ภาพแห่งความทรงจำเหล่านี้ฝังอยู่ในหัวของผู้ที่ชื่นชอบมอเตอร์สปอร์ตในช่วงปลายยุค 80′ การแข่งรถขึ้นเขา : Pikes Peak ของสหรัฐอเมริกา ในฤดูร้อนปี ค.ศ.1987 นักขับชั้นนำอย่าง Walter Röhrl ขับ Audi Sport quattro S1 (E2) บินข้ามถนนลูกรัง ด้วยความสูงชันของถนนซึ่งทอดตัวขึ้นไปสู่หุบเขาสูง 4,000 เมตร (13,123 ฟุต) เหนือระดับน้ำทะเล การขับที่บ้าระห่ำราวกับจะไม่มีวันพรุ่งนี้ ท่ามกลางอากาศที่เบาบาง ในบางจุดบนเส้นทางไต่ระห่ำ ถนนบนภูเขาจะพารถวิ่งดิ่งลงเนินยาว 1,800 เมตร (5,906 ฟุต) สู่ความว่างเปล่า หรือหุบเหวลึก Röhrl แชมป์แรลลี่ชอบสนามนี้มากเป็นพิเศษ รถ S1 ที่มีเครื่องยนต์ห้าสูบ กำลัง 590 แรงม้า ทะยานไต่ระดับความสูงของรายการแข่งรถขึ้นเขา Pikes Peak ได้อย่างรวดเร็วและว่องไว ผลลัพธ์ก็คือ ตำนานตัวเลข 10:47.850 นาที ด้วยความเร็วสูงสุดของ Audi Sport quattro S1 (E2) ที่ควบคุมพวงมาลัยและคันเร่งโดย Röhrl กับความเร็วเฉลี่ย 196 กม./ชม. (122 ไมล์ต่อชั่วโมง) “มันเป็นจุดสูงสุดของสิ่งที่คุณสามารถทำได้ด้วยรถแรลลี่” Walter Röhrl กล่าว
รถแข่งศักยภาพสูงบวกกับนักขับฝีมือระดับเทพ ช่วยให้เครื่องยนต์ Audi ห้าสูบที่ได้รับรางวัลนับไม่ถ้วนนี้ สามารถบรรลุสถานะสูงสุดของลัทธิ Quattro ได้ Armin Pelzer หัวหน้าฝ่ายพัฒนา ระบบส่งกำลังของ Audi กล่าวว่า “สำหรับผม มันเป็นเครื่องยนต์ที่มีลักษณะเฉพาะ แนวคิดเครื่องยนต์รุ่นอื่น อาจมีข้อได้เปรียบเหนือเครื่องยนต์แบบห้าสูบ แต่ก็ไม่สามารถจับคู่ความแตกต่างที่เป็นของตัวเองได้ทั้งหมด” เสียงของมันคือองค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่ง นั่นคือเสียงคำรามและพลังที่ปลดปล่อยความรู้สึกสนุกสนานออกมาอย่างหมดสิ้น
“รูปแบบเสียงนั้นมีเอกลักษณ์” Marc Füssel ฝ่ายอุณหพลศาสตร์และการพัฒนารถยนต์สมรรถนะสูงของ Audi Sport อธิบาย ภายใต้ฝากระโปรงอะลูมิเนียม ลูกสูบทั้งห้าจะพุ่งขึ้นและผลุบลงในกระบอกสูบอย่างทันท่วงที ด้วยลำดับการจุดระเบิดที่ยากจะลืมเลือน ในตำแหน่ง: 1 – 2 – 4 – 5 – 3 “นั่นแตกต่างจากเครื่องยนต์อื่นอย่างชัดเจนที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ความเร็วรอบเครื่องยนต์สูงขึ้นและโหลดที่หนักกว่า เครื่องห้าสูบของ Audi ไม่ได้ส่งเสียงกรีดร้องขอชีวิตเหมือนรถสี่สูบ” Marc Füssel กล่าว “อ้างอิงจากแรงเฉื่อยอิสระ ในตำแหน่งที่หนึ่งและสอง เครื่องยนต์ห้าสูบทำให้เกิดการทำงานที่ผิดปกติบางอย่าง ซึ่งทำให้เครื่องยนต์มีวิญญาณ มีชีวิตชีวาอย่างกระตือรือร้น และไม่มีวันท่ีจะพบกับความเน่าเปื่อย เมื่อระเบิดพลังงานด้วยการกระชากรอบไปจนเกือบจะถึงรอบเครื่องยนต์สูงสุด!”
แก่นแท้ของ Audi Sport quattro S1 (E2) ที่แฟนๆ Audi ชื่นชม ตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 1980 ก็ไม่เปลี่ยนแปลงนับจากนั้น แม้กระทั่งทุกวันนี้ระยะการจุดระเบิดยังสูงถึง 144 องศา เช่น ใน Audi RS 3 โฉมใหม่ที่มีขายในปัจจุบัน เนื่องจากลำดับการจุดระเบิด กระบอกสูบที่อยู่ติดกันและไม่อยู่ติดกัน จะจุดระเบิดแบบสลับกัน สร้างจังหวะและการทำงานที่เฉพาะเจาะจง กระบอกสูบเลขคี่ สร้างความถี่ฮาร์มอนิกที่มาพร้อมกับอันเดอร์โทนอย่างโหด ชุดควบคุมเครื่องยนต์ยังให้เสียงที่ไม่ผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง ไม่มีการปรับแต่งเสียงผ่านลำโพงแต่อย่างใดทั้งสิ้น ด้วยภาระงานที่หนักหนาสาหัส ลิ้นปีกเปิด-ปิดในท่อไอเสีย ถูกเปิดออกจนสุด เพื่อเสียงคำรามที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งสืบทอดตำนานมาจาก quattro S1
อย่างไรก็ตาม แนวคิดดั้งเดิมที่อยู่เบื้องหลังเครื่องยนต์นั้น ไม่ใช่ลักษณะการทำงานที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ หรือเสียงที่ไม่ผิดเพี้ยน ย้อนกลับไปที่เครื่องยนต์ Otto ห้าสูบรุ่นแรก ที่ขับเคลื่อน Audi 100 (C2) ในปี 1976 แบรนด์ Audi ต้องการที่จะไล่ล่าความสำเร็จของการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ต และก้าวไปสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น เครื่องยนต์สี่สูบที่ถูกเสริมด้วยกระบอกสูบเพิ่มเติมจึงถือกำเนิดขึ้น เพื่อเพิ่มกำลังของเครื่องยนต์ด้วยการเพิ่มลูกสูบอีกหนึ่งตำแหน่ง ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ เครื่องยนต์ห้าสูบ ระบบเชื้อเพลิงไดเรคอินเจคชั่น ความจุ 2.1 ลิตร กำลัง 100 กิโลวัตต์ (136 แรงม้า) ระบบหัวฉีดเชื้อเพลิงที่ทันสมัย เพิ่มประสิทธิภาพสำหรับการถ่ายโอนพลังงาน เมื่อเชื่อมต่อกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ quattro และระบบอัดอากาศเทอร์โบชาร์จเจอร์ เครื่องยนต์ห้าสูบศักยภาพสูงรุ่นนี้ ทำให้ภาพลักษณ์ของบริษัท Audi และความสำเร็จในกีฬามอเตอร์สปอร์ตเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
การเปิดตัว Audi A4 (B5) ในปี 1994 (พ.ศ.2537) ทำให้เครื่องยนต์ห้าสูบต้องกล่าวคำอำลาในแรลลี่ชิงแชมป์โลก Group B อย่างไรก็ตามการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้งเกิดขึ้นในปี 2009 (พ.ศ.2552) เทคโนโลยีระบบอัดอากาศ-เทอร์โบชาร์จ และการฉีดเชื้อเพลิงแบบยิงตรงด้วยน้ำมันเบนซินออกเทนสูง เพื่อประสิทธิภาพที่เหนือชั้นขึ้นไปอีกระดับ การปล่อยมลพิษลดต่ำลง และความจุเครื่องยนต์ถูกขยายเป็น 2.5 ลิตร เพื่อประจำการใน Audi TT RS นับเป็นเครื่องยนต์ห้าสูบตัวแรกของยุคปฏิวัติจักรกล เป็นโครงการสำหรับ VW Jetta ที่ผลิตโดย VW ใน Mexico สำหรับตลาดในสหรัฐฯ Audi ต้องการพัฒนาเครื่องยนต์ดูดอากาศเองที่ทนทาน ส่วน TT RS plus ซึ่ง Audi เปิดตัวในปี 2012 (พ.ศ.2555) นั้นถูกปรับแต่งให้เครื่องมีกำลังสูงถึง 265 kW (360 แรงม้า) มากกว่า 340 แรงม้า ใน TT RS รุ่นก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัด
ใน Audi TT RS รุ่นใหม่ล่าสุดนั้น Pelzer และทีมวิศวกรที่ลงมือพัฒนา ได้ทำการปรับปรุงเครื่องยนต์ 5 สูบขึ้นใหม่ทั้งหมด การกระทำดังกล่าวเกิดขึ้นในปี 2016 เพื่อวัตถุประสงค์เหนือความทะยานอยากทั้งปวง : เครื่องยนต์รุ่นใหม่ต้องให้กำลังมากขึ้น ด้วยน้ำหนักที่ลดลง อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงลดลง การปล่อยมลพิษน้อยลง และมีขนาดที่กระทัดรัดมากยิ่งขึ้น “ในตอนนั้นเราเปลี่ยนไปใช้ห้องข้อเหวี่ยงอะลูมิเนียมเพียงอย่างเดียว ช่วยลดน้ำหนักได้ 18 กิโลกรัม (39.7 ปอนด์) โดยสรุปแล้ว เครื่องยนต์ 2.5 TFSI นั้นเบากว่ารุ่นก่อนถึง 26 กิโลกรัม (57.3 ปอนด์)” Pelzer กล่าว สำหรับรถสปอร์ตที่เครื่องยนต์วางอยู่หน้าเพลาขับหน้า นั่นถือเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับพฤติกรรมการบังคับเลี้ยวและไดนามิกในสนามแข่ง หรือทางโค้ง
“Audi Sport สร้างเพลาลูกเบี้ยวแบบปรับได้ในฝาสูบ สำหรับการทำงานร่วมกับระบบวาล์วแปรผัน นอกจากนี้ยังปรับแต่งการทำงานของปั๊มน้ำในระบบหล่อเย็นใหม่หมด ระบบวาล์วยกของ Audi (AVS) จะแปรผันตามจังหวะของวาล์วทางออก ด้วยวิธีดังกล่าวที่ช่วยลดการสูญเสียของห้องเผาไหม้และช่วยให้ก๊าซไอเสียไหลเข้าสู่เทอร์โบชาร์จเจอร์ได้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงรอบเครื่องที่ต่ำลง ผลลัพธ์ที่ได้คือการตอบสนองแบบไดนามิกและแรงบิดที่เพิ่มขึ้น
มาตรการที่ซับซ้อน ช่วยลดแรงเสียดทานภายในเครื่องยนต์ ในขณะที่เพิ่มกำลังมากกว่าเดิม กระบอกสูบถูกเคลือบด้วยพลาสมา ตลับลูกปืนหลักของเพลาข้อเหวี่ยงมีขนาดเล็กกว่าหกมิลลิเมตร (0.2 นิ้ว) เพลาข้อเหวี่ยงเป็นแบบเจาะกลวง มีน้ำหนักที่เบากว่าหนึ่งกิโลกรัม (2.2 ปอนด์) ในขณะที่ลูกสูบอลูมิเนียมมีช่องสำหรับระบายความร้อนด้วยน้ำมันในตัวของมันเอง
ปัจจุบัน ประวัติศาสตร์ของเครื่องยนต์ห้าสูบ ยังคงดำเนินต่อไปใน Audi RS 3 Sedan และ RS 3 Sportback อีกครั้งที่กระบอกสูบทั้ง 5 ตำแหน่ง ให้ความเพลิดเพลินทางอารมณ์แทบจะไม่แตกต่างไปจาก Quattro S1 ในอดีต Audi Sport ปรับแต่งไดนามิกสำหรับการขับ มีการเพิ่มแรงบิดของเครื่องยนต์ห้าสูบ 2.5 TFSI จาก 450 เป็น 500 นิวตันเมตร ซึ่งอยู่ระหว่าง 2,250 ถึง 5,600 รอบต่อนาที “ด้วยแรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ซึ่งเริ่มต้นที่ความเร็วการหมุนในรอบต่ำ และเป็นเป้าหมายการพัฒนาที่ถูกระบุไว้ในเอกสาร” ฟุสเซลอธิบาย “นั่นคือสิ่งที่คนขับสามารถสัมผัสได้โดยตรง” เป็นเพราะ Audi RS 3 รุ่นใหม่ เร่งความเร็วจากช่วงรอบต่ำได้เร็วกว่าเดิม กำลังสูงสุดของเครื่องยนต์ที่ 294 กิโลวัตต์ (400 แรงม้า) ที่ 5,600 รอบต่อนาที และพุ่งไปถึง 7,000 รอบต่อนาที อย่างง่ายดาย
ตัวเลขนั้นบ่งบอกได้ด้วยตัวเอง: ด้วยระบบควบคุมการออกตัวแบบมาตรฐาน ทำให้ Sportback และซีดาน เร่งความเร็วจากศูนย์ ถึง 100 กม./ชม. ใน 3.8 วินาที ซึ่งเร็วกว่ารุ่นก่อนสามในสิบของวินาที Audi Sport สามารถเพิ่มความเร็วสูงสุด ที่ถูกจำกัดด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ จาก 250 กม./ชม. (155 ไมล์ต่อชั่วโมง) เป็น 280 กม./ชม. (174 ไมล์ต่อชั่วโมง) ด้วยแพ็กเกจเสริม Dynamic แม้จะทำได้ถึง 290 กม./ชม. (180 ไมล์ต่อชั่วโมง) การเร่งความเร็วและความเร็วสูงสุดของ Audi RS 3 จึงเป็นตัวกำหนดมาตรฐานใหม่ในกลุ่มรถสปอร์ตขนาดกะทัดรัด
“สำหรับการพัฒนา มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับโหมดการขับขี่ใหม่” ฟุสเซลกล่าว “ด้วยเหตุนี้ระบบขับเคลื่อนของ Audi RS 3-specific จึงมีสองโหมดสูงสุด เริ่มจากโหมด RS Performance ซึ่งออกแบบมาสำหรับใช้ในสนามแข่ง และโหมด RS Torque Rear ซึ่งเรียกว่า ‘โหมดดริฟต์’ ซึ่งจะถูกใช้ในแอปพลิเคชันตัวควบคุมแรงบิดล้อหลัง” ทั้งสองโหมดเพิ่มความเร็วรอบของเครื่องยนต์ที่สูงขึ้น เมื่อเทียบกับโหมดไดนามิก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานแบบออฟไลน์ การตอบสนองของคันเร่งนั้นตรงไปตรงมา และมีการเปลี่ยนโหลดที่โดดเด่นมาก ยิ่งไปกว่านั้นผู้ขับจะได้สัมผัสกับการเปลี่ยนเกียร์ขึ้นและลงที่ช้ามาก เช่นเดียวกับการควบคุมที่เหมาะสมของ linear accelerator ที่ปลายโค้ง
ในโหมด RS Torque Rear ตัวแยกแรงบิดซึ่งติดตั้งอยู่ใน Audi RS เป็นครั้งแรก ทำให้เกิดอาการโอเวอร์สเตียร์ โดยใส่แรงบิดไปทางด้านหลังถึง 100 เปอร์เซ็นต์ ที่ล้อด้านนอกของโค้ง ทำให้สามารถควบคุมการดริฟต์บนถนนได้ ตรงกันข้ามกับสิ่งนี้ ตัวแยกแรงบิดที่ตัดการส่งกำลังของล้อหน้าออกทั้งหมด ช่วยให้การควบคุมรถเป็นไปอย่างเป็นกลางที่สุดในโหมด RS Performance โดยมีอาการโอเวอร์สเตียร์ที่น้อยหรือมาก เกิดจากการควบคุมคันเร่งและทิศทางของผู้ขับโดยตรง
เนือร์บูร์กริง ฤดูร้อน ปี 2021 Frank Stippler นักแข่งรถและวิศวกรของ Audi Sport กำลังพุ่งทะยานผ่าน “The Green Hell” ด้วยรถ Audi RS 3 รุ่นใหม่ ในตำแหน่งเกียร์สาม ที่สปีดความเร็ว 140 กม./ชม. (87 ไมล์ต่อชั่วโมง) แล้วลดความเร็วเหลือ 80 กม./ชม. (50 ไมล์ต่อชั่วโมง) )ที่เกียร์สอง, ทะยานเข้าโค้ง, เร่งความเร็ว, เสียงยางเสียดสีกับผิวแทรคดังสนั่น ผลลัพธ์ของเครื่องยนต์ห้าสูบใน Audi RS3 Quattro ก็คือ ตัวเลข 7:40.748 นาที ทำสถิติใหม่ด้วยความเร็วสูงสุดในกลุ่มรถสปอร์ตขนาดกะทัดรัด
พื้นฐานสำหรับการบันทึกเวลาในครั้งนี้ก็คือ การทำงานร่วมกันของเทคโนโลยีชั้นนำ ตัวแยกแรงบิดจะกระจายแรงบิดที่ปรับได้อย่างเต็มที่ ระหว่างล้อหลัง-ควบคุมผ่านดิสก์คลัตช์หลายตัวบนเพลาขับแต่ละชุด ระหว่างการขับขี่แบบไดนามิก ระบบขับเคลื่อน Quattro จะเพิ่มแรงบิดของการขับเคลื่อนไปยังล้อหลังด้านนอก ด้วยภาระล้อที่สูงขึ้น ซึ่งหมายความว่าเมื่อเลี้ยวขวาจะมีแรงบิดที่ล้อหลังด้านซ้ายมากกว่า ดังนั้น Audi RS 3 จึงเข้าโค้งได้เร็วขึ้น และติดตามมุมบังคับเลี้ยวได้แม่นยำยิ่งขึ้น
เห็นได้ชัดเมื่อใช้ร่วมกับโหมดการขับ RS Performance ซึ่งมีคุณสมบัติเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังของตัวเอง ได้รับการปรับแต่งสำหรับขับในสนามแข่งโดยเฉพาะ สิ่งนี้ทำให้สามารถเร่งความเร็วก่อนคาบเวลาได้เมื่อทะยานออกจากโค้ง ช่วยให้รอบเวลาต่อรอบของ RS 3 เร็วขึ้นอย่างมาก.
Audi RS 3 Sportback 2.5 TFSI (400 Hp) quattro S tronic | Technical
Brand Audi
Model RS 3
Generation RS 3 Sportback (8Y)
Modification (Engine) 2.5 TFSI (400 Hp) quattro S tronic
Start of production 2021 year
Powertrain Architecture Internal Combustion engine
Body type Hatchback
Seats 5
Doors 5
CO2 emissions 190-201 g/km
Fuel Type Petrol (Gasoline)
Acceleration 0 – 100 km/h 3.8 sec
Acceleration 0 – 62 mph 3.8 sec
Acceleration 0 – 60 mph (Calculated by Auto-Data.net) 3.6 sec
Maximum speed 250 km/h, Electronically limited
155.34 mph
Emission standard Euro 6 d-ISC-FCM
Weight-to-power ratio 3.9 kg/Hp, 254.8 Hp/tonne
Weight-to-torque ratio 3.1 kg/Nm, 318.5 Nm/tonne
Engine specs
Power 400 Hp @ 5,600-7,000 rpm.
Power per litre 161.3 Hp/l
Torque 500 Nm @ 2,250-5,600 rpm.
368.78 lb.-ft. @ 2,250-5,600 rpm.
Engine location Front, Transverse
Engine Model/Code DNW
Engine displacement 2,480 cm3 151.34 cu. in.
Number of cylinders 5
Position of cylinders Inline
Cylinder Bore 82.5 mm 3.25 in.
Piston Stroke 92.8 mm 3.65 in.
Compression ratio 10
Number of valves per cylinder 4
Fuel System Direct injection
Engine aspiration Turbocharger, Intercooler
Valvetrain DOHC
Engine oil capacity 7.1 l 7.5 US qt | 6.25 UK qt
Engine oil specification Log in to see.
Coolant 9.8 l 10.36 US qt | 8.62 UK qt
Engine systems Start & Stop System
Particulate filter
Space, Volume and weights
Kerb Weight 1570 kg
Max. weight 2075 kg
Max load 505 kg
Trunk (boot) space – minimum 282 l
Trunk (boot) space – maximum 1104 l
Fuel tank capacity 55 l
Max. roof load 75 kg
Dimensions
Length 4,389 mm
Width 1,851 mm
Width including mirrors 1,984 mm
Height 1,436 mm
Wheelbase 2,631 mm
Front track 1,592 mm
Rear (Back) track 1,524 mm
Drag coefficient (Cd) 0.34
Minimum turning circle (turning diameter) 12 m
Drivetrain, brakes and suspension specs
Drivetrain Architecture The Internal combustion engine (ICE) permanently drives the four wheels of the vehicle.
Drive wheel All wheel drive (4×4)
Number of gears and type of gearbox 7 gears, automatic transmission S tronic
Front suspension Independent type McPherson
Rear suspension Independent multi-link suspension
Front brakes Ventilated discs, 375×36 mm
Rear brakes Ventilated discs, 310×22 mm
Assisting systems ABS (Anti-lock braking system)
Steering type Steering rack and pinion
Power steering Electric Steering
Tires size Front wheel tires: 245/35 R19
Rear wheel tires: 265/30 R19
Wheel rims size Front wheel rims: 8J x 19
Rear wheel rims: 9J x 19