10 รถยนต์เด่นแห่งปี 2022



ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่เมื่อเข้าสู่ช่วงปลายปีจะต้องมีการสรุปความเคลื่อนไหว และสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดทั้งปีนั้นๆ ให้ได้รับทราบกัน แน่นอนว่าในปี 2022 ถือเป็นปีที่วิกฤตหลายอย่างคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น และงานมอเตอร์โชว์ระดับโลกบางรายการสามารถกลับมาจัดได้อีกครั้งหลังจากที่เจอการแพร่ระบาดของโควิด-19 จนทำให้ต้องหยุดการจัดงานไปร่วมๆ 2 ปี ขณะเดียวกันตลาดรถยนต์ก็เริ่มกลับมาคึกคักกันอีกครั้งกับรถยนต์ใหม่ๆ ที่เปิดตัวออกมาอย่างมากมาย ทั้งรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน และขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าแบบ BEV หรือ Battery Electric Vehicle

มาดูกันว่ารถยนต์ใหม่ทั้ง 10 รุ่นที่น่าสนใจที่ถูกเปิดตัวในปีนี้มีรุ่นอะไรบ้าง



1.Ford Mustang : โมเดลเชนจ์และเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 7 ของ Mustang นับจากการเปิดตัวออกสู่ตลาดครั้งแรกในปี 1965 โดยรุ่นนี้จะเข้ามาแทนที่รุ่นที่ 6 ซึ่งเปิดตัวทำตลาดมาตั้งแต่ปี 2015 และรุ่นนี้มีจำหน่ายในบ้านเราอย่างเป็นทางการด้วย

สำหรับรุ่นใหม่เปิดตัวในงาน Detroit Motorshow 2022 มีทั้งตัวถังคูเป้และเปิดประทุนขับเคลื่อนด้วย 2 ทางเลือกของเครื่องยนต์กับรุ่น 4 สูบ 2,300 ซีซีเทอร์โบ EcoBoost ที่ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมด และรุ่น GT ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังวี8 5,000 ซีซี ซึ่งจะจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ หรือจะเลือกสัมผัสกับเกียร์ธรรมดาก็ยังมีจำหน่าย พร้อมระบบขับเคลื่อนล้อหลัง และระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ในแบบกึ่งอัตโนมัติอย่าง CoPilot360 ที่เป็นเวอร์ชันใหม่ โดยในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ มาพร้อมโหมดการขับขี่ที่ปรับได้ถึง 6 โหมด คือ โหมดปกติ โหมดสปอร์ต โหมดถนนลื่น โหมดแข่งทางตรง (แดรก) โหมดแทร็ก และโหมดสุดท้ายที่บันทึกการตั้งค่าส่วนตัวได้ จากความสามารถในการปรับแต่งรูปแบบส่วนตัวได้ถึง 6 สไตล์



2.Volkswagen ID.Buzz : ในที่สุดรถตู้หัวแตงโมงของค่าย Volkswagen ที่โด่งดังในช่วงทศวรรษที่ 1950 ก็กลับมาอีกครั้งในรูปแบบของงานรีเมคและอัพเกรดความสามารถในการขับเคลื่อน โดยจะมาในแบบไฟฟ้า หรือ BEV

สำหรับมิติตัวถังของรถตู้ไฟฟ้า คันนี้ มากับความยาว 4,712 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,985 มิลลิเมตร ความสูง 1,938 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,988 มิลลิเมตร ขณะที่เก็บสัมภาระด้านท้ายสามารถบรรจุได้ 1,121 – 2,205 ลิตรขึ้นอยู่กับการพับเบาะ ซึ่งจะมีทั้งรุ่น 5 และ 7 ที่นั่งให้เลือกใช้งาน ขุมพลังเป็นมอเตอร์ไฟฟ้า AC Single Synchronous Electric Motor 204 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 310 นิวตันเมตร แบตเตอรี่ขนาด 77 kWh ติดตั้งอยู่ที่พื้นตัวถังรถ



3.Honda Civic Type R : ต้นไตรมาสที่ 2 เปิดตัว Honda เขย่าตลาดทั่วโลกรวมถึงเมืองไทยมาครั้งหนึ่งแล้วกับการเปิดตัว Civic Hybrid แบบ e:HEV ออกมา แต่ก็ยังไม่เร้าใจเท่ากับผลผลิตใหม่ที่ตามออกมาในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมากับเวอร์ชัน Type R

ตัวรถมากับตัวถังแฮทช์แบ็กพร้อมติดตั้งขุมพลังเบนซิน 4 สูบ เทอร์โบชาร์จ รหัส K20C1 ความจุ 2,000 ซีซี กำลังสูงสุด 315 แรงม้า ที่ 6,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 420 นิวตัน-เมตร (310 ปอนด์-ฟุต) ที่ 2,600 – 4,000 รอบต่อนาที ระบบส่งกำลังของเป็นเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ที่มีการเปลี่ยนฟลายวีลให้มีน้ำหนักเบาลง พร้อมทั้งปรับปรุงการทำงานของระบบ Rev-match เพื่อให้การลดเกียร์ทำได้อย่างสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ทั้งยังเป็นการช่วยเพิ่มเสถียรภาพในขณะเข้าโค้งได้อีกด้วย มาพร้อมกับระบบเฟืองท้ายลิมิเต็ดสลิปแบบ Helical-type เพื่อถ่ายทอดกำลังจากเครื่องยนต์ลงสู่พื้นถนนได้อย่างเต็มกำลัง



4.BMW X1 : เจนเนอเรชั่นที่ 3 ของรถยนต์แอเนกประสงค์ไซส์เล็กของแบรนด์ BMW มากับรหัสตัวถัง U11 พร้อมความเปลี่ยนแปลงทั้งในเรื่องของดีไซน์ที่ดูสวยและสปอร์ตขึ้น เช่นเดียวกับทางเลือกของขุมพลังที่ใช้ในการขับเคลื่อน เพราะจะเป็นครั้งแรกที่ค่ายใบพัดสีฟ้าเปิดตัวรุ่น BEV ออกมาในชื่อ iX1 ด้วย

สำหรับรุ่นเบนซินเป็นแบบ Mild Hybrid รหัส X1 sDrive18i เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 3 สูบ กำลังสูงสุด 136 แรงม้า ตามด้วย X1 xDrive23i ที่ทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์เบนซินที่มีกำลังสูงสุด 204 แรงม้า และมอเตอร์ไฟฟ้า 19 แรงม้า ส่งผลให้มีกำลังสูงสุดรวมทั้งระบบอยู่ที่ 218 แรงม้า ส่วนดีเซลเป็นรุ่น X1 sDrive18d ที่ใช้ขุมพลังแบบ 4 สูบ กำลังสูงสุด 150 แรงม้า และ X1 xDrive23d ที่ทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์ดีเซลกำลังสูงสุด 197 แรงม้า และมอเตอร์ไฟฟ้า 19 แรงม้า ให้กำลังสูงสุดรวมทั้งระบบ 211 แรงม้า

แต่ถ้าต้องการทางเลือกของขุมพลังแบบใหม่ก็จะมีทั้งแบบ Plug-in ในรหัส X1 xDrive30e ที่อาศัยเทคโนโลยี BMW eDrive เจเนอเรชันที่ 5 พร้อมด้วยเครื่องยนต์เบนซินและดีเซลที่มีเทคโนโลยี Mild-hybrid 48V ที่ช่วยเสริมการทำงานของเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีดเพื่อลดอัตราสิ้นเปลืองและช่วยให้ส่งกำลังได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ปิดท้ายด้วยรุ่น iX1 xDrive30 ขุมพลังไฟฟ้าล้วน ซึ่งขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าจำนวน 2 ตัว ให้กำลังสูงสุด 313 แรงม้า (รวมพละกำลังที่ได้จากระบบบูสต์) แรงบิดสูงสุด 494 นิวตัน-เมตร สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 5.7 วินาที ให้ระยะทางขับขี่ประมาณ 413 – 438 กิโลเมตรต่อการชาร์จแต่ละครั้ง



5.Toyota Prius : เจนเนอเรชั่นที่ 5 ของรถยนต์ไฮบริดรุ่นแรกของโลก (ที่เปิดตัวในปี 1997) เผยโฉมออกมาแล้ว พร้อมกับความเปลี่ยนแปลงในแง่ดีไซน์ที่พลิกโฉมมาสู่ความสวยและความสปอร์ตอย่างเต็มพิกัด โดยรุ่นใหม่นี้มีขุมพลังให้เลือกทั้งแบบไฮบริด 1,800 และ 2,000 ซีซี รวมถึงแบบ Plug-in Hybrid แบบ 2,000 ซีซี พร้อมแบตเตอรี่วิ่งไฟฟ้าล้วนไกลขึ้น 50%

ตัวรถถูกพัฒนาขึ้นบนแพล็ตฟอร์ม TNGA เจเนอเรชันที่ 2 ที่ออกแบบให้มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำและรองรับล้อขนาดใหญ่ได้ ทั้งยังมีการเพิ่มความแข็งแรงของโครงสร้างตัวถังและประสิทธิภาพการเก็บเสียงให้ดียิ่งขึ้น โดยโตโยต้าระบุว่า พรีอุส ใหม่ ใช้แนวทางการออกแบบที่เรียกว่า “Hybrid Reborn” รูปลักษณ์ด้านหน้าถูกออกแบบให้มีลักษณะคล้ายกับฉลามหัวค้อน ซึ่งโตโยต้าระบุว่าเป็นการออกแบบที่ลงตัวทั้งประสิทธิภาพการใช้งานและความสวยงาม ติดตั้งไฟหน้าที่ถูกออกแบบให้เป็นรูปตัวซี และไฟท้ายดีไซน์ตรงยาวเชื่อมเข้าหากันทั้งสองข้าง ขณะที่ตัวถังยังคงไว้ซึ่งดีไซน์แบบฟาสต์แบ็ก 5 ประตู เพื่อเพิ่มความลู่ลมเป็นพิเศษ

ขุมพลังมีให้เลือกทั้งขุมพลังไฮบริดแบบ Series Parallel Hybrid ขนาดความจุ 1,800 และ 2,000 ซีซี มีกำลังสูงสุดรวมทั้งระบบสูงถึง 193 แรงม้า ตอบสนองต่อผู้ขับขี่ แต่ยังคงไว้ซึ่งความประหยัดน้ำมันเช่นเดิม ทั้งยังมาพร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ E-Four เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่บนพื้นผิวที่มีความเปียกลื่น เช่น ถนนที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ และยังช่วยเพิ่มเสถียรภาพขณะเข้าโค้งอีกด้วย

อีกรุ่นเป็นเครื่องยนต์ปลั๊กอินไฮบริดขนาด 2,000 ซีซี ที่ทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน Dynamic Force และแบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไอออน ให้กำลังสูงสุดเพิ่มขึ้นจากเดิมเป็น 223 แรงม้า (PS) แต่ยังคงไว้ซึ่งอัตราสิ้นเปลืองในระดับเดียวกับรุ่นก่อนหน้า สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 6.7 วินาที และเพิ่มระยะทางขับขี่ด้วยไฟฟ้าขึ้นอีก 50% เพียงพอต่อการใช้งานในชีวิตประจำวันของคนส่วนใหญ่โดยไม่จำเป็นต้องใช้น้ำมัน



6.Porsche 911 Dakar : เปิดตัวในงาน Los Angeles Auto Show 2022 และผลิตเพียง 2,500 คันเพื่อระลึกถคงการเข้าร่วมรายการแรลลี่สุดโหดอย่าง Paris-Dakar Rally ปี 1984 ซึ่งถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ all-wheel drive ในรถสปอร์ตปอร์เช่ 911 ในเวลาต่อมา

ตัวรถถูกปรับระดับความสูงเพิ่มขึ้น 50 มิลลิเมตรจาก 911 Carrera พร้อมติดตั้งช่วงล่างแบบสปอร์ต ด้วยระบบ Lift System ยังสามารถสั่งการยกความสูงทั้งด้านหน้า และด้านหลังเพิ่มขึ้นอีก 30 มิลลิเมตร ขับเคลื่อนเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบ 3,000 ซีซี เทอร์โบคู่ 480 แรงม้า มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 3.4 วินาที ความเร็วสูงสุดจำกัดไว้ที่ 240 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เนื่องจากการใช้ยางแบบ all-terrain

นอกจากนี้เพื่อความพิเศษที่เหมือนกับคันดั้งเดิม ลูกค้ายังสามารถสั่งติดตั้งอุปกรณ์ตกแต่ง Rallye Design Package แนวทางเดียวกับรถแข่งแรลลี่ตัวแรงอันเป็นเอกลักษณ์ได้อีกด้วย



7.MG 4 EV : เก๋งแฮทช์แบ็คขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้ารุ่นใหม่จากค่าย MG ถูกพัฒนาขึ้นบนแพล็ตฟอร์ม MSP (Modular Scalable Platform) ที่พัฒนาโดยเครือ SAIC Motor พร้อมจำหน่ายด้วยกัน 3 รุ่นเริ่มต้นที่ Standard ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 170 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 7.7 วินาที จำกัดความเร็วสูงสุดไว้ที่ 160 กม./ชม. พร้อมแบตเตอรี่ Lithium iron phosphate ความจุ 51 kWh สามารถขับขี่ได้เป็นระยะทางราว 350 กิโลเมตรต่อการชาร์จแต่ละครั้ง (ตามมาตรฐานการทดสอบ WLTP) รองรับการชาร์จด่วน (DC) ด้วยกำลังไฟสูงสุด 117 kW สามารถชาร์จจาก 10-80% ในเวลา 40 นาที

ส่วนรุ่น Comfort และ Luxury ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 204 แรงม้า ให้แรงบิดเท่ากันอยู่ที่ 250 นิวตัน-เมตร แต่มีอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ช้ากว่ารุ่น Standard เล็กน้อยอยู่ที่ 7.9 วินาที และถูกจำกัดความเร็วไว้ที่ 160 กม./ชม. เช่นเดียวกัน ขณะที่แบตเตอรี่มีขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 64 kWh สามารถขับขี่ได้เป็นระยะทางไกลสุด 450 กิโลเมตรในรุ่น Comfort (และ 435 กิโลเมตรในรุ่น Luxury) รองรับการชาร์จด่วนด้วยกำลังไฟสูงสุด 135 kW ช่วยลดระยะเวลาชาร์จไฟจาก 10-80% เหลือราว 35 นาที หรือชาร์จเป็นเวลา 32 นาที เพื่อให้ได้ระยะทางขับขี่ประมาณ 300 กิโลเมตร



8.Honda Accord : เผยโฉมออกมาแล้วสำหรับเจนเนอเรชั่นที่ 11 ของรถยนต์ในกลุ่ม D-Segment ยอดนิยมของ Honda ร้อมรูปลักษณ์ภายนอกที่ถูกออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมด เน้นความเรียบหรูมากขึ้นกว่าโฉมปัจจุบันอย่างเห็นได้ชัดเจน โดยตัวถังของของ แอคคอร์ด ใหม่ ยังมีความยาวเพิ่มขึ้นจากรุ่นปัจจุบัน 2.8 นิ้ว (ประมาณ 71 มิลลิเมตร) และเพิ่มระยะห่างระหว่างล้อคู่หลังขึ้นอีก 0.4 นิ้ว (ประมาณ 10 มิลลิเมตร) เพื่อช่วยให้ตัวรถดูกว้างและมั่นคงมากยิ่งขึ้น มีล้ออัลลอยให้เลือกทั้งขนาด 17 นิ้ว ในรุ่นเริ่มต้นไปจนถึงรุ่นกลาง และเพิ่มขนาดเป็น 19 นิ้ว ในรุ่นกลางไปจนถึงรุ่นท็อปสุด

ที่เห็นอยู่นี้เป็นสเป็กอเมริกัน มากับเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 4 สูบ ขนาด 1,500 ซีซี กำลังสูงสุด 192 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 260 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT และเครื่องยนต์ไฮบริดที่ทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน Atkinson-cycle ขนาด 2,000 ซีซี และมอเตอร์ไฟฟ้าจำนวน 2 ตัว ให้กำลังรวมสูงสุด 204 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 335 นิวตัน-เมตร มีโหมดการขับขี่ให้เลือก 4 โหมด คือ ECON, Normal, Sport และ Individual (รุ่นเทอร์โบมีเฉพาะ ECON และ Normal เท่านั้น)



9.Mercedes-Benz EQE SUV : ผลผลิตใหม่ในแบบ SUV ที่แชร์พื้นฐานมาจากรถยนต์ระดับหรูขนาดกลางอย่าง E-Class โดยตัวรถมีขนาดมิติตัวถัง ยาว 4,863 มิลลิเมตร กว้าง 1,940 มิลลิเมตร สูง 1,686 มิลลิเมตร และ ระยะฐานล้อ 3,030 มิลลิเมตร ที่เก็บสัมภาระด้านท้าย ขนาด 580 – 1,675 ลิตร (เมื่อพับเบาะหลัง)

มีจำหน่ายด้วยกัน 4 รุ่น คือ EQE 350+ มอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยว 292 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 565 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนล้อหลัง RWD แบตเตอรี่ ลิเธียมไอออนขนาดความจุ 90.6 kWh ระยะทางวิ่งสูงสุด 590 กม. (WLTP) ตามด้วย EQE 350 4MATIC มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ กำลังสูงสุด 292 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 765 นิวตันเมตร ขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาดความจุ 90.6 kWh วิ่งระยะทางสูงสุด 558 กม. (WLTP)

รุ่น EQE 500 4MATIC มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ กำลังสูงสุด 408 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 858 นิวตันเมตร ขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาดความจุ 90.6 kWh วิ่งระยะทางสูงสุด 547 กม. (WLTP) และปิดท้ายด้วยรุ่น MG EQE 53 4MATIC+ with AMG DYNAMIC PLUS PACKAGE มอเตอร์ไฟฟ้า Permanently Excited Synchronous Motors (PSM) 400V กำลังสูงสุด 687 แรงม้าสูงสุด แรงบิด 1,000 นิวตันเมตร ขับเคลื่อน 4 ล้อ Fully Variable all-wheel drive AMG Performance 4MATIC+ แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาดความจุ 90.6 kWh วิ่งระยะทางสูงสุด 470 กม. (WLTP) อัตราเร่ง 0-100 km/h ใน 3.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 240 กิโลเมตร/ชั่วโมง



10.Ferrari Purosungue : รถยนต์ในสไตล์ SUV รุ่นแรกของ Ferrari เปิดตัวออกมาแล้ว พร้อมกับความสปอร์ตเต็มพิกัดบนตัวถังแบบ 5 ประตูที่ถูกสร้างสรรค์ได้อย่างสวยสปอร์ตและโฉบเฉี่ยว มาพร้อมตัวถังที่มีความยาว 4,973 มิลลิ เมตร และระยะฐานล้อ 3,018 มิลลิเมตร สำหรับชื่อรุ่น Purosangue ในภาษาอิตาลีหมายถึง เลือดบริสุทธิ์

ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์แบบวางด้านหน้า เป็นบล็อกวี12 ทวินแคม 48 วาล์ว ที่มีความจุ 6,500 ซีซี มีกำลังสูงสุด 725 แรงม้า ที่ 7,750 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 716 นิวตันเมตร ที่ 6,250 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Dual Clutch 8 จังหวะ F1 DCT ขับเคลื่อน 4 ล้อ