เปิดบทสัมภาษณ์ “ฟรานเชสโก้ สกาดาโอนิ” “ลัมโบร์กินี จะสร้างEVที่ดีที่สุด” – ผู้จัดการออนไลน์

“เราจะทำรถยนต์ไฟฟ้า โดยคง DNAของลัมโบร์กินีเอาไว้ให้ได้” คำกล่าวของ ฟรานเชสโก้ สกาดาโอนิ ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก บริษัท ออโตโมบิลี ลัมโบร์กินี ภายในงานร่วมสัมภาษณ์กลุ่มของสื่อมวลชนจากประเทศไทย พร้อมเปิดเผยถึงข้อมูลความสำเร็จด้านยอดขายของ ลัมโบร์กินี ในปีที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าทุบสถิติตลอดกาล รวมถึงทิศทางของการพัฒนารถยนต์ในยุคต่อไปของ ลัมโบร์กินี ที่จะไม่มีเครื่องยนต์อีกต่อไป

ฟรานเชสโก้ สกาดาโอนิ ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก บริษัท ออโตโมบิลี ลัมโบร์กินี

ยอดขายของปี2564 เป็นอย่างไรบ้าง?

ย้อนกลับไป ปี 2556-2562 ลัมโบร์กินีทำสถิติยอดขายดีขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอด 6 ปี จะเห็นได้ว่าลัมโบร์กินี ไม่เคยหยุดนิ่ง ไม่เคยหลับใหล แม้ทั่วโลกได้รับผลกระทบอย่างหนักเมื่อปี 2563 แต่ลัมโบร์กินีตอบสนองทันที โดยมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ดีลเลอร์ของเราทั่วโลก รวมถึงมีการเปิดตัวรถใหม่



ท่ามกลางสถานการณ์ในปีนั้น ลัมโบร์กินี ลงทุนด้านผลิตภัณฑ์ตามปกติ สามารถเปิดตัวรถใหม่ 4 รุ่น โดยใช้กลยุทธ์การสื่อสารและนำเสนอที่แตกต่างกัน รวมถึง การเปิดให้ลูกค้าเลือกอุปกรณ์ของรถได้อย่างอิสระและการเปิดตัวรถด้วยเทคโนโลยีโลกเสมือนจริงอย่าง AR ทำให้ลัมโบร์กินียังคงอยู่ใกล้ชิดลูกค้าอย่างต่อเนื่อง



ในปี 2564 ลัมโบร์กินีได้สร้างสถิติครั้งใหม่ มียอดส่งมอบทั่วโลกเป็นจำนวนมากที่สุด 8,405 คัน และเฉพาะภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีการส่งมอบรถยนต์ 2,249 คัน ถือเป็นสถิติระดับโลกครั้งใหม่ 
โดยแบ่งเป็นประเภทรถ SUV ประมาณ 60% และเป็นรถซูเปอร์สปอร์ต 40%



ยอดขายของลัมโบร์กินีในประเทศไทย

สำหรับเอเชียแปซิฟิก ประเทศจีน ไทย เกาหลี และอินเดียทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ซึ่งประเทศไทย สามารถสร้างสถิติส่งมอบรถลัมโบร์กินีได้ถึง 75 คัน โดยแบ่งเป็น Urus ราว 30% และ 70 % เป็นรถซูเปอร์สปอร์ต ซึ่งลูกค้าในประเทศไทยส่วนใหญ่มองว่า SUV เป็นรถซูเปอร์สปอร์ตที่มีความสะดวกสบาย

Lamborghini Countach

ปีที่แล้วประเทศไทยมียอดจองรถรุ่นพิเศษได้แก่ รถลิมิเต็ดเอดิชั่นอย่าง Countach และ Essenza SCV12 เรารู้สึกยินดีที่ประเทศไทยมีกลุ่มลูกค้าที่หลงใหลในมอเตอร์สปอร์ต ซึ่ง Essenza SCV12 เป็นรถไฮเปอร์คาร์รุ่นพิเศษที่่วิ่งในสนามแข่งโดยเฉพาะ เรามีความสุขและภูมิใจที่มีลูกค้าคนไทยเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของรถไฮเปอร์คาร์ Lamborghini

Lamborghini Essenza SCV12

อภิชาติ ลีนุตพงษ์ (ซ้าย) ประธานกรรมการ บริษัท เรนาสโซ มอเตอร์ จำกัด

ปัจจัยที่ทำให้ประสบความสำเร็จ

ประเทศไทยมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง จากการดำเนินงานของ Renazzo Motor ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ลัมโบร์กินีอย่างเป็นทางการรายเดียวในประเทศไทย นี่คือพันธมิตรที่แข็งแกร่งที่สุดในตลาดและสร้างผลงานอันโดดเด่นได้อย่างรวดเร็ว

ประเทศไทยสร้างสถิติยอดขายปี 2564 ใหม่ และกลายเป็นประเทศที่ติดหนึ่งในสิบยอดขายอันดับสูงสุดของเอเชียแปซิฟิก ซึ่งมาจากปัจจัยสำคัญคือ 1. เป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ลัมโบร์กินีอย่างเป็นทางการรายเดียวในประเทศไทย 2.โมเดลรถ Urus, Huracan, Aventador ได้รับความนิยมอย่างสูงในประเทศไทย รวมถึงรถ Limited Edition ก็ได้รับการตอบรับที่ดี และ 3.กลยุทธ์ทางการตลาด กิจกรรมดิจิทัลและงานต่างๆ จาก Renazzo ที่ย้ำให้เห็นว่า ลัมโบร์กินี ไม่เคยหยุดนิ่ง



กลยุทธ์ในการขยายกลุ่มลูกค้า

ลัมโบร์กินี เป็นแบรนด์สำหรับคนรุ่นใหม่ มีฐานลูกค้าอายุน้อยเช่นเดียวกับในประเทศไทย ลูกค้ากลุ่มนี้จึงไม่ใช่เทรนด์ใหม่ เราเคยชินกับการมีสมาชิกอายุน้อยในครอบครัวของเรา ซึ่งสอดคล้องกับตัวรถและสินค้าของลัมโบร์กินี รวมถึงกลยุทธ์ทางการตลาดและกิจกรรมต่างๆด้วยเช่นเดียวกัน

นับตั้งแต่เปิดตัว Urus ผู้ซื้อโดยเฉลี่ย 70% เป็นผู้ที่ซื้อลัมโบร์กินี คันแรก โดยรถ Urus เปิดโลกทัศน์สู่ลูกค้ากลุ่มผู้ใหญ่ กลุ่มที่มีสมาชิกในครอบครัว รวมถึงผู้ประกอบการที่ไม่เคยนึกถึงลัมโบร์กินี มาก่อน ด้วยเหตุผลคือ Urus มีความสะดวกสบาย เป็นการสร้างฐานลูกค้าที่มีความหลากหลายมากขึ้น ตั้งแต่คนอายุน้อยไปจนถึงรุ่นผู้ใหญ่ เรามีความภาคภูมิใจที่ทำให้คนสองกลุ่มได้เข้ามาอยู่ร่วมกัน



ปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วน



ปัจจุบัน ลัมโบร์กินี ไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ จากปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนต่าง ๆ จากผู้ผลิตชิ้นส่วน เราได้จัดตั้งหน่วยปฏิบัติการเฉพาะกิจเมื่อสองปีก่อน การจัดซื้อทำงานร่วมกับผู้ผลิตชิ้นส่วนในแผนการผลิตระยะยาว ไม่เพียงแค่ปีหน้าแต่เป็นแผนห้าปีข้างหน้า เพื่อให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนเตรียมพร้อมอย่างมีประสิทธิภาพ




สำหรับการผลิตในปี 2565 ได้รับการรับประกันอย่างดีจากผู้ผลิตชิ้นส่วนที่จะจัดหาเซมิคอนดักเตอร์ โดยปัจจุบันยืนยันว่า ลัมโบร์กินีไม่มีปัญหาหรือวิกฤตใด ๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อการผลิตในปีนี้ ดังนั้นมั่นใจได้ว่าเราอยู่บนเส้นทางที่มีความมั่นคง

สเตฟาน วิงเคิลมันน์ ประธานและซีอีโอของลัมโบร์กินี

การทำรถยนต์ไฟฟ้า BEV และเครื่องยนต์ V12Hybrid



ปีที่แล้ว สเตฟาน วิงเคิลมันน์ ประธานและซีอีโอของลัมโบร์กินี ประกาศทิศทาง “Direzione Cor Tauri” แผนงานการปูทางไปสู่รถยนต์พลังงานไฟฟ้าของ ลัมโบร์กินีจะประกอบด้วยสามช่วง ได้แก่




ระยะที่ 1: การพัฒนาของเครื่องยนต์สันดาป (ปี 2564-2565) เรากำลังอยู่ในช่วงแรก ระยะนี้จะยังคงพัฒนาเครื่องยนต์สันดาปสำหรับรุ่นที่แสดงถึงประวัติศาสตร์อันรุ่งโรจน์ของแบรนด์และผลิตภัณฑ์อันเป็นสัญลักษณ์ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ภายใต้จิตวิญญาณที่ทำให้ลัมโบร์กินีแตกต่าง

เครื่องยนต์ V12 ไร้ระบบอัดอากาศ

ระยะที่ 2: การพัฒนาไปสู่ระบบไฮบริด (ภายในปี 2568)จะเริ่มต้นจาก Aventador ตามมาด้วย Urus และ Huracan จะเป็นระบบไฮบริดแบบใหม่ที่ออกแบบโดย ลัมโบร์กินี ในช่วงการเปลี่ยนแปลงพัฒนาสู่เทคโนโลยีใหม่นี้ เราจะยังคงมุ่งเน้นไปที่สมรรถนะและประสบการณ์การขับขี่ มีเป้าหมายคือการลดการปล่อยก๊าซ CO2 จากรถลัมโบร์กินีลง 50% ภายในต้นปี 2568



การเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงพัฒนาสู่รถไฮบริด เป็นการลงทุนครั้งใหญ่ มีการจัดสรรงบประมาณมากกว่า 1,500ล้านยูโรตลอด4ปี(ราว60,000 ล้านบาท) ซึ่งสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของลัมโบร์กินี นโยบายดังกล่าวสะท้อนถึงความรับผิดชอบและความทุ่มเทของแบรนด์ในการสร้างสรรค์นวัตกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่อุตสาหกรรมยานยนต์กำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงอันเนื่องมาจากการใช้พลังงานไฟฟ้า




จากคำแถลงการณ์ของสเตฟาน วิงเคิลมันน์ เครื่องยนต์ V12 NA ตำนานเครื่องยนต์ใหญ่ที่สุดของเรา จะเป็นผลงานชิ้นเอกทางด้านอารมณ์ที่ผสมผสานเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังไฟฟ้า ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มสูงขึ้น และมีการปล่อย CO2 ลดลงสอดคล้องกับมาตรฐานใหม่ทั่วโลก



ระยะที่ 3: ลัมโบร์กินี ไฟฟ้าเต็มรูปแบบคันแรก (เริ่มปี 2569) ลัมโบร์กินีจะก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนแปลง ไลน์ผลิตครั้งใหญ่ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงสู่โมเดลที่ 4 และเป็นรถไฟฟ้าเต็มรูปแบบ



ตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป จะเป็นการทุ่มเทให้กับรถยนต์ลัมโบร์กินีที่ใช้พลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ หัวใจและความสำคัญของ Direzione Cor Tauri คือ การผสมผสาน DNA ของแบรนด์กับนวัตกรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งเน้นการตอบสนองด้านอารมณ์ โดยอยู่ภายใต้ข้อกำหนดของมาตรฐานไอเสียที่เข้มงวดขึ้น ถือเป็นการก้าวสู่การเดินทางอันท้าทายครั้งใหม่ของลัมโบร์กินี

Lamborghini Urus

ทำอย่างไรให้ลูกค้ายังเชื่อมั่นในรถลัมโบร์กินีไฟฟ้า



นี่คือความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของลัมโบร์กินี เราต้องแน่ใจว่าเมื่อลูกค้านั่งอยู่ในรถไฟฟ้า แม้กระทั่งผูกผ้าปิดตาเอาไว้ ลูกค้าจะรู้สึกได้ทันทีว่าอยู่ในรถลัมโบร์กินี โดยต้องคงไว้ซึ่ง DNA ที่ดีที่สุด สมรรถนะความเร็วสูงสุดต้องมีอยู่ในรถยนต์ไฟฟ้าของเรา การเริ่มต้นและพัฒนายังมีความเป็นไปได้มากมายหลายรูปแบบ




ลัมโบร์กินีพูดเสมอว่าเราไม่ต้องการเป็นแบรนด์แรกที่ก้าวเข้าสู่ EV แต่เราต้องการ สร้างรถEVที่ดีที่สุด นี่คือเหตุผลที่ไทม์ไลน์ของลัมโบร์กินีคือปี 2569 เราต้องการสร้างรถยนต์ที่ดีที่สุดโดยใช้เทคโนโลยีไฟฟ้าที่ยังคงพัฒนาอยู่ มันคือความท้าทาย ในการคงเอกลักษณ์ DNA ของลัมโบร์กินี เอาไว้ให้ได้




เรามั่นใจว่าลูกค้าจะสนุกไปกับการขับรถรุ่นต่างๆ ที่มีความหลากหลายของลัมโบร์กินี รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าด้วย แน่นอนว่า เรามักจะเผชิญกับความท้าทายเสมอแต่เรายังคงมุ่งมั่นและยืนยันว่าจะสร้างรถยนต์ที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าทุกคน



กลยุทธ์และเป้าหมายของปีนี้



กลยุทธ์หลักคือ สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า และสร้างชุมชนให้กลุ่มลูกค้าของลัมโบร์กินี ด้วยกิจกรรมการตลาดทั้ง Driving Experience, Lamborghini Night เพื่อให้เขารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์ สิ่งที่เราให้ความสำคัญคือการทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ นี่คือสิ่งที่เราต้องการ




เราอยากให้ลูกค้ามีแบรนด์ลัมโบร์กินีอยู่ในใจ และมีความสุขกับการเดินทางไปกับลัมโบร์กินี โดยเริ่มต้นด้วยการให้ลูกค้าสามารถเลือกอุปกรณ์ต่างๆได้เอง รวมถึงระหว่างรอรับรถและส่งมอบรถให้ลูกค้าจะมีกิจกรรมที่เชื่อมความสัมพันธ์ให้แนบแน่นต่อเนื่อง



Renazzo Motor เป็นต้นแบบของการส่งมอบรถให้ลูกค้าได้อย่างยอดเยี่ยม โดยสร้างสรรค์การส่งมอบที่น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับลูกค้า รวมไปถึงการมอบการบริการหลังการขายอันยอดเยี่ยมให้กับเจ้าของรถลัมโบร์กินีทุกคัน เราสร้างความสุขให้กับลูกค้าทุกวันด้วยประสบการณ์เอ็กซ์คลูซีฟจากลัมโบร์กินี



เหนือสิ่งอื่นใด สำหรับลัมโบร์กินี คือ ต้องทำให้ดีกว่าที่ผ่านมา ดังนั้นเป้าหมายปีนี้จึงเป็นการสร้างสถิติยอดขายใหม่ โดยประเทศไทยเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของความสำเร็จในการสร้างสถิติอีกปีของลัมโบร์กินี