‘อีวี ไพรมัส’ ส่ง ‘VOLT’ แบรนด์อีวีน้องใหม่จับตลาด ‘อีโคคาร์’ ราคาเริ่มต้น 3.2 แสนบาท

หากพูดถึงนามสกุล ธนาดำรงศักดิ์ วงการรถยนต์น่าจะคุ้นเคยกับ บมจ.ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ หรือ FPI เพราะเป็นผู้คว่ำวอดในตลาดอะไหล่รถยนต์มานานกว่า 50 ปี ล่าสุด พิทยา ธนาดำรงศักดิ์ หลานชายของ สมพล ธนาดำรงศักดิ์ ก็ได้รุกตลาดรถอีวีไทยที่กำลังเติบโตผ่านบริษัท อีวี ไพรมัส จำกัด โดยจะเจาะไปที่กลุ่ม อีโคคาร์ ที่ยังไม่มีแบรนด์ใหญ่ ๆ เข้ามาทำตลาด

ส่ง VOLT จับตลาดอีโคคาร์ที่ยังว่าง

พิทยา ธนาดำรงศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีวี ไพรมัส จำกัด เล่าว่า บริษัทก่อตั้งเมื่อเดือนมีนาคม 2021 ที่ผ่านมา โดยวางตัวเองเป็น ผู้จัดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้ามัลติแบรนด์ (Multi-Brand EV Distributor) ทำให้แตกต่างจากผู้จัดจำหน่ายรายอื่นที่จะเป็นตัวแทนแค่แบรนด์เดียว ซึ่งจุดดีของการเป็นมัลติแบรนด์คือ บริษัทสามารถคัดเลือกรุ่นรถยนต์ที่เหมาะกับตลาดไทยมาจำหน่ายได้ไม่จำเป็นต้องมีทุกรุ่น

ที่ผ่านมา บริษัทจำหน่ายรถอีวีไปแล้ว 2 แบรนด์ ได้แก่ DFSK หรือ DONGFENG ผู้ผลิตรถยนต์อันดับ 2 ของจีน อีกแบรนด์คือ SERES และล่าสุด บริษัทก็ได้เปิดตัวอีกแบรนด์ คือ VOLT โดยจะเน้นเจาะไปที่กลุ่ม City EV หรือ อีโคคาร์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับความนิยมในจีน โดยจีนมียอดขายรถยนต์ไฟฟ้ารวม 3.3 ล้านคัน ซึ่งสัดส่วนของรถ City EV มีถึงกว่า 9 แสนคัน หรือราว 1 ใน 3 ของตลาดรถอีวีจีนเลยทีเดียว

พิทยา ธนาดำรงศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีวี ไพรมัส จำกัด

ลงทุน 400 ล้านสร้างโรงงานในไทย

สำหรับตลาดอีโคคาร์ไทยมียอดขายประมาณ 1 แสนคัน โดยบริษัทตั้งเป้ายอดขายของแบรนด์ VOLT ที่ 1,000 คัน ภายในปีนี้ และ 5,000 คัน ภายในปีหน้า โดยบริษัทมั่นใจว่าจะเป็นผู้นำตลาดในกลุ่มนี้ เนื่องจากคู่แข่งยังน้อยและส่วนใหญ่ที่มีในตลาดยังเป็นพวงมาลัยซ้าย อีกทั้งแบรนด์ VOLT ยังประกอบที่ไทย ทำให้สามารถปรับแต่งให้เข้ากับการใช้งานคนไทยได้ดีกว่า และยังมีวิริยะประกันภัยเป็นพาร์ตเนอร์เพื่อสร้างความมั่นใจให้ลูกค้า

นอกจากนี้ บริษัทยังได้การสนับสนุนส่วนลดจากภาครัฐ เนื่องจากบริษัทได้วางแผน สร้างโรงงานประกอบในไทย เตรียมงบลงทุน 400 ล้านบาท ขึ้นไลน์ประกอบที่นิคมอุตสาหกรรมเกตเวย์ จ.ฉะเชิงเทรา โดยคาดว่าจะมีกำลังผลิตที่ 4,000 คันในเฟสแรก และเพิ่มเป็น 8,000 คันในอนาคต เพื่อรองรับการส่งออกไปต่างประเทศ

“อย่างรถ SUV ที่มียอดขายคิดเป็น 55% ของรถทั่วโลก เทรนด์นี้ก็มาจากจีน ดังนั้น เทรนด์ออโตโมบิลจากจีนเป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้ อีกทั้งคนไทยไม่อคติกับรถเล็ก ชอบอีโคคาร์ และเราเชื่อว่ารถเราจะตรงกับไลฟ์สไตล์คนไทยที่มองหารถเสริมคันที่ 2-3 หรือรถสำหรับใช้งานใกล้ ๆ และเป็นคันทดลองสำหรับเข้าสู่ตลาดอีวี”

ชูความมัลติแบรนด์แข่งแบรนด์ใหญ่

ปัจจุบัน บริษัทมีดีลเลอร์ 32 รายทั่วประเทศ และแผนต่อไปของบริษัทคือ สร้างแพลตฟอร์มออนไลน์หรือ อีวี มาร์เก็ตเพลส ที่จะนำรถทุกแบรนด์ที่บริษัทจำหน่ายมาขาย และด้วยความหลากหลายของแบรนด์เชื่อว่าจะช่วยให้เกิดทราฟฟิกบนแพลตฟอร์ม ซึ่งจะช่วยให้บริษัทศักยภาพในการหาแบรนด์ใหม่ ๆ มาขายมากขึ้น

“แบรนด์ใหญ่มีรถที่ขายดี ขายไม่ดี แต่เราจะเลือกมาเฉพาะรถที่โดนของแต่ละแบรนด์ ซึ่งแบรนด์จีนมีเป็นสิบ ๆ แบรนด์ในตลาด มีทั้งแบรนด์ใหญ่ทั้งสตาร์ทอัพ และไม่ใช่ทุกแบรนด์ที่อยากเข้ามาทำตลาดไทยเอง ซึ่งถ้าเรามีทราฟฟิกให้เขาเห็น เขาก็อาจสนใจให้เราเป็นดิสทริบิวเตอร์แบรนด์เขาในไทยได้”

สำหรับการเลือกแบรนด์เข้ามาทำตลาดในไทย พิทยา อธิบายว่า ต้องเป็นแบรนด์ที่น่าเชื่อถือและไม่ทับไลน์กัน ซึ่งบริษัทต้องการให้มีสินค้าครบทุกระดับราคาทั้ง ล่าง กลาง บน แต่จะเน้นขายที่กลุ่มล่างและบนเป็นหลัก เนื่องจากรถอีวีระดับกลางช่วงราคา 1 ล้านบาท มีผู้เล่นแบรนด์ใหญ่อยู่แล้วซึ่งบริษัทไม่สามารถแข่งขันได้

ตลาด HRV หรือกลุ่มราคา 1 ล้านต้น ๆ เป็นตลาดเรดโอเชียน มีการแข่งขันสูงมาก ซึ่งเราไม่น่าแข่งได้ เราเลยต้องหลบไม่ชนกับคู่แข่งในกลุ่มนี้ ดังนั้น เราจะเน้นไปที่ตัวล่างราคาหลักแสน กับตัวบนราคาเกือบ 2 ล้านขึ้นไป

มั่นใจ 5 ปีข้างหน้า ทุกบ้านจะมีรถอีวี

มีการคาดการณ์ว่าปีนี้ตลาด รถไฟฟ้า 100% จะอยู่ที่ราว 12,000 คัน และในปีหน้าคาดว่าจะเติบโตเป็น 20,000 คัน และภายในปี 2025 รัฐบาลไทยตั้งเป้าว่าจะเพิ่มสัดส่วนของรถอีวีเป็น 70,000 คัน อย่างไรก็ตาม พิทยา มองว่าหากประเมินจากความพร้อมของอินฟาสตรักเจอร์ไทยอาจทำให้จำนวนรถอีวีอยู่ที่ 50,000 คัน ไม่เป็นไปตามเป้าที่รัฐบาลวางไว้ แต่เชื่อว่าภายใน 5 ปีจากนี้ หรือปี 2027 ทุกบ้านจะมีอีวีอย่างน้อย 1 คัน

“รถไฟฟ้ามันเป็นรถที่คนต้องปรับตัวเข้าหารถ และคนไทยยังต้องใช้เวลาเพื่อดูว่าชอบหรือไม่ชอบอีวีอย่างไร ดังนั้น คงตอบไม่ได้ว่าคนไทยจะชอบใช้รถอีวีแบบไหนมากที่สุด และตอนนี้รถอีวียังไม่ใช่ไฟนอลฟอร์มยังต้องใช้เวลาศึกษา แต่เรามั่นใจว่าเราจะปรับตัวได้เร็ว”

สำหรับ VOLT CITY EV มี 2 รุ่น ได้แก่ VOLT FOR-TWO รถยนต์นั่งแบบ 2 ประตู 2 ที่นั่ง มาพร้อมมอเตอร์ขนาด 30 กิโลวัตต์ 40 แรงม้า แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 11.5 KW/h ราคา 325,000 บาท และ VOLT FOR-FOUR รถยนต์นั่ง 5 ประตู 4 ที่นั่ง แบตเตอรี่ขนาด 34 กิโลวัตต์ 46 แรงม้า แรงบิด 102 นิวตันเมตร สามารถทำความเร็วสูงสุด 105 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 16.5 KW/h ราคา 385,000 บาท วิ่งได้ไกล 165-200 กม. เสียบชาร์จไฟบ้านใช้เวลา 5 ชั่วโมงครึ่ง