วันที่ 2 ต.ค. 2563 จากเหตุการณ์ที่ นางสาวทัศพร มาโยธา อายุ 32 ปี บ้านเลขที่ 95 หมู่ 5 บ้านวังเข ตำบลเหล่าน้อย อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ประสบอุบัติเหตุขับรถเก๋งยี่ห้อฮอนด้าซิตี้ สีขาว ทะเบียน 2 กว 8290 กทม. พุ่งตกตอม่อสะพาน บนถนนแจ้งสนิท (ช่วงร้อยเอ็ด-เสลภูมิ) ใกล้ทางเข้าบ้านหวายหลึม ตำบลมะบ้า อำเภอทุ่งเขาหลวง จังหวัดร้อยเอ็ด มีบาดแผลฉีกขาดบริเวณหน้าผาก ขาซ้ายท่อนบนผิดรูป เสียชีวิต ณ จุดเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ได้ทำการชันสูตรพลิกศพ ก่อนมอบศพให้ญาติรับไปบำเพ็ญกุศลตามประเพณี เหตุเกิดช่วงดึกวันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา
ท่ามกลางกระแสดราม่าว่า สาเหตุการเกิดอุบัติเหตุในครั้งนี้มาจากผู้รับเหมาปล่อยปละละเลย ไม่ติดตั้งป้ายแจ้งเตือน และติดตั้งสัญญานไฟกระพริบให้ประชาชนได้สังเกตเห็นที่ชัดเจน เพื่อผู้ใช้ทางจะได้ใช้ความระมัดระวังและเกิดความปลอดภัยในชีวิต
โดยผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ไปที่จุดเกิดเหตุ ซึ่งเป็นโครงการขยายถนนเป็น 4 ช่องจราจร และมีการก่อสร้างตอม่อสะพาน พบว่าที่พื้นมีรอยครูดเป็นทางยาว ก่อนรถจะพุ่งไปชนที่ตอม่อความลึกลงจากผิวถนนประมาณ 3.50 เมตร มีชิ้นส่วนของรถเก๋งคันเกิดเหตุ และแผ่นป้ายทะเบียนตกอยู่หลายชิ้น นอกจากนี้ด้านซ้ายและด้านขวาของตอม่อยังพบถังน้ำมันเปล่าขนาด 200 ลิตร ทาสีขาว-แดง ถูกรถชนกระเด็นตกอยู่ในสภาพบิดเบี้ยว ตกอยู่ข้างละ 1 ถัง ระหว่างนั้นได้มีคนงานกำลังนำแท่งแบริเออร์คอนกรีตมาตั้งวางไว้หน้าสะพานแทนถังน้ำมันที่ถูกชน เพื่อป้องกันการเกิดเหตุในลักษณะเดียวกันขึ้นอีก
สอบถามผู้ควบคุมโครงการก่อสร้างผ่านโทรศัพท์มือถือ (ไม่ประสงค์จะออกนาม) กล่าวว่า เบื้องต้นต้องขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิต เรื่องที่เกิดขึ้นรู้สึกไม่สบายใจที่สังคมและโลกโซเชียลมองว่าต้นเหตุของอุบัติเหตุครั้งนี้เกิดจากความประมาทเลินเล่อของฝ่ายผู้รับเหมาที่ไม่ได้ติดตั้งป้ายหรือไฟแจ้งเตือนให้ผู้ใช้ทางสังเกตเห็นในเวลากลางคืน โดยขอเรียนให้ทราบว่าเราทำงานด้านก่อสร้างถนนทั่วประเทศมาแล้วกว่า 20 ปี เราคำนึงถึงความปลอดภัยผู้ใช้ทางมาเป็นอันดับ 1 มีหลักปฏิบัติในการการติดตั้งป้าย สัญญาณไฟแจ้งเตือนระหว่างการปฏิบัติงานอยู่เสมอ โดยเฉพาะจุดที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุก็จะมีสัญญาณไฟกระพริบในเวลากลางคืน
ซึ่งจุดเกิดเหตุอยู่ระหว่างการสร้างสะพาน 2 สะพาน ห่างกันประมาณ 2-3 กิโลเมตร แม้จะลงผิวถนนลาดยางแล้วเสร็จ แต่สะพานยังสร้างไม่เสร็จ จึงยังไม่เปิดให้มีการใช้เป็นทางสาธารณะ และมีป้ายแจ้งไว้ตรงจุดกลับรถก่อนถึงจุดเกิดเหตุประมาณ 300 เมตรอย่างชัดเจน ถ้าหากผู้ขับขี่รถขับออกมาจากตัวเมืองร้อยเอ็ด มุ่งหน้าไปอำเภอเสลภูมิ ก็จะวิ่งอยู่ใน 2 ช่องจราจรฝั่งขวามานับ 10 กิโลเมตร จึงมองว่าถ้าหากผู้ขับขี่ไม่จงใจหรือเจตนาที่จะเลี้ยวเข้าไปจอดพักคนพักรถ หรือทำธุระข้างทางคงไม่มีใครขับเข้าไปแน่ นอกจากทีมงานในโครงการก่อสร้าง
อีกทั้งจากจุดกลับรถไปถึงที่เกิดเหตุประมาณ 300 เมตร ก็ได้นำถังน้ำมันขนาด 200 ลิตร ทาสีขาว-แดง ตั้งให้เห็นจำนวน 2 ถัง และห้ามผ่าน จึงอาจเป็นไปได้ว่าคืนเกิดเหตุซึ่งมีฝนตกหนักผู้ขับขี่อาจจะหลบเข้าไปจอดพัก หรือนอนพัก ก่อนจะเดินทางต่อ ตื่นขึ้นมาจึงรีบขับรถกลับบ้าน อาจจะลืมไปว่าข้างหน้ามีการก่อสร้างสะพานแล้วเบรกไม่ทันจึงชนสิ่งกีดขวางกระเด็นก่อนพุ่งชนตอม่อเป็นเหตุให้เสียชีวิตดังกล่าวก็เป็นได้
นายอุดร ศรีสนอง ชาวบ้านหวายหลึม ซึ่งมีบ้านห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 100 เมตร กล่าวว่า โดยปกติชาวบ้านในละแวกนี้จะรู้ว่าโครงการสร้างถนนยังไม่แล้วเสร็จ ผู้รับเหมายังไม่เปิดให้ใช้ทาง และมีการติดตั้งป้ายไว้เป็นระยะชัดเจน จึงไม่มีใครขับรถยนต์เข้าไปบริเวณนี้ ที่พบส่วนใหญ่ก็จะมีรถจักรยาน จักรยานยนต์ หรือรถพ่วงข้างของชาวบ้านขับขี่ผ่านไปไร่ไปนาเท่านั้น และทราบว่าผู้เสียชีวิตเป็นชาวอำเภอเสลภูมิด้วย น่าจะคุ้นชินเส้นทางเป็นอย่างดี ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้ขับรถเข้าไปทางนั้น เพราะถ้าวิ่งมาจากตัวเมืองมี 2 ช่องจราจร รถวิ่งสวนทางไปมา จุดกลับรถก็มีป้ายตั้งอยู่ และต้องชะลอความเร็วรถอย่างมากจึงจะหักเลี้ยวเข้าไปได้ เพราะมันมืดไม่มีไฟส่องสว่าง ส่วนเวลาเกิดเหตุน่าจะเกิดช่วง 3-4 ทุ่มก็เป็นได้ แต่ไม่มีใครเห็น
จากนั้นผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่วัดศรีสว่างวณาราม บ้านวังเข ตำบลเหล่าน้อย อำเภสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานศพของนางสาวทัศพร มาโยธา ผู้เสียชีวิต การจัดงานเป็นไปอย่างเรียบง่าย ท่ามกลางความเศร้าโศกเสียใจของครอบครัวและญาติมิตรที่มาร่วมงาน
นางจรรยา เกาะอำไพ อายุ 53 ปี แม่ผู้เสียชีวิต เล่าว่า ลูกสาวของตนเป็นเหมือนเสาหลักของครอบครัว ก่อนหน้านั้นไปประกอบอาชีพค้าขายอยู่ที่กรุงเทพฯ มีลูก 2 คน ต่อมาได้แยกทางกับสามี หลังโควิดระบาดจึงกลับมาอยู่บ้านกับพ่อแม่ จะรับสินค้ามาขายตามตลาดนัดและช่องทางออนไลน์ นำรายได้มาเลี้ยงดูพ่อแม่ และลูก ขณะที่ผู้เป็นพ่อก็ไม่ค่อยแข็งแรง เพราะเพิ่งผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดี และเพิ่งออกจากโรงพยาบาลมาได้ 3 วัน ก็ยังลุกเดินเหินไม่สะดวก
ก่อนเกิดเหตุในช่วงเวลา 20.00 น. ของวันที่ 30 ก.ย.63 ลูกสาวได้โทรมาบอกกับลูกสาววัย 14 ปีว่า แม่กำลังจะกลับบ้าน เดี๋ยวจะซื้อข้าวกล่องไปฝากลูกทั้ง 2 คน และบอกกับแม่ว่าไม่ต้องทำกับข้าว ซึ่งหลังจากนั้นก็ไม่เห็นลูกสาวติดต่อกลับมาอีก ตนก็เอะใจพยายามโทรไปหาเพื่อนๆของลูกและออกตามหาตามสถานที่ๆลูกเคยไป แต่ก็ไม่มีใครพบเห็น กระทั่งเวลา 04.00 น. วันที่ 1 ก.ย.63 ตนได้รับแจ้งจากนายก อบต.เหล่าน้อย โดยสอบถามตนว่าลูกสาวได้ออกไปไหนหรือไม่ ตนก็บอกไปว่าได้ออกไปตั้งแต่ 2 ทุ่ม แต่ก็ยังไม่กลับมาบ้าน นายกฯอบตจึงบอกกับตนว่าให้ไปหาลูกสาวด้วยกัน โดยบอกกับตนเพียงว่าลูกสาวประสบอุบัติเหตุ จึงชวนญาติไปจุดเกิดเหตุ ก็พบเพียงรถเก๋งของลูกสาวตกลงไปในหลุมตอม่อของสะพานที่กำลังก่อสร้าง ส่วนลูกสาวของตนถูกนำส่งไปโรงพยาบาลแล้ว ตนจึงตามไปดูก็ไม่กล้าที่จะเข้าไปดูลูกสาว มองเห็นแต่ช่วงใบหน้าที่ยังยิ้มสวยงามและเท้าที่มีรอยฟกช้ำ ก็ได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้ลูกเป็นอะไรเลย แต่ปาฏิหาริย์ก็ไม่มีจริง ลูกสาวของตนได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ
เบื้องต้นตนก็ยังไม่มีใครออกมาดูแลหรือรับผิดชอบ หลังจัดงานศพลูกเสร็จก็จะมาปรึกษาหารือกับญาติและฝ่ายกฏหมายว่าสาเหตุที่ลูกเสียชีวิตเกิดจากความบกพร่องประมาทเลินเล่อของผู้รับเหมาหรือไม่ ถ้าหากเกิดจากความบกพร่องของผู้รับเหมาก็จะดำเนินการฟ้องร้องเรียกร้องค่าเสียหายต่อไป
โดย วินัย วงศ์วีระขันธ์ ผู้สื่อข่าวภูมิภาค จ.ร้อยเอ็ด