Bentley ร่วมงานชุมนุมรถแข่งกูดวูด

ครูว์-Bentley Motors ร่วมเป็นพันธมิตรอย่างเป็นทางการสำหรับงานชุมนุมรถแข่งแห่งกูดวูด ครั้งที่ 79 ระหว่างวันที่ 9-10 เมษายนที่ผ่านมา งานชุมนุมรถแข่งแห่งกูดวูดถือเป็นเทศกาลแห่งความเร็วที่ยิ่งใหญ่ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างบรรยากาศ และความร่วมมือเหมือนดั่งงานชุมนุมของสโมสรนักแข่งรถแห่งสหราชอาณาจักร (BARC) จัดขึ้นที่กูดวูดตลอดช่วงปี 2493 และปี 2503

Bentley Motors สนับสนุนการจัดแสดงอัครยนตรกรรมคลาสสิคกว่า 10 รุ่น ตั้งแต่ช่วงปี 2472 ถึงปี 2562 ซึ่งมีประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 90 ปี ณ งานชุมนุมรถแข่งแห่งกูดวูด

อัครยนตรกรรมคลาสสิคที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 72 ปี ประกอบด้วย 6 รุ่นดังต่อไปนี้:


  • 1929 Speed Six อัครยนตรกรรมช่วงก่อนสงครามโลก

  • 1949 Mark VI อัครยนตรกรรมรุ่นแรกที่ผลิต ณ โรงงาน เมืองครูว์

  • 1963 S3 Standard Saloon อัครยนตรกรรม 4 ประตู ที่งดงามที่สุด

  • 1984 Continental อดีตอัครยนตรกรรมคูเปของท่านประธาน

  • 1991 Turbo R อัครยนตรกรรมที่เป็นจุดเริ่มต้นของ Bentley ในฐานะแบรนด์มอเตอร์สปอร์ท

  • 2001 Arnage Red Label การกลับมาของอัครยนตรกรรม 4 ประตู เครื่องยนต์ V8 ขนาด 6¾ ลิตร

Bentley Speed Six เป็นหนึ่งในอัครยนตรกรรมช่วงก่อนสงครามโลกที่โดดเด่นที่สุดของแบรนด์ มีสมรรถนะสูง มาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด 6½ ลิตร Speed Six จึงกลายเป็นรถแข่งของ Bentley ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด โดยชนะในการแข่งขัน Le Mans ในปี 2472 และ ปี 2473 จากฝีมือของ Woolf Barnato, Sir Henry “Tim” Birkin และ Glen Kidston อัครยนตรกรรมหมายเลขทะเบียน GU 409 เดิมถูกประกอบขึ้นสำหรับ W.F. Watson โดยออกแบบตามสไตล์รถยนต์ 4 ประตูแบบ Weymann โดย Victor Broom และส่งมอบในเดือนกันยายน ปี 2472

อัครยนตรกรรมรุ่นแรกจากสายการผลิตของโรงงานเมืองครูว์ ช่วงหลังสงครามโลกได้เปิดตัวในเดือนพฤษภาคม ปี 2489 โดยถูกตั้งชื่อว่า Mark VI ด้วยการใช้ระบบกันสะเทือนด้านหน้าแบบอิสระ และเครื่องยนต์แบบ 6 สูบขนาด 4½ ลิตร ทำให้ Mark VI กลายเป็นอัครยนตรกรรม Bentley ที่มียอดขายสูงสุดอย่างรวดเร็ว ด้วยยอดการผลิตกว่า 5,000 คัน ระหว่างปี 2489 และ 2495 ซึ่ง 73 ปีต่อมา Mark VI หมายเลขทะเบียน AGO 2 ได้ถูกผลิตขึ้นอีกครั้ง ณ โรงงานเมืองครูว์ โดยประกอบเข้ากับตัวถังของ H.J. Mulliner ในเฉดสีเขียวทูโทนทับเฉดสีดำ AGO 2 ถือเป็นดีไซจ์นที่ผสมผสานระหว่างรุ่น Embiricos Bentley อันโด่งดัง และรุ่น Mk V Corniche แห่งปี 2473 รวมถึงรุ่น R-Type Continental ที่มีชื่อเสียงในปี 2495

ในปี 2498 อัครยนตรกรรมรุ่น R-Type ถูกแทนที่โดยรุ่น S-Type โดยเป็นรุ่นที่ได้รับการปรับปรุง และพัฒนาให้มีโครงรถแยก เครื่องยนต์ขนาด 6 สูบ และตัวถังที่ผลิตจากโรงงาน ในขณะนั้น รถยนต์รุ่น S-Type แบบมาตรฐานจากโรงงานมีราคาอยู่ที่ 3,295 ปอนด์ (เทียบเท่ากับ 10 เท่าของรายได้ต่อปีในปัจจุบัน) อัครยนตรกรรมรุ่น S-Type มีการผลิตถึง 3 ครั้ง ตั้งแต่ปี 2498 ถึง 2508 โดยรุ่นที่ 2 (S2) มาพร้อมกับเครื่องยนต์รุ่น V8 ใหม่ พวงมาลัยเพาเวอร์มาตรฐาน และเกียร์แบบธรรมดา สำหรับรุ่นสุดท้ายมีความคล้ายคลึงกับรุ่น S2 โดยมีความแตกต่างภายนอกที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด คือ การจัดวางไฟหน้าแบบ 4 ดวง โดยอัครยนตรกรรมที่จัดแสดงในครั้งนี้ คือ รุ่น S3 Standard Saloon ปี 2506 ซึ่งถือเป็นรถยนต์แบบ 4 ประตู ที่สวยงามที่สุดด้วยเฉดสี Garnet หมายเลขทะเบียน 176 FGH

Bentley Continental ในปี 2527 มีพื้นฐานการออกแบบมาจากรุ่น T-Series ที่เปิดตัวในปี 2503 อัครยนตรกรรมหมายเลขทะเบียน A455 YGJ ได้สะท้อนให้เห็นถึงช่วงเวลาที่ท้าทายที่สุดของ Bentley ด้วยยอดขายที่ตกต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของแบรนด์ โดยหลังจากนั้น สถานการณ์ของบริษัทเริ่มดีขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในการดำเนินงานของบริษัท และการนำระบบขับเคลื่อนแบบเครื่องยนต์รุ่น V8 ขนาด 6¾ ลิตร มาใช้เปิดตัวในรุ่น Turbo R ที่งานมหกรรมยานยนต์เจนีวา ปี 2528

ในช่วงต้นปี 2533 ความนิยมของ Bentley เพิ่มขึ้นอย่างมาก สาเหตุหลักมาจากความสำเร็จของอัครยนตรกรรมรุ่น Mulsanne Turbo โดยระบบเทอร์โบชาร์จได้คืนความได้เปรียบด้านสมรรถนะให้แก่อัครยนตรกรรม Bentley ซึ่งถือได้ว่าเป็นรถยนต์แบบ 4 ประตูที่เร็วที่สุด สะดวกสบายที่สุด และหรูหราที่สุดในโลก สำหรับ Turbo R หรือ “R” ได้ถูกพัฒนาขึ้นจากความสำเร็จของ Mulsanne Turbo ด้วยพละกำลังที่มากกว่า และโครงสร้างที่แข็งแกร่งขึ้น แต่ไม่ลดทอนความหรูหรา และสมรรถนะ ทำให้อัครยนตรกรรมรุ่น 1991 Turbo R หมายเลขทะเบียน J101 PKL ถือเป็นอีกหนึ่งอัครยนตรกรรมที่ทำให้ Bentley กลับสู่เส้นทางแห่งความสำเร็จอีกครั้งหนึ่ง

หลังจาก Volkswagen Group ควบกิจการของ Bentley ในปี 2541 ได้มีการดำเนินการทดแทนเครื่องยนต์ V8 ขนาด 4.4 ลิตรของรุ่น Bentley Arnage ด้วยเครื่อง V8 ขนาด 6¾ ลิตรจากรุ่น Continentals 2 ประตู ซึ่งได้ก่อให้เกิดรุ่น Arnage Red Label ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกที่งานมหกรรมยานยนต์ฟรังค์ฟวร์ท ในปี 2542 โดยมอบแรงบิดที่เหนือชั้นกว่า 835 นิวตัน-เมตร ช่วงล่างด้านหน้าได้รับการออกแบบใหม่ และเบรคที่ใหญ่ขึ้น มาพร้อมกับเครื่องยนต์ และตัวถังที่แข็งแกร่งขึ้น ด้วยเฉดสีแดง Fireglow อัครยนตรกรรม Bentley หมายเลขทะเบียน Y662 SEO ถือเป็นจุดเปลี่ยนจุดหนึ่งที่สำคัญในประวัติศาสตร์ของ Bentley

Mike Sayer หัวหน้าฝ่ายรถยนต์คลาสสิค Bentley Motors กล่าวว่า “Bentley กำลังอยู่ระหว่างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ และรวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ 102 ปี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ Beyond100 โดยในขณะที่แบรนด์กำหนดทิศทางใหม่ การจัดทำแผนสำหรับการเดินทางของเราจนถึงปัจจุบัน และที่มาของ Bentleyในอดีตถือเป็นสิ่งสำคัญ คอลเลคชันรถยนต์คลาสสิคที่เพิ่มขึ้นจะมีบทบาทสำคัญในกระบวนการดังกล่าว โดยจะขับเคลื่อนประวัติศาสตร์อันยาวนานของบริษัทในทุกมิติ ซึ่งเราต่างตั้งตารอที่จะแบ่งปันรถยนต์ใหม่กับเพื่อนร่วมงาน ลูกค้า ผู้เยี่ยมชม และสื่อในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้”

เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิสฯ มอบข้อเสนอที่ดีที่สุดในการครอบครอง New Bentayga Hybrid กับราคาเริ่มต้นที่ 13.2 ล้านบาท และ New Flying Spur Hybrid กับราคาเริ่มต้นที่ 14.2 ล้านบาท พร้อมการรับประกันแบทเตอรีไฮบริดนาน 8 ปี หรือ 160,000 กม. (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) การรับประกันจากโรงงานผู้ผลิตฯ พร้อมตัวเลือกสำหรับแผนต่อระยะเวลาการรับประกันจากโรงงานผู้ผลิต (Bentley Extended Warranty) สูงสุด 4 ปี และผู้ช่วยฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง นาน 3 ปีเต็ม