- แอนจี บราวน์
- บีบีซี สกอตแลนด์
พระมหาประเสริฐ ปัญญาวโร มีความฝันที่จะได้เข้าชมการแข่งขันของสโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดที่สนามโอลด์แทรฟฟอร์ดมาตั้งแต่ครั้งที่ได้ดูการแข่งขันของทีมทางทีวีในวัยเด็ก
แม้การได้ดูฟุตบอลขณะไปบ้านเพื่อนครั้งนั้นจะกินเวลาเพียง 30 นาที แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้เด็กชายคนนี้เกิดความรู้สึกตราตรึงใจที่ยากจะลืมเลือน
หลังจากนั้นไม่นาน เด็กชายคนนี้ได้เข้าบวชเรียนตอนอายุ 12 ปี และอยู่ใต้ร่มกาสาวพัสตร์เรื่อยมา
นี่คือจุดเริ่มต้นของการดำเนินชีวิตที่ท่านต้องปฏิบัติตามศีล 227 ข้ออย่างเคร่งครัด
หมายความว่าท่านไม่สามารถฉลองวันเกิด ดูโทรทัศน์ ไปโรงภาพยนตร์ ขี่รถจักรยาน วิ่ง ฉันอาหารหลังเวลาเพล หรือไปดูฟุตบอลที่สนามแข่งได้
พระมหาประเสริฐ ซึ่งปัจจุบันอายุ 37 ปี เป็นเจ้าอาวาสวัดธรรมปทีป ในเมืองเอดินบะระ ประเทศสกอตแลนด์ ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษแก่บีบีซีสกอตแลนด์ถึงชีวิตของท่าน
“ตอนอาตมาเป็นเด็กได้ดูทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดแข่งในทีวี และยังจำผู้รักษาประตู ปีเตอร์ ชไมเคิล ได้ดี” พระมหาประเสริฐเล่า
“อาตมาใฝ่ฝันอยากไปดูพวกเขาเล่นที่สนามโอลด์แทรฟฟอร์ด แต่รู้ดีว่าไม่มีโอกาสจะทำได้ เพราะเราไม่สามารถไปที่นั่นในฐานะพระสงฆ์ได้”
“ในฐานะมนุษย์ เราต่างมีความรู้สึกเหมือนคนอื่น ๆ แต่เรารู้จักการควบคุมตัวเองและความรู้สึกนึกคิดได้” พระมหาประเสริฐอธิบาย
การดำเนินชีวิตตามหลักศาสนาอย่างเคร่งครัดยังทำให้พระมหาประเสริฐไม่ค่อยได้พบหน้าพ่อแม่หรือพี่น้องตั้งแต่ท่านยังเล็ก
พระมหาประเสริฐเป็นลูกคนกลางในบรรดาพี่น้อง 7 คน และเติบโตมากับทุ่งนาและการเลี้ยงควายในจังหวัดศรีสะเกษ
เมื่อพี่ ๆ เติบใหญ่และจากบ้านไป ท่านจึงต้องช่วยพ่อแม่ทำนาและดูแลน้องสาวน้องชาย
“อาตมารู้สึกว่าตัวเองควรได้เล่นฟุตบอลกับเพื่อน ๆ อะไรแบบนั้นบ้าง แต่เพราะเป็นลูกคนโตที่สุดที่เหลืออยู่ในตอนนั้น อาตมาเลยต้องทำงานต่าง ๆ เช่น หุงหาอาหาร และทำความสะอาดบ้าน” พระมหาประเสริฐเล่าถึงชีวิตวัยเด็ก
ตอนอายุ 11 ปี ท่านบอกพ่อแม่ว่าอยากบวชเรียน เพื่อให้พ่อแม่ภาคภูมิใจ และเมื่ออายุ 12 ปี ได้ถูกส่งไปบวชเรียนในอีกจังหวัดที่ห่างออกไปหลายร้อยกิโลเมตร
“อาตมาไม่ได้พูดคุยหรือเห็นหน้าครอบครัวอยู่ 3 ปี เพราะไม่รู้ทางกลับบ้าน” พระมหาประเสริฐเล่าถึงชีวิตในตอนนั้น
“ที่ในห้อง อาตมาคิดว่าจะไม่ร้องไห้ แล้วเขียนลงในกระดาษชิ้นหนึ่งว่า “เราทำได้” ซึ่งอาตมาติดไว้ที่ฝาผนัง แล้วอ่านทุกวัน”
“อาตมาอยากให้โยมพ่อโยมแม่ภูมิใจในตัวอาตมา”
พระมหาประเสริฐเริ่มฝึกเพื่อเตรียมตัวบวชเรียนตั้งแต่ตอนที่ยังอยู่กับพ่อแม่เป็นเวลาประมาณ 1 ปีก่อนที่จะย้ายไปอยู่วัด
พระอาจารย์ของท่านบอกว่า หนึ่งในกฎที่ต้องปฏิบัติตามคือ ห้ามแตะต้องตัวผู้หญิง
นี่จึงทำให้ท่านและโยมแม่ ต้องรักษาระยะห่างระหว่างกันเมื่ออยู่ที่บ้าน
แต่อีกหลายปีต่อมา พระมหาประเสริฐได้เรียนรู้ว่า กฎข้อนี้มีข้อยกเว้นสำหรับผู้เป็นแม่
“อาตมาตะหนักว่าตัวเองเข้าใจผิด และพระสงฆ์สามารถแตะต้องโยมแม่ของพวกเราได้ในบางสถานการณ์”
“เมื่อแม่ล้มป่วย หรือตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย อาตมาสามารถจับตัวแม่ได้เพื่อช่วยเหลือท่าน”
ทว่า 25 ปีต่อมา พระมหาประเสริฐก็ยังไม่ได้สัมผัส หรือเฉียดตัวโยมแม่
ปัจจุบันพระมหาประเสริฐประจำอยู่ที่วัดธรรมปทีป ในย่านสเลตฟอร์ด ของเมืองเอดินบะระ และมักเดินไปตามแม่น้ำวอเตอร์ออฟลีธ เพื่อทำสมาธิและฝึกฝนจิตใจ
“ธรรมชาติช่วยอาตมาเจริญสติ”
“พวกเรามาจากธรรมชาติ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องดีที่ได้กลับคืนสู่ธรรมชาติ” ท่านกล่าว
แม้ว่าต้องดำเนินชีวิตไปตามกฎเกณฑ์ที่เคร่งครัด แต่พระมหาประเสริฐบอกว่าท่านมีความสุข และชอบให้บริการชุมชนชาวไทย ชาวพุทธ และคนท้องถิ่นในสกอตแลนด์
ก่อนจะมาเป็นเจ้าอาวาสที่วัดธรรมปทีป ในเมืองเอดินบะระ เจ้าอาวาสรูปเก่าของที่นี่ได้เชิญพระมหาประเสริฐมาอยู่ที่วัดนี้เพราะได้ยินชื่อเสียงที่ดีของท่าน
ช่วงแรกพระมหาประเสริฐตกลงทดลองอยู่ที่นี่เป็นเวลา 2 ปี จากนั้นจึงตัดสินใจรับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดนี้ ในขณะที่เจ้าอาวาสรูปก่อนย้ายไปอยู่ที่วัดอีกแห่งในเมืองลีดส์
พระมหาประเสริฐอยู่ที่เมืองเอดินบะระมา 7 ปีแล้ว และจำวัดกับพื้นโดยไม่นอนเตียง และห้ามดูโทรทัศน์
อย่างไรก็ตาม ท่านค้นพบเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ช่วยให้รู้สึกใกล้ชิดกับผู้เป็นแม่ยิ่งขึ้น หลังจากพ่อเสียชีวิตไปด้วยโรคเบาหวานเมื่อ 10 ปีก่อน นั่นคือการติดตั้งกล้องซีซีทีวีทั่วบ้านที่เมืองไทย เพื่อคอยดูความเป็นอยู่ของแม่
“อาตมาไม่รู้สึกคิดถึงบ้าน เพราะชินเสียแล้ว และเทคโนโลยีก็ช่วยได้มาก” พระมหาประเสริฐกล่าว
“เดี๋ยวนี้อาตมาคุยกับโยมแม่ทุกวัน และสามารถมองดูท่านจากโทรศัพท์มือถือที่เชื่อมต่อกับกล้องวงจรปิดในบ้าน”
“โยมแม่สุขภาพไม่ค่อยดี นี่จึงทำให้อาตมารู้สึกดีขึ้นที่สามารถคอยดูท่านได้ตอนที่ตัวเองอยู่ไกลกันมาก”