันฯ
พระเจ้าอยู่หัว: ข้าพเจ้าไม่มีความเห็น…เรารักพวกเขาเฉกเช่นเดียวกัน (ตรัสซ้ำอีก ๒ ครั้ง)
โจนาธาน: มีโอกาสที่จะประนีประนอมหรือไม่
พระเจ้าอยู่หัว: ประเทศไทยเป็นดินแดนแห่งการประนีประนอม
จากนั้นก็ได้เสด็จพระราชดำเนินต่อไป
ในคลิปรายงานข่าวฉบับเต็มของโทรทัศน์ช่อง ๔ ของอังกฤษ ปรากฏภาพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสอะไรบางอย่างกับสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ ก่อนที่เจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯจะพระดำเนินกลับมาที่ผู้สื่อข่าวซีเอ็นเอ็นอีกครั้ง และตรัสกับเขาว่า
“เรารักประชาชนชาวไทย ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม และประเทศนี้มีความสงบสุข” และ “นี่เป็นความรักที่แท้จริงอย่างที่คุณเห็น”
นายโจนาธานก็รู้ว่าเขาได้ทำสิ่งที่ไม่บังควร จึงเล่าว่า หลังออกอากาศรายงานนี้ เขาก็รอกระทรวงการต่างประเทศซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลผู้สื่อข่าวต่างชาติ คงจะติดต่อแจ้งมาว่าทางสำนักพระราชวังไม่พอใจในสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ก็ไม่มีใครติดต่อมาเลย มีแต่ผู้ใช้โซเชียลบางคนที่โกรธเกรี้ยวที่ก้าวล่วงพระเจ้าอยู่หัวด้วยการจ่อไมค์กราบทูลสัมภาษณ์ ก็คงจะเป็นเพราะคนไทยทั่วไปรู้อยู่แล้วว่า นี่เป็นงานของเขา ที่ประสานกับคนบางกลุ่ม
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชินีเสด็จพระราชดำเนินทักทายกับประชาชนไปตลอดเส้นทาง จนประทับรถยนต์พระที่นั่งที่หน้าศาลฎีกาเมื่อเวลา ๒๑.๕๓ น. รถพระที่นั่งได้เคลื่อนออกไปอย่างช้าๆ ท่ามกลางเสียงเพลงสรรเสริญพระบารมีที่ประชาชนร่วมกันเปล่งเสียงส่งเสด็จ
เหตุการณ์ในค่ำวันนั้น จึงเป็นความประทับใจของพสกนิกรที่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างไม่รู้ลืม เป็นการแสดงออกของกษัตริย์สมัยใหม่ที่เป็นกษัตริย์ประชาธิปไตย ซึ่งทรงปฏิรูปพระองค์เองทุกรัชกาลมาตลอดระยะเวลา ๒๔๐ ปีของกรุงรัตนโกสินทร์
ในวาระวันมงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๔ นี้ ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายพระพร ขอทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ทรงเป็นมิ่งขวัญของประเทศไทยตลอดไป ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ