จากกรณีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ตากสิน ฝั่งธนบุรี หลังมีผู้เสียหายรายหนึ่งที่ขับรถจักรยานยนต์รับจ้างได้เข้าร้องเรียนกับทางเพจ สายไหมต้องรอด
เนื่องจากทางผู้เสียหายอ้างว่าถูกรุมทำร้ายจากชายปริศนากว่า 10 คน ภายใน ซ.ตากสิน 21 โดยที่ไม่มีสาเหตุ จนทางเจ้าตัวนั้นได้รับบาดเจ็บฟกช้ำไปทั้งตัว
ไม่พอแค่นั้นหลังจากเกิดเรื่องรอบแรกในข่วงวันที่ 6 ต.ค. 65 ที่ผ่านมา กลับมีนกต่อแสร้งมาใช้บริการวินจักรยานยนต์กับผูัเสียหาย
อีกครั้งในช่วงวันที่ 13 ต.ค. 65 ที่ผ่านมา ก่อนจะลวงไปยัง ซ.ตากสิน 24 ก่อนที่ชายกลุ่มเดิมกลับมารุมทำร้ายอีกครั้ง โดยรอบนี้ทางผู้ก่อเหตุมีทั้งมีดและไม้ จนสุดท้ายทางผู้เสียหายต้องทำทีแกล้งตายอีกฝ่ายถึงได้หยุดและหนีไป
เบื้องต้นร่องรอยการบาดเจ็บจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนตัวมีร่องรอยบาดแผลบริเวณศีรษะ แขนซ้ายหักผิดรูป รอยฟกช้ำทั้วร่างกาย ตลอดจนสภาพติตใจที่ตอนนี้ทางเจ้าตัวเองหวาดระเเวงไม่กล้าออกไปไหน จึงได้เดินทางมาปรึกษาและขอความช่วยเหลือกับทางเพจสายไหม หากปล่อยไว้แต่ไม่มีการดำเนินคดีเชื่อสักวันเขาเองคงกลับมาก่อเหตุอีกครั้งอย่างไรก็ตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทางผู้เสียหายได้มีภาพจากกล้องวงจรปิดที่บันทึกบางช่วงของเหตุการณ์ไว้
ล่าสุดวันที่ 16 ต.ค. 65 ทางด้านผู้เสียหาย “นายฉัตรชัย อังคษร” อายุ 45 ปี อาชีพขับรถจักรยานยนต์รับจ้าง ได้เดินทางมาขอความช่วยเหลือกับทาง “ทางด้าน “นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ” ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด โดยทางผู้เสียหายเองได้เปิดใจและเล่ากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยทางเจ้าตัวบอกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเริ่มต้นเกิดขึ้นในช่วงวันที่ 6 ต.ค. 65 ที่ผ่านมา ช่วงประมาณ 12.30 น. ขณะที่ทางตนเองกำลังนั่งอยู่ที่วินจักรยานยนต์ของตน ก็ได้มีรถจักรยานยนต์ 2 คัน เป็นชายประมาณ 2 คนเข้ามาถามทางตน ระหว่างที่ตนกำลังตอบคำถามดังกล่าว ชายทั้ง 2 รายเองก็จู่เข้ามาทำร้ายร่างกายตนทันที โดยที่ไม่ได้มีท่าทีว่าจะมาก่อเหตุ
หลังจากนั้นกลุ่มเพื่อนของชายที่มาทำร้ายก็กรูเข้ามาทำร้ายตนตามที่ปรากฎในคลิป ซึ่งใช้เวลาแค่ประมาณ 5-6 นาที ก่อนที่เขาจะขับรถหนีออกไป ซึ่งตอนนั้นตนเองได้รับบาดเจ็บบริเวณศีรษะ ก่อนที่ตนจะตัดสินใจเข้าไปแจ้งความไว้ที่ สน.สำเหร่ ในวันที่เกิดเหตุ
ต่อมาผ่านไปไม่ถึง 1 สัปดาห์ หรือตรงกับวันที่ 13 ต.ค. 65 ที่ผ่านมา ช่วงเวลาประมาณ 13.10 น. ก็มีชายคนหนึ่งเดินมาที่วินที่ตนให้บริการ ก่อนจะบอกว่าจะเดินทางไปยังซอยตากสิน 24 ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับวินที่ตนขับ โดยชายคนดังกล่าวเองส่วนตัวก็นึกว่าเป็นลูกค้าปกติ แต่พอตนใกล้ถึงจุดหมายและทางชายคนดังกล่าวบอกว่าลงจุดนี้ ซึ่งกลับมีความสอดคล้องกับชายวัยรุ่นกลุ่มเดิมที่สวมหมวกกันน็อค พร้อมอาวุธเป็นไม้และของเเข็งยืนรออยู่
ในขณะที่ผู้โดยสารคนดังกล่าวลง ซึ้งตอนนั้นตนเองยังไม่ได้ทันพูดอะไร เงยหน้าไปแล้วบอกว่าพวกเอ็งอีกแล้วเหรอ ทางกลุ่มคู่อริกว่า 10 คน ก็เข้ามาทำร้ายตนอีกครั้ง โดยครั้งนี้ตนได้รับบาดเจ็บบริเวณใบหน้าที่เบ้าตา แขน และศีรษะ ก่อนที่ตนสู้ไม่ไหวเลยทำทีแกล้งตายและหมดสติไป กลุ่มชายคนก่อเหตุเลยตัดสินใจขับรถออกไป
ทั้งนี้ส่วนตัวมั่นใจว่า คนที่มาติดต่อใช้บริการตนในช่วงก่อนจะเกิดเหตุครั้งที่ 2 น่าจะเป็นนกต่อที่ล่อให้ตนไปเจอกับทางคู่อริดังกล่าว ซึ่งหลังจากเกิดเรื่องตนเองก็ได้เข้ารับการรักษา ปรากฎว่าศีรษะแตกต้องเย็บ 5 เข็ม แขนซ้ายหัก 2 ท่อน ต้องใส่เฝือกแข็ง และร่องรอยฟกช้ำที่ตา และข้างหู โชคดีที่สมองไม่กระทบกระเทือน ส่วนทางคดีนั้นทางตนเองก็ได้เข้าแจ้งความเหตุการณ์ที่ 2 ไว้ที่ สน.บุคคโล ในข้อหาทำร้ายร่างกายไว้ก่อนเบื้องต้น
ยืนยันว่าส่วนตัวไม่รู้จักกับทางกลุ่มคนก่อเหตุแม้แต่คนเดียว และไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับใครในพื้นที่ ซึ่งในส่วนของอาชีพขับรถจักรยานยนต์รับข้างมานานกว่า 40 ปี ตนก็ไม่เคยมีเรื่องหรือกระทบกระทั้งกับใครในพื้นที่ จึงไม่น่าจะเดี่ยวกับเรื่องนี้ ตลอดจนก่อนเกิดเหตุเองก็ไม่ได้มีเรื่องของการขับรถปาดหน้าหรือมีการเผแฉี่ยวชนแต่อย่างใด
โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยอมรับว่าตนเองหวาดกลัว และระเเวงว่าหากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่สามารถจับกุมหรือตามตัวคนก่อเหตุมาได้ตนก็จะไม่ปลอดภัย หนำข้ำครอบครัวก็เช่นกัน ซึ่งทุกวันนี้ตนเองนอกเหนือจากกลัวแล้วยังขาดรายได้เพราะไม่สามารถขับรถจักรยานยนต์รับจ้างได้
นายบรรทม ปิ่นทอง อายุ 50 ปี เพื่อนร่วมวินของผู้บาดเจ็บ และเป็นคนที่เข้าไปข่วยเหลือผู้บาดเจ็บหลังจากที่โดนทำร้ายในช่วงวันที่ 13 ต.ค. 65 โดยทางนายบรรทมเผยว่า ถ้าถามว่าก่อนหน้านี้เองทางผู้บาดเจ็บเคยมีเรื่องบาดหมางกับทางใครมาก่อนไหมตนยืนยันว่าไม่เคยเห็น ส่วนปมปัญหาความขัดแย้งกันระหว่างวินจักรยานยนต์ด้วยกัน ตนว่าไม่น่าจะเกี่ยวเพราะหากมีความเชื่อมโยงกัน ทำไมเขาเองจะเจาะจงไปแค่เพียงคน ๆ เดียว จะต้องมีอะไรมากกว่านี้ อย่างไรก็ตามในส่วนของคนก่อเหตุหากดูจากกล้องวงจรปิดจะพบว่าเขาใส่หมวกกันน็อก ไม่เห็นใบหน้าเลยตอบไม่ได้ว่าใช่คนในพื้นที่หรือไม่
ลักษณะนิสัยของคนบาดเจ็บเป็นคนอย่างไร เขาเองก็จะค่อนข้างเป็นคนเสียงดัง พูดจาโวยวายและค่อนข้างพูดตะโกน เรียกว่าถ้าคนไม่สนิทกับเขาจะไม่ค่อนชอบ แต่หากสนิทกันจะรู้ว่าเขาเป็นคนแบบนี้โดยที่ไม่มีอะไร อย่างไรก็ตามเชื่อว่าเหตุการทั้งหมดน่าจะมาจากเรื่องส่วนตัวของเขา อาจจะมีไปกระทบกระทั้งระหว่างขับรถหรือเปล่าตนไม่ทราบ
ทั้งนี้จากข้อมูลของเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งความคืบหน้าว่า ขณะนี้ฝ่ายสืบสวนอยู่ระหว่างการลงพื้นที่ไล่กล้องวงจรปิด เพื่อตรวจสอบหากลุ่มผู้ก่อเหตุและนำหลักฐานมาใช้ในการออกหมายจับกลุ่มผู้ก่อเหตุอีกครั้ง ขณะ พล.ต.ต.มานพ สุคนธ์ธนพัฒน์ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 8 ได้ให้เป็นข้อมูลเบื้องต้นว่า ก่อนเกิดเหตุวันที่ 6 ต.ค. 65 เจ้าหน้าที่ได้ที่การตรวจสอบพบว่า นายฉัตรชัย ผู้เสียหาย เคยมีเหตุบาดหมางกับผู้อื่นประมาณ 3 ครั้ง ประกอบด้วย ช่วงเดือน ส.ค. นายฉัตรชัย ได้เคยไปทุบรถจักรยานยนต์ที่บริเวณ ช.สมเด็จพรเตากสิน 21 ทำให้รถจักรยานยนต์ได้รับความเสียหาย แต่ภายหลังได้ตกลงชดใช้ค่าเสียหายให้เจ้าของรถจักรยานยนต์ เจ้าของรถจักรยายนต์จึงไม่ติดใจที่จะดำเนินคดีกับนายฉัตรชัย
เมื่อประมาณเดือน ก.ย. 65 นายฉัตรชัย ได้ทะเลาะกับผู้ดูแลลานจอดรถวัดราชวรินทร์ ซ.สมเด็จพระตากสิน 21 กรุงเทพมหานคร เจ้าหน้าที่สายตรวจ สน.สำเหร่ จึงเข้าไประงับเหตุ ทั้งสองฝ่ายไม่ติดใจที่จะดำเนินคดีซึ่งกันและกันและได้แยกย้ายกลับที่พัก
และเมื่อวันที่ 30 ก.ย. 65 นายฉัตรขัย ได้เคยก่อเหตุเมาอาละวาดทุบรถยนต์ยี่ห้อ เมอชีเคสเบนซ์ ที่บริเวณลานจอดรถวัดราชวรินทร์ ช.ตากสิน 21 กรุงเทพ ก่อนที่นายฉัตรขัยจะชดใช้ค่าเสียหายให้กับเจ้าของรถยนต์และเคลียร์กันจบ ซึ่งเจ้าหน้าที่คาดการณ์ตั้งเป็นข้อสันนิษฐานเบื้องต้นเอาไว้ก่อนว่าจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่ผู้เสียหายถูกทำร้ายหรือไม่ ขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อใช้พิสูจน์ข้อสันนิษฐานดังกล่าว
ด้าน นายแดง อังคษร พ่อของ นายฉัตรชัย ผู้เสียหาย ได้เปิดใจกับทางทีมข่าวว่า ยอมรับว่าก่อนเกิดเหตุนั้น ทางพฤติกรรมของลูกชายตนจะเป็นคนค่อนข้างพูดดังและมักจะมีปากเสียงกับทางเพื่อนบ้านบางครั้ง แต่เหตุทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นตนยังไม่ขอฟันธงหรือการคาดไปก่อน เเต่ยอมรับว่าก่อนหน้านี้เคยมีเรื่องบาดหมางกับคนในชุมชน ที่ลูกชายเชื่อว่าเป็นผู้ที่มาทำการแฮ็คระบบโทรศัพท์มือถือนำอีเมลไปใช้เกี่ยวข้องกับเว็บพนันหรือเว็บผิดกฎหมาย ทำให้มีการไปพูดคุยก่อนจะมีปากเสียงกันจนบานปลายถึงขั้นที่ลูกชายไปทุบรถจักรยานยนต์ของคู่กรณี
และมีการไปทำร้ายทรัพย์สินเป็นรถเบนซ์ของทางพ่อของคู่กรณีด้วย ซึ่งทั้งสองเหตุการณ์ตนเองได้เป็นผู้เข้าไปเจรจาไกล่เกลียเพื่อชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมดเป็นที่เรียบร้อย และเรื่องดังกล่าวถือว่ายุตติลง เพราะไม่มีการแจ้งความดำเนินคดีแต่อย่างใด แต่ไม่กี่วันต่อมาลูกชายตนเองก็มาถูกทำร้าย ส่วนตัวจึงมีการสันนิษฐานว่าอาจจะเกี่ยวข้องกันหรือไม่ ก็ต้องรอทางเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบ
ทั้งนี้เหตุการณ์ที่มีการทุบมอเตอร์ไชค์นั้นจะเกิดขึ้นก่อนช่วงปลาย ส.ค. ส่วนที่มีการทุบรถเบนซ์นั้นน่าจะเป็นช่วงปลาย ก.ย. ที่ผ่านมา ก่อนจะมาเกิดเรื่องรุมทำร้ายในข่วงวันที่ 6 ต.ค. ที่ผ่านมา โดยพอตนทราบเรื่องเหตุการณ์ที่ลูกชายโดนทำร้ายครั้งแรก ในใจคิดว่าคงเชื่อมกับเหตุการณ์เก่า แต่ก็ไม่พูดอะไรเพราะยอมรับลูกของตนผิดจริง แต่ครั้งนี้ค่อนข้างรุนแรงและเกิดกว่าเหตุ ตนเลยมองว่าเป็นการตั้งใจทำเกินไป ส่วนตัวหากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเชื่อมโยงกับเหตุการณ์เก่าตนก็อยากให้อีกฝ่ายมาพูดคุยหรือเจรจาด้วยดี หากเป็นคนรู้จักก็ไม่อยากจะเอาเรื่องเอาความ