ฟอร์ด เรนเจอร์ ไวล์ดแทรค ฟีเจอร์แน่น นิยามรถกระบะใหม่ | เดลินิวส์

“ป้ายแดงชวนขับ” กลับมาประจำการอีกครั้งหลังจากสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลายลง ด้วยการนำเสนอรถกระบะ “ฟอร์ด เรนเจอร์” เจเนอเรชั่นล่าสุด ซึ่งฟอร์ดเปิดตัวพร้อม ๆ กันถึง 20 รุ่น ในราคาเริ่มต้น 554,000 บาท ไปจนถึงรุ่นแร็พเตอร์ 1.869 ล้านบาท เรียกว่าพร้อมเสิร์ฟแฟน ๆ กระบะพันธุ์แกร่งอีกครั้ง สำหรับคันที่นำมาลองขับพิสูจน์ตัวเป็น ๆ ในสัปดาห์แรกของเดือน ส.ค.นี้ ก็คือ รุ่นดับเบิลแค็บ ไวล์ดแทรค 2.0 ลิตร ไบ-เทอร์โบ ขับเคลื่อน 4 ล้อ ค่าตัว 1.299 ล้านบาท

ตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างชาญฉลาดอเนกประสงค์ที่สุด และเป็นรถกระบะพร้อมลุยสมบุกสมบันที่สุดอีกคันหนึ่ง ส่วนห้องโดยสารกว้างขวางหรูหราด้วยการออกแบบแผงคอนโซลและหน้าจอที่กลมกลืนกันอย่างลงตัว พร้อมหน้าจอแสดงผล Multi-Touch ขนาด12 นิ้วรองรับแอปเปิล คาร์เพลย์ และแอนดรอยด์ ออโต้ เบาะนั่งคนขับและผู้โดยสารปรับด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทาง

ทางด้านไฟหน้าเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้าอัตโนมัติ, ไฟวิ่งกลางวันแบบแอลอีดีรูป C-Champ, ไฟท้ายแบบแอลอีดี, ระบบปัด น้ำฝนพร้อมที่ฉีด, ไฟตัดหมอกหน้า, บันไดข้าง บันไดเทียบข้างท้ายกระบะ, สปอร์ตบาร์และราวหลังคาเพิ่มความสะดวกในการทำกิจกรรมกลางแจ้งและขนของ นอกจากนี้ยังพรั่งพร้อมด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยและฟังก์ชันสำหรับอำนวยความสะดวกสบายในทุกการเดินทาง

• จัดเต็มไม่มีกั๊ก •

นี่คือรถกระบะรุ่นล่าสุดจากค่ายฟอร์ด ที่สร้างความน่าทึ่งให้กับผู้ทดสอบอย่างแท้จริง เพราะเป็นรถที่ยกระดับทุก ๆ สิ่ง มาให้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ ทั้งในส่วนของรูปลักษณ์ คุณภาพ การขับขี่ และความคิดในเรื่องการใช้งานในชีวิตจริง ซึ่งบอกตามตรงว่าในพื้นที่สำหรับการบรรยายตรงนี้นั้นอาจจะไม่สามารถเอ่ยถึงจนหมดได้

อันดับแรกคือเรื่องรูปลักษณ์ฟอร์ด เรนเจอร์ ไวล์ดแทรค เปิดตัวด้วยภาพลักษณ์ใหม่ถอดด้าม แม้แต่คนที่ไม่สนใจรถยนต์เลยก็สามารถบอกได้ว่านี่เป็นรถใหม่ นั่นก็คือการใช้ไฟเดย์ไทม์แบบแอลอีดี ทรงอักษร C ที่โดดเด่นและดึงดูดสายตาให้ภาพลักษณ์ที่แข็งแรงบึกบึน โดยไฟหน้าของรถมาพร้อมกับระบบปรับมุมกระจายแสงแมททริกซ์ แอลอีดี เพื่อควบคุมการกระจายแสงให้สว่างแต่ไม่แยงตารถคันหน้าและรถที่สวนมา

โดยทางวิศวกรของฟอร์ดกล่าวว่ารถรุ่นนี้ขยายมิติจากรุ่นที่แล้วพอสมควร โดยความกว้างฐานล้อกว้างขึ้น 50 มม. และระยะช่วงล้อหน้า-หลังก็ยาวขึ้น 50 มม. ด้วยเช่นกัน โดยรถรุ่นที่เราทดสอบนี้เป็นแบบตัวถัง 4 ประตู หรือดับเบิลแค็บ แม้ว่ารถจะมีขนาดใหญ่แต่ด้วยการออกแบบที่เป็นเหลี่ยมสันช่วยให้สามารถกะระยะได้ง่าย และยิ่งมาพร้อมกับกล้องมองรอบตัว 360 องศา และพวงมาลัยที่มาพร้อมอัตราทดที่พอเหมาะ ทำให้มันขับง่ายกว่าที่คิด

ด้านคุณลักษณ์การขับขี่นั้น รถรุ่นใหม่นี้มาพร้อมกับเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ 210 แรงม้า ที่ทรงพลัง ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ลงสู่ล้อหลังที่พุ่งทะยานออกไปข้างหน้าได้อย่างน่าตื่นเต้น และสำหรับสายลุยก็สามารถเลือกระบบขับเคลื่อน 4 ล้อได้ 2 รูปแบบคือทั้งแบบ high และ low และมาพร้อมระบบควบคุมการยึดเกาะเส้นทางที่หลากหลายหรือระบบ Terrain Management รองรับการลุยหลายรูปแบบ อาทิ ทางทราย ทางหิน ทางลื่น เช่น โคลน หรือ หิมะ รวมทั้งสามารถล็อกเฟืองท้ายให้ล้อซ้ายและขวาเฉลี่ยกำลังออกไปแบบเท่า ๆ กัน เพื่อให้สามารถสู้กับเส้นทางที่ยากจะผ่านไปได้ โดยการควบคุมนั้นทำได้ผ่านทางลูกบิดด้านหลังคันเกียร์และปุ่มเลือกโหมดที่ทำงานร่วมกับจอภาพขนาดยักษ์บนแผงแดชบอร์ดที่จะแสดงรูปแบบการทำงานระบบขับเคลื่อนให้เห็นได้ชัด

นอกจากนี้ สำหรับสายลุย รถรุ่นใหม่นี้สามารถพิชิตเส้นทางลาดชันได้มากถึง 30 องศา มากกว่ารุ่นก่อนที่ทำได้ 28.5 องศา และถึงแม้จะมีรูปทรงเหลี่ยมสัน แต่การเก็บเสียงนั้นทำได้อย่างยอดเยี่ยม เสียงลมที่เกิดขึ้นมีน้อย ในส่วนของการใช้งานนั้นมีทั้งในส่วนของห้องโดยสารและส่วนของกระบะท้าย เรามาเริ่มที่ห้องโดยสารก่อน ห้องโดยสารของรถรุ่นใหม่นี้โอ่อ่านั่งสบายทั้งตอนหน้าและตอนหลัง โดยเบาะคนขับออกแบบมาได้ยอดเยี่ยมนั่งสบายแถมปรับด้วยไฟฟ้า รวมถึงพวงมาลัยก็สามารถปรับได้ทั้งเข้า-ออกและสูง-ต่ำ ทำให้หาตำแหน่งที่นั่งสบายได้ง่ายดาย

ในส่วนของแดชบอร์ดก็ออกแบบได้น่าทึ่งด้วยการใช้จอภาพขนาดใหญ่พอ ๆ กับกระดาษ A4 ที่แสดงข้อมูลการขับขี่สารพัดและรองรับการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนได้แบบไร้สาย (มาพร้อมช่องชาร์จแบบไร้สาย) นอกจากนั้นยังมาพร้อมโปรแกรมกระดานวาดรูปซึ่งจะทำงานเฉพาะเมื่อรถใส่เกียร์ P เท่านั้น ส่วนมาตรวัดความเร็วเองก็เป็นแบบจอภาพที่แสดงผลด้วยกราฟิกที่เป็นแนวทางใหม่หมดจดไม่มีการจำลองภาพของมาตรวัดแบบอนาล็อกอีกแล้ว คุณสามารถใช้เวลาครึ่งวันเรียนรู้และจดจำสารพัดรูปแบบการทำงานของมันได้ ส่วนพื้นที่เก็บสัมภาระต่าง ๆ ในห้องโดยสารก็นับว่าเพียบ!

ส่วนของกระบะท้ายก็กว้างขวางมากและเมื่อตรวจดูก็พบว่าวิศวกรของฟอร์ด มองลึกไปถึงรูปแบบการใช้งานในชีวิตจริง ไม่ว่าจะมีการติดตั้งบันไดสำหรับขึ้นกระบะท้ายที่มุมซ้ายและขวาของกระบะท้าย ไปจนถึงรูสำหรับเสียบซีแคลมป์ (C-Clamp) ที่ขอบฝากระบะ เอาไว้สำหรับงานช่างที่อาจจะต้องการเลื่อยไม้ และนอกจากนั้นยังมาพร้อมช่องเสียบปลั๊กไฟ AC ขนาด 220 โวลต์ 100 วัตต์ สำหรับใช้กับเครื่องมือช่าง เรียกว่ารองรับทุกจินตนาการ การใช้งาน

และสุดท้ายที่น่าทึ่งก็คือรถคันนี้มาพร้อมระบบรักษาความเร็วอัจฉริยะ (Adaptive Cruise Control with Stop & Go Function) ที่เร่งและชะลอรถให้สัมพันธ์กับความเร็วของเพื่อนร่วมทางได้อย่างนุ่มนวล ไม่ชวนเวียนหัวเหมือนในรถรุ่นอื่นก่อนหน้านี้ และสามารถชะลอลงได้จนถึงจุดหยุดนิ่ง และด้วยเซ็นเซอร์ต่าง ๆ ที่มีมันยังรักษาให้ตัวรถอยู่ในช่องทางได้อย่างชาญฉลาดสามารถเลี้ยวรถไปตามเส้นทางได้อย่างเนียน ๆ (แต่ถ้าปล่อยมือนานเกินไประบบจะเตือนว่ามือของเราต้องอยู่บนพวงมาลัยเสมอ)

พูดไปจะหาว่าโม้เสียเปล่า ๆ แต่คำว่า สุดในรุ่นสำหรับพิกัด 1.3 ล้านบาทก็ไม่ได้เกินเลยไปสำหรับรถคันนี้แม้แต่น้อย ชนิดที่ว่าเกิดคำถามว่า “ชีวิตเราจะต้องการอะไรมากไปกว่านี้” ผุดขึ้นมาในหัวตลอดเวลาที่ทดสอบรถคันนี้เลยทีเดียว

• ดีกว่านี้ก็มีเพียงแร็พเตอร์ •

“แซนดี้ เคราแก้ว สตูวิค”
นักแข่งรถมืออาชีพที่กำลังล่าโพเดี้ยมในหลายรายการ ไม่ว่าจะเป็นรายการไทยแลนด์ซูเปอร์ซีรีส์ รุ่นซูเปอร์ปิกอัพ, รายการซูเปอร์คาร์ จีที3, แข่งในต่างประเทศรายการจีที เวิลด์ชาเลนจ์ เอเชีย และนักทดสอบประจำ “ป้ายแดงชวนขับ” ถึงกับเอ่ยปากชมรูปร่างหน้าตาของฟอร์ดเรนเจอร์ ไวล์ดแทรค ที่นำมาลองขับว่าสวยชัดเจน มีความทันสมัย โดยเฉพาะด้านหน้าดีไซน์ไฟแบบแอลอีดีออกมาสะดุดตาดูแข็งแรงบึกบึนสไตล์อเมริกัน รวมถึงมีระบบเซฟตี้ ระบบอะเดฟทีฟ ครูซ คอนโทรลให้มาใช้งานง่าย นอกจากนี้ยังรู้สึกว่าตัวรถจะสูงกว่าตัวเก่า ส่วนด้านข้างมีสเต็ปข้างให้ขึ้นลงสะดวกเช่นเดียวกับด้านท้ายกระบะท้ายน้ำหนักเบามีปลั๊กไฟให้มาใช้งานอเนกประสงค์

ส่วนภายในนั้นใช้วัสดุค่อนข้างดี เบาะนั่งใช้หนังนุ่มปรับด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทางรองรับการนั่งขับได้สบาย ๆ รวมทั้งมีปุ่มควบคุมการทำงานเครื่องเสียงโซเชียลมีเดียบนพวงมาลัยขนาดกระชับมือ ซึ่งตัวท็อปนี้มีของเล่นมาให้เยอะ แซนดี้ชอบจอตรงกลางเท่า ๆ ไอแพดดูสบายตาใช้ง่ายกดเรียกดูอะไรก็แสดงผลทันที นับเป็นรถกระบะที่น่าสนใจอีกคันนึง

ทางด้านฟีลลิ่งของพวงมาลัยแข็งแรง แน่นตอบสนองแม่นยำ แต่สามารถสื่อสารกับรถได้เต็มที่เหมือนรถส่งสัญญาณมายังพวงมาลัยให้รับรู้ถึงสภาพถนนเป็นอย่างไรแล้ว ควรจะเข้าโค้งยังไงให้สมูธ เรียกว่าได้ฟีลลิ่งทุกอย่าง ส่วนอัตราเร่งรู้สึกดีแม้ว่าจะไม่ได้เป็นรถที่แรงสุด แต่แรงบิดขนาด 500 นิวตัน-เมตรช่วยได้เยอะแรงม้ากว่า 200 ตัว รู้สึกดีวิ่งไปถึงระดับ 100 กม./ชม. ได้สบาย ๆ ตอบโจทย์การใช้งานแล้วแต่ถ้าอยากให้แรงกว่านี้ก็คงต้องรุ่นใหญ่สุด หรือแร็พเตอร์เท่านั้น

ระบบเบรกหนึบมั่นใจ รวมทั้งมีระบบรักษาให้อยู่ในเลน ระบบอะเดฟทีฟ ครูซ คอนโทรลก็สบาย ทิ้งระยะห่างจากคันหน้าค่อนข้างมากสักนิดจะดีมากหากขับบนทางหลวงหรือมอเตอร์เวย์เพราะไม่ต้องแตะเบรกถี่ ๆ เพียงแต่ต้องระวังรถที่เบียดเข้ามาแทรกกลางอยู่บ่อย ๆ นอกจากนี้ยังมีระบบเตือนจุดบอดให้ด้วยทำให้ขับสบายมาก

“การเข้าโค้งมั่นใจ เพราะช่วงล่างนุ่ม รับน้ำหนักได้เวลาเข้าโค้งแรงๆ 120 กม./ชม. ได้สบายรถไม่โคลง เรียกว่าไม่เอียงความรู้สึกนิ่งมากนะแต่เมื่อลองกดคันเร่งอีกนิดหน่อยอาการนิ่งก็ยังดีอยู่ คิดว่าเป็นรถที่ใช้งานได้ทุกๆวันตอบโจทย์สำหรับรถกระบะ”

มาถึงการให้ดาวภายนอก แซนดี้ให้ 4 ดาวเพราะมันตอบโจทย์ทุกอย่างตามความต้องการที่เหลืออยู่ที่ราคา ภายในทันสมัยดูดีที่ฟอร์ดได้พัฒนาขึ้นมาเรื่อย ๆ ให้ 4 ดาว ส่วนที่ไม่ให้ครบ 5 ดาวนั้นเพราะไม่ใช่แร็พเตอร์ อย่างไรก็ตามแซนดี้ยังประทับใจเป็นรถกระบะที่ใกล้เคียงกับรถเอสยูวีมาก ส่วนเครื่องยนต์ให้ 4 ดาว เช่นเดียวกับระบบช่วงล่าง โดยรวมแม้ไม่แรงเท่าแร็พเตอร์แต่เป็นรถที่สามารถใช้งานสะดวกสบายได้ทุกวัน.