เมื่อวันที่ 30 ส.ค. 65 ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 15.30 น. บริเวณแยกบ้านสะกาด ใกล้โรงเรียนบ้านสะกาด ได้เกิดเหตุรถยนต์กระบะยี่ห้อมาสด้า รุ่นแฟมิลี่ สีเขียว หมายเลขทะเบียน บก 5753 อุบลราชธานี ขับชนเด็กชายปรินทร บุญมาก หรือ ชิน อายุ 7 ขวบ นักเรียนโรงเรียนบ้านสะกาด ขณะกำลังข้ามถนนกลับบ้านหลังเลิกเรียน พร้อมกับเพื่อน รวม 3 คน
เคราะห์ร้ายที่หลังจากรถสิบล้อขับผ่านไป เด็กชายคนดังกล่าวได้ข้ามถนนไปเพียงเลนเดียวก็ถูกรถกระบะคัน ซึ่งวิ่งมาด้วยความเร็ว พุ่งชนอย่างจัง จนได้รับบาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิตที่โรงพยาบาลในเวลาต่อมา ทั้งนี้ มีข่าวระบุว่าเด็กชายคนดังกล่าวได้ทำมือขอแตรสามช่าจากรถสิบล้อ ก่อนที่จะถูกรถกระบะพุ่งชน
วันที่ 31 ส.ค. 65 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางมายังที่เกิดเหตุ บริเวณแยกบ้านสะกาด ต.สะกาด อ.สังขะ จ.สุรินทร์ พบเป็นถนนใหญ่ 4 เลน มีเกาะกลางแบ่งด้วยร่องกลางถนน ฝั่งละ 2 เลน
นางภรวีภา ทุมบาล อายุ 40 ปี แม่ค้าร้านก๋วยเตี๋ยวใกล้ที่เกิดเหตุ เล่าว่า เมื่อวานนี้โรงเรียนบ้านสะกาดมีงานกีฬาสี มีผู้นำชุมชน และผู้ปกครองไปร่วมงานกันเป็นจำนวนมาก แต่เนื่องจากผู้ตายยังเด็ก และป่วยเกี่ยวกับหัวใจ จึงไม่ได้เข้าร่วม ทำให้เวลา 15.30 น. ผู้ตายกับเพื่อน ๆ รวม 5 คน จึงตัดสินใจกลับบ้านก่อน ทั้ง ๆ ที่ปกติญาติของผู้ตายจะเป็นคนไปรับที่โรงเรียน
เมื่อเพื่อนของผู้ตาย 2 คน ข้ามถนนมาแล้ว เหลือผู้ตายกับเพื่อนอีก 2 คน ที่เกาะกลาง ตนก็ไม่ได้สนใจ จากนั้น ตนก็ได้ยินเสียงดังโครม เมื่อหันไปมองก็พบกว่ารถกระบะพุ่งชนเด็กกระเด็นไปไกล 5 เมตร ตนรีบวิ่งไปดูอาการเด็ก พบว่าแขนขาหักผิดรูป นอนคว่ำหน้า ร่างกายคล้ายเลข 8 ตนได้พบกับผู้ก่อเหตุ ซึ่งไม่ได้หนีไปไหน อกกระแทกกับพวกมาลัย แต่รีบถีบประตูออกมาดูเด็กที่ถูกชน โดยขณะนั้นมีผู้อำนวยการโรงพยาบาลสังขะขับรถผ่านมาพอดี จึงได้ลงมาช่วยปั๊มหัวใจให้เด็ก แล้วรีบประสานให้รถกู้ชีพพาไปส่งโรงพยาบาล
นายประชิต บุญมาก อายุ 38 ปี พ่อของเด็ก พร้อมนางสาวน้ำริน นามวงศ์ อายุ 37 ปี แม่ของเด็ก บอกว่า ลูกชายของตนเกิดมามีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ หลอดเลือดหัวใจตีบ ซึ่งถึงแม้ตนจะทางอยู่ จ.ฉะเชิงเทรา ตนก็จะเดินทางมารับลูกไปหาหมอที่ จ.ชลบุรี ทุก 3 เดือน โดยเมื่อลูกชายอายุ 1 ขวบ ก็ได้เข้ารับการผ่าตัดทำบอลลูนหัวใจ เป็นสาเหตุทำให้ลูกชายไม่สามารถออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาได้
โดยแพทย์แจ้งว่าหากผลตรวจร่างลูกชายออกมาเป็นปกติ ลูกชายจะสามารถเล่นกีฬาได้ ทำให้ลูกชายของตนดีใจมาก แล้วเอ่ยปากขอรองเท้ากีฬากับตนเป็นของขวัญวันเกิด วันที่ 9 ก.ย. 58 จะครบ 7 ขวบเต็ม ในวันที่ 9 ก.ย. 65 แต่ตนได้หลอกลูกชายว่า “พ่อไม่มีเงิน คงไม่ได้มาหาในวันเกิด” เพื่อที่จะเดินทางมาเซอร์ไพรส์ แต่กลายเป็นว่าลูกชายจากไปอย่างกะทันหัน ทั้งที่อีกไม่กี่วันลูกชายก็จะอายุ 7 ขวบเต็ม แล้วลูกกำลังจะหายเป็นปกติ
ตนทำใจไม่ได้ ตนเห็นข่าวของลูกตัวเอง แต่ตนอยากให้เหตุการณ์นี้เป็นอุทาหรณ์ เพราะที่เกิดเหตุเกิดอุบัติเหตุขึ้นหลายรอบ ขอให้ลูกชายของตนเป็นอุบัติเหตุรายสุดท้าย ขอให้ลูกไปสู่ภาพภูมิที่ดี นอกจากนี้ สิ่งที่ตนรับไม่ได้คือโซเชียลต่อว่าลูกชายของตนขอแตรสามช่า ทั้งที่วงจรปิดตอนเกิดเหตุ ลูกชายของตนถือรองเท้าอยู่ในมือ ไม่ได้ยกมือขอแตร อีกทั้งบางคอมเมนต์ในโซเชียลยังเป็นห่วงรถมากกว่าลูกชายของตน เช่น ใครจะรับผิดชอบรถ ตนเสียลูกชาย แต่โซเชียลเป็นห่วงรถ ถือเป็นการซ้ำเติมหัวใจของตนมาก ทั้งนี้ ตนยังไม่เจอและยังไม่ได้พูดคุยกับผู้ก่อเหตุ โดยเหตุที่เกิดขึ้นเป็นอุบัติเหตุที่ไม่มีใครอยากให้เกิด ตนก็ขอปล่อยไปตามกระบวนการของกฎหมาย
นางสาวน้ำริน บอกว่า ตนเดินทางมาหาลูกชายและโทรศัพท์พูดคุยกันตลอด แต่ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ตนกับสามีไม่ได้เดินทางมาหาลูก โดยตนได้คุยกับลูกชายครั้งล่าสุดเมื่อคืนวันที่ 29 ส.ค. ซึ่งลูกชายยังถามตนกับสามีว่า “วันเกิดพ่อกับแม่มาหาไหม” ตนก็บอกว่าไม่แน่ใจ ซึ่งตนหลอกลูกชาย เพราะตนกับสามีต้องการเดินทางมาเซอร์ไพรส์ลูกชาย พร้อมของขวัญเป็นรองเท้ากีฬา รองเท้าฟุตบอล เพราะหมอแจ้งว่าหากสิ้นปีนี้เดือนธันวาคม หากผลตรวจร่างกายของลูกชายออกมาปกติ ลูกชายจะสามารถเล่นกีฬาได้
ทั้งนี้ มีหมอดูทักตนว่าดวงชะตาของตนไม่ถูกกับรถยนต์ ซึ่งตนไม่ได้คิดอะไร แต่ในเวลาที่ตนออกรถใหม่เมื่อไร ต้องมีคนที่บ้านเสียชีวิตลงทุกครั้ง เคยเป็นมาแล้ว 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 29 ส.ค. เวลา 09.00 น. ตนก็ได้ออกรถกระบะมือสอง เนื่องจากตนกับสามีมีความจำเป็นต้องใช้รถ หากมีรถตนกับสามีก็จะสามารถเดินทางมารับส่งลูกไปโรงพยาบาลได้สะดวก แต่ตนไม่คาดคิดว่าตนจะสูญเสียลูกชายไป
ทีมข่าวได้รับคลิปมาจากครอบครัว เป็นคลิปที่ผู้ตายหยอกล้อกับอาของตัวเอง อาของเด็กได้ขอให้ผู้ตายบอกรัก และอีกคลิปที่อาของเด็กเรียกผู้ตายมาหอมแก้ม แต่ผู้ตายไม่ยอมมา ถือเป็นภาพความทรงจำที่น่ารักของเด็กน้อย
ทีมข่าวได้โทรศัพท์ติดต่อไปหา นายธนะ (นามสมมติ) อายุ 49 ปี คนขับรถกระบะ บอกสั้น ๆ ว่า ในช่วงเกิดเหตุ ตนขับรถด้วยความเร็วไม่เกิน 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง โดยขณะนั้นตนได้ยินเสียงแตรสามช่าจากรถบรรทุกคันข้างหน้า เมื่อรถบรรทุกแซงหน้าตนไป จู่ ๆ เด็กก็วิ่งออกมาจากถนน ตนจึงชนเข้ากับเด็ก ซึ่งตนไม่ทราบว่าใครเป็นคนขอเสียงแตรดังกล่าว
เบื้องต้น ตนได้ติดต่อไปหาพ่อแม่ของเด็กแล้ว ซึ่งตนจะเดินทางไปร่วมงานศพ และขอขมาศพภายในคืนนี้อย่างแน่นอน พร้อมทั้งจะมอบเงินช่วยเหลืองานศพให้เบื้องต้น หลังจากเสร็จสิ้นงานศพ ตนกับพ่อแม่ของเด็กคงจะได้พูดคุยกันในข้อกฎหมายอีกครั้งต่อหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจ
นายทองพูน บุญมาก อายุ 56 ปี ปู่ของเด็ก บอกว่า ตนเลี้ยงหลานมาตั้งแต่เกิด เนื่องจากพ่อแม่ของหลานชายเดินทางไปทำงานโรงงานที่ จ.ฉะเชิงเทรา โดยปกติแล้ว ตนและครอบครัวไม่เคยปล่อยให้หลานชายเดินข้ามถนนเอง อีกทั้งปกติแล้วในเวลา 16.00 น. จะมีคุณครูและพนักงาน อบต. มาช่วยโบกรถให้เด็กข้ามถนน แต่เนื่องจากเมื่อวานนี้ที่โรงเรียนมีงานกีฬาสี อีกทั้งทางครอบครัวก็หาตัวหลานชายไม่พบ จึงทำให้เกิดเหตุขึ้น
โดยเมื่อวานนี้อาของหลานชายได้ขี้รถจัดรยานยนต์ไปรับที่โรงเรียนในเวลา 14.30 น. เพราะคิดว่าโรงเรียนเลิกไว และหลานชายไม่ได้ร่วมแข่งกีฬา แต่หลานชายบอกว่ายังไม่เลิกเรียน อาของหลานชายจึงขี่รถกลับมาที่บ้าน หลานชายได้ฝากกระเป๋านักเรียนกลับมาที่บ้านด้วย จากนั้นในเวลา 15.00 น. อาของหลานชายได้ขี่รถไปรับอีกครั้ง แต่หาตัวหลานชายไม่พบ จึงได้เดินทางหาในโรงเรียน กระทั่ง 15.30 น. ก็เกิดเหตุสลดขึ้น
ส่วนเสียงแตรสามช่า ตนมั่นใจว่าหลานชายของตนไม่ได้ขอจากรถบรรทุก เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หลานชายไม่เคยมีพฤติกรรมดังกล่าว อีกทั้งกล้องวงจรปิดก็ชี้ชัดด้วยว่าหลานชายของตนไม่ได้ยกมือขอแตรแต่อย่างใด สังคมและโซเชียลกล่าวโทษหลายของตนเกินไป ทั้ง ๆ ที่หลานชายก็เสียชีวิตไปแล้ว ทั้งนี้ เสียงแตรที่ชาวบ้านได้ยินว่าคล้ายเสียงแตรสามช่า อาจจะเป็นเสียงแตรบีบเตือน หรืออาจมีใครข้างถนนขอก็เป็นไปได้ แต่ตนยืนยันได้ว่าหลานชายไม่ได้ขออย่างแน่นอน