ระฆังลั่นจับตาแต่งตั้ง’รองผบก.-สว.’ เหล่านักวิ่งขยับจับจองพื้นที่ทองคำ – ไทยโพสต์

30 ก.ย.ของทุกปีเป็นวันสุดท้ายของการทำงาน เป็นวันอำลาชีวิตข้าราชการ ที่ต้องเกษียณไปตามวงรอบทุกองค์กร “ตำรวจ” เป็นอีกหน่วยงานที่มีบุคลากรปลดหัวโขนตามบทบาทหน้าที่รับผิดชอบมาเกือบทั้งชีวิต ผู้บริหารระดับสูงของ ตร.ที่อำลาชีวิตข้าราชการตำรวจระดับ “รอง ผบ.ตร.” มีด้วยกัน 2 ท่าน คือ พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก และ พล.ต.อ.ชนสิษฎ์ วัฒนวรางกูร รวมทั้ง “ที่ปรึกษาพิเศษ ตร.” ไม่ว่า พล.ต.อ.ณัฐธร เพราะสุนทร, พล.ต.อ.วิรุฬ เอี่ยมไพจิตร์, พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ, พล.ต.อ.จารุวัฒน์ ไวศยะ และอีกหลายคน

    ชีวิตข้าราชการเป็นวัฏจักรจากสูงสุดคืนสู่สามัญ เก่าไปใหม่มา เฉกเช่นเดียวกับตำแหน่งที่ว่างลงของ “กรมปทุมวัน”  2 เก้าอี้ รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.รอย อิงคไพโรจน์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผู้ช่วย ผบ.ตร.เตรียมเริ่มรับตำแหน่งใหม่ประดับยศเป็น “พล.ต.อ.” วันที่ 1 ต.ค.ที่จะถึงนี้ เช่นเดียวกันกับตำแหน่ง “ผช.ผบ.ตร.” ที่เลื่อนชั้นมีโอกาศก้าวขึ้นถึงตำแหน่งสูงสุดขององค์กรตำรวจ ไม่ว่าจะเป็น พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล และ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่สไลด์เข้าตำแหน่งหลัก หลังจากกลับเข้ารับราชการตำรวจอีกครั้ง นั่งเก้าอี้ที่ปรึกษา สบ.9 มาสักพัก

    ตำแหน่ง “แม่ทัพเมืองหลวง” พล.ต.ต.สำราญ นวลมา รอง ผบช.น.รับไม้ต่อจาก พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ที่ได้รับความไว้วางใจด้านความมั่นคง โดยเฉพาะรับมือกับ “ม็อบ” ขับไล่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้พ้นจากตำแหน่ง ที่จัดขึ้นแทบไม่เว้นวันทั้งจากรุ่นใหญ่ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตแกนนำ นปช. นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บ.ก.ลายจุด หรือของกลุ่มคนรุ่นใหม่ของกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมของนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล นายอานนท์ นำภา กลุ่มทะลุฟ้าของนายจตุภัทร์ บุญภัทร์รักษา หรือ ไผ่ดาวดิน เครือข่ายรามคำแหงเพื่อประชาธิปไตย ของนายนันทพงศ์ ปานมาศ และกลุ่มต่างๆ ที่นิยมความรุนแรงแยกตัวออกมา ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มทะลุแก๊ส กลุ่มทะลุก๊าช กลุ่มอาชีวะไม่เอาเผด็จการ ที่คอยสร้างสถานการณ์ความวุ่นวายรายวัน

    การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจระดับ “นายพล” จบสิ้นไป เข้าสู่วาระการแต่งตั้งระดับ รองผู้บังคับการถึงสารวัตร (รอง ผบก.-สว.) ที่สำนักงานกำลังพล ได้มีหนังสือบันทึกข้อความถึง ผบช.หรือตำแหน่งเทียบเท่า ผบก.ในสังกัด สง.ผบ.ตร.หรือตำแหน่งเทียบเท่า ให้หน่วยงานปรับปรุงฐานข้อมูลข้าราชการตำรวจระดับ สว.-รอง ผบก.ให้เป็นปัจจุบันจัดส่งข้อมูลให้ ตร.ผ่าน (สกพ.) เพื่อประกอบการดำเนินการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ สาระสำคัญคือ 1.ข้อมูลตำแหน่งทั่วไปและตำแหน่งเฉพาะทางในระดับ สว.-รอง ผบก. รวมถึงตำแหน่งควบปรับระดับเพิ่ม-ลดได้ในตัวเองที่มีการกำหนดกรอบตำแหน่ง โดยจัดกลุ่มตามลักษณะงานหรือลักษณะหน้าที่ที่ว่าง ณ วันที่ 1 ต.ค.64 2.ข้อมูลการกันตำแหน่งสำหรับรองรับข้าราชการตำรวจที่ ตร.รับโอนมา หรือได้มีการบรรจุและแต่งตั้ง หรือการบรรจุกลับเข้ารับราชการ หรือกรณีอื่นๆ

    3.ข้อมูลข้าราชการตำรวจระดับรอง สว.ที่มีระยะเวลาการดำรงตำแหน่งครบถ้วนเลื่อนดำรงตำแหน่งสูงขึ้น ถึงระดับรอง ผบก.ในสังกัด ที่ต้องหารือถูกฟ้องคดีอาญา คดีแพ่ง หรือคดีปกครอง หรือถูกดำเนินการทางวินัย หรือถูกดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง หรือข้อมูลที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือคณะกรรมการ ป.ป.ท.ชี้มูลความผิด 4.ข้อมูลข้าราชการตำรวจที่เกี่ยวข้องกรณีที่มีการฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 22/2558 ลง 22 ก.ค.58 เรื่อง มาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแข่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ในทาง และการควบคุมสถานบริการหรือสถานประกอบการที่เปิดให้บริการในลักษณะที่คล้ายสถานบริการ

    5.ข้อมูลลำดับอาวุโสข้าราชการตำรวจระดับรอง สว.ถึง ผกก.ที่มีคุณสมบัติครบถ้วน เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นในวาระประจำปี 2564 และ 6.ตรวจสอบความถูกต้องของทำเนียบข้อมูลข้าราชการตำรวจระดับรอง สว.ถึงรอง ผบก.หากมีข้อมูลที่ต้องแก้ไขให้จัดทำบัญชีสรุปรายการตามรูปแบบที่กำหนด โดยให้จัดส่งข้อมูลตามข้อ 1-6 พร้อมเอกสารที่เกี่ยวข้องไปยัง ตร. (ผ่าน สกพ.) ภายใน 30 ก.ย.64

    การแต่งตั้งระดับรอง ผบก.-สว. ถือเป็นไฮไลต์ไม่แพ้ระดับ “นายพล” โดยเฉพาะระดับ “ผกก.” พื้นที่เกรดเอหรือพื้นที่ทองคำ ซึ่งพื้นที่ทำเงินของเหล่าสีกากีเป็นที่หมายปองของทุกคน ใครก็อยากเข้าไปนั่ง การแต่งตั้งระดับ ผกก.นี้แหละคือตัวทำเงินของคนบางกลุ่มในรั้วกรมปทุมวันและผู้มากบารมีนอกรั้วปทุมวัน และปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ถ้าแบ่งตามโซนพอเห็นภาพในนครบาลก็คงไม่พ้น สน.ทองหล่อ บางรัก มักกะสัน คลองตัน ลุมพินี ห้วยขวาง ซึ่งเป็นแหล่งธุรกิจและสถานบันเทิง ภาค 1 น้องเมืองหลวงที่น่าจับตามอง จ.นนทบุรี จ.เมืองปทุมธานี ภาค 2 ฝั่งตะวันออกทำเลทองสถานท่องเที่ยวแหล่งอุตสาหกรรม จ.ระยอง จ.ชลบุรี ภาค 5 จ.เชียงราย จ.เชียงใหม่ มีเขตติดต่อเพื่อนบ้านผลประโยชน์จากแรงงานต่างด้าว สินค้าหลบหนีภาษีเม็ดเงินจำนวนมหาศาล

    ภาค 6 ภาคเหนือตอนล่าง โดยเฉพาะเมืองปากน้ำ จ.นครสวรรค์ ที่เป็นข่าวครึกโครม อดีต ผกก.โจ้ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล ที่ตกเป็นผู้ต้องหาส่วนหนึ่งมาจากการขัดแย้งผลประโยชน์จากสถานบันเทิง บ่อนการพนัน และ จ.ตาก ล้วนเป็นเงินทั้งนั้น ภาค 7 หลายโรงพักเป็นที่เย้ายวนนักวิ่งอย่างพื้นที่ จ.นครปฐม จ.กาญจนบุรี ชายแดนติดประเทศเพื่อนบ้าน เม็ดส่วยจากขบวนการลักลอบขนแรงงานต่างด้าว รวมทั้ง จ.สมุทรสาคร ถ้านั่งเก้าอี้ ผกก.โรงพักใดโรงพักหนึ่งก็ไม่น้อยหน้าโรงพักใดทั้งสิ้น ภาค 8 มีแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก ทั้งที่ จ.กระบี่ จ.พังงา นครศรีธรรมราช จ.ภูเก็ต จ.สุราฎร์ธานี นักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งที่ถูกกฎหมายและแฝงตัวเข้ามาแบบผิดกฎหมาย ทั้งที่มาท่องเที่ยวทำธุรกิจทั้งที่ถูกกฎหมายและสีเทา ตั้งตัวเป็นผู้มีอิทธิพลแฝงขบวนการคนร้ายข้ามชาติ ยอมควักกระเป๋าเพื่ออำนวยความสะดวก ซึ่งล้วนแต่เป็นแหล่งทำเงิน

    การแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจหลายปีที่ผ่านมาเป็นตราบาปของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อถูกมองว่ามีการซื้อขายตำแหน่งวิ่งเต้นเพื่อโยกย้ายจนเป็นมะเร็งร้ายในองค์กร ย้ายแบบผิดฝาผิดตัว ย้ายข้ามหน่วย ย้ายข้ามหัวผู้อาวุโส คนทำงานไม่ได้รับการพิจารณา เกิดความร้าวฉานในองค์กร ถึงแม้สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะออกมายืนยันว่าทุกปีไม่มีการซื้อขายตำแหน่ง แต่ทุกครั้งหลังการแต่งตั้งจะมีตำรวจหลายหน่วยออกมาโวยวายจ่ายเงินแล้วกลับไม่ได้รับการแต่งตั้ง เป็นเรื่องที่สังคมรับรู้ เพียงแต่ไม่มีหลักฐานในการตรวจสอบ

    จับตาการแต่งตั้งครั้งนี้เมื่อระฆังลั่น เหล่าบรรดานักวิ่งได้เตรียมตัวใส่รองเท้าวางตัวกันแล้ว บางคนใส่สเกตรอแล้ว แต่แว่วว่าบางคนใช้วิธีลัดขึ้นลิฟต์ด้วยซ้ำ ราคาค่างวดเก้าอี้ทองคำครั้งที่ผ่านๆ มาอยู่ที่ 5-10 ล้านปลายๆ แต่ด้วยสถานการณ์โควิดระบาด เก็บได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยก็ขึ้นอยู่กับทั้ง 2 ฝ่ายจะคุยกัน แต่ฟันธงเก้าอี้ ผกก.พื้นที่ทองคำ ถ้ากำลังไม่ถึงยากที่จะฝ่าด่านเข้าไปได้ นอกจากจะถือตั๋ว ตั๋วนาย ตั๋วนักการเมือง แม้แต่ตั๋วนอกรั้วปทุมวัน แต่ไม่ต้องถามหาหลักฐานไร้ใบเสร็จ หลายตั๋วมารูปแบบอสังหาริมทรัพย์ พระเครื่อง รถคันหรู ตีเป็นราคาค่างวด

    การแต่งตั้งระดับรอง ผบก.-สว. จะเป็นหน้าที่ของ บช.เป็นผู้จัดทำโผ แต่ “บิ๊กปั๊ด” พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ในฐานะผู้นำองค์กร คงต้องตรวจการบ้านผู้ใต้บังคับบัญชาให้ยึดธรรมาภิบาลตามหลักอาวุโส 33 เปอร์เซ็นต์ ความรู้ความสามารถอีก 67 เปอร์เซ็นต์ แต่งตั้งคนให้เหมาะสมกับงานแล้วผลประโยชน์จะตกไปอยู่กับประชาชนและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ.