“ผบช.ภ.7” แถลงผลงาน ระดมกวาดล้างอาชญากรรม ตามแผนยุทธการ “พิชิตคนพาล อภิบาลคนดี” ของกลางเพียบ – ไทยแทบลอยด์

วันที่ 22 พฤศจิกายน 2564 เวลา 13.30 น. อาคารตำรวจภูธรภาค 7 ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมืองนครปฐม จ.นครปฐม พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์

ผบช.ภ.7 เป็นประธานแถลงผลการระดมกวาดล้างอาชญากรรมในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 7 พร้อมด้วยพล.ต.ต.นัยวัฒน์ ผะเดิมชิต รอง ผบช.ภ.7, พล.ต.ต.พิสิฐ ตันประเสริฐ รอง ผบช.ภ.7, พล.ต.ต.อาทิชา เปาอินทร์ รอง ผบช.ภ.7, พล.ต.ต.วัฒนา ยี่จีน รอง ผบช.ภ.7, พล.ต.ต.รักษ์จิต หม้อมงคล รอง ผบช.ภ.7

พร้อมด้วย ผบก.ในสังกัด ภ.7 ร่วมกันแถลงข่าว “ผลการระดมกวาดล้างอาชญากรรมในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 7 ระหว่างวันที่ 11 – 20 พ.ย. 64” โดยมีผลการปฏิบัติ สามารถจับกุมผู้กระทำความผิดพร้อมด้วยของกลาง ดังนี้ อาชญากรรมทั่วไป (On Ground) จับกุม 2,807 ราย 2,874 คน แยกเป็นความผิดเกี่ยวกับการพนัน จับกุม 269 ราย 332 คน -ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด จับกุม 1,260 ราย 1,262 คน-ความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ จับกุม 594 ราย 594 คน ความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืน จับกุม 684 ราย 686 คน อาชญากรรมทางเทคโนโลยี (On Line) จับกุม 65 ราย 65 คน แยกเป็น การเผยแพร่ข่าวปลอมและคดีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ จับกุม 17 ราย 16 คน การล่วงละเมิดทางเพศ ต่อเด็ก หรือสตรีทางอินเตอร์เน็ต และค้ามนุษย์ จับกุม 4 ราย 4 คน การพนันออนไลน์ อาชญากรรมข้ามชาติ และอื่น ๆ จับกุม 44 ราย 45 คน การจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ จับกุม 511 ราย 511 คน สรุปผลการจับกุมทั้งสิ้น 3,383 ราย 3,450 คน

พล.ต.ท.ธนายุตม์ กล่าวว่า ในการจับกุมครั้งนี้ได้เน้นการจับกุมในความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืน เพื่อเป็นการป้องกันเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้ง อบต. สามารถทำการยึดของกลางได้ ดังนี้-อาวุธปืน(ไม่มีทะเบียน) จำนวน 791 กระบอก-อาวุธปีน(มีทะเบียน) จำนวน 125 กระบอก-อาวุธปืนสงคราม จำนวน 3 กระบอก-เครื่องกระสุนปืน จำนวน 6,383 นัด-สามารถจับกุมและตรวจยึดของกลางยาเสพติดได้ ดังนี้-ยาบ้า 94,584 เม็ด-ยาไอซ์ 751.93 กรัม-กัญชา 5,346.45 กรัม 94 ต้น-เคตามีน 99.61 กรัม-เฮโรอีน 218.63 กรัม ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรภาค 7 จะดำเนินการขับเคลื่อนตามมาตรการเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง โดยร่วมบูรณาการกำลังจากทุกภาคส่วน เพื่อให้ประชาชนและสังคมโดยรวมมีความสงบสุขและเพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนทั่วไปและสังคมโดยรวม ทำให้ประชาชนคลายความหวาดระแวงในการใช้ชีวิต

ในขณะเดียวกัน พล.ต.ท.ธนายุตม์ ยังได้เป็นประธานแถลงผลการระดมกวาดล้างการกระทำผิดในการแข่งรถในทางสาธารณะโดยผลการระดมกวาดล้างการกระทำผิดเกี่ยวกับการแข่งรถในทางและความผิดที่เกี่ยวข้อง ในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 7 ระหว่างวันที่ 11 – 20 พ.ย. 64”โดยสามารถจับกุมผู้กระทำความผิด ดังนี้ ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อื่น จำนวน 8 ราย, สนับสนุนให้ผู้อื่นขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อื่น จำนวน 5 ราย, เปลี่ยนแปลงตัวรถหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของรถให้ผิดไปจากรายการที่จดทะเบียนไว้และใช้รถนั้น จำนวน 351 ราย, ขับรถในลักษณะกีดขวางการจราจร จำนวน 30 ราย, ขับรถโดยประมาทหรือหวาดเสียวฯ จำนวน 14 ราย, ขับรถในลักษณะที่ผิดปกติวิสัยของการขับรถธรรมดา จำนวน 19 ราย, ขับรถโดยไม่ได้รับอนุญาตฯ จำนวน 947 ราย, ยินยอมให้ผู้ไม่มีใบอนุญาตขับขี่ขับรถของตนเอง จำนวน 26 ราย, ใช้รถที่มีอุปกรณ์ส่วนควบไม่ครบถ้วน จำนวน 753 ราย, ใช้รถที่ยังมิได้จดทะเบียน จำนวน 58 ราย-ดำเนินคดีกับร้านขาย, ดัดแปลงหรืออุปกรณ์ จำนวน 2 รายพร้อมด้วยของกลาง ดังนี้-รถยนต์ จำนวน 3 คัน, รถจักรยานยนต์ จำนวน 1,097 คัน, ท่อไอเสียที่ไม่ได้มาตรฐาน จำนวน 133 ชิ้น

นอกจากนี้ยังได้ดำเนินการตามมาตรการที่เกี่ยวข้องเพื่อทำงานเชิงรุกในการป้องกันปราบปรามการแข่งรถในทางและเกี่ยวข้อง ประกอบด้วย ตรวจค้นแลเประชาสัมพันธ์ร้านขายรถและอุปกรณ์รถ จำนวน 1,647 ร้าน, จัดทำประวัติผู้กระทำผิดและผู้มีพฤติกรรมเสี่ยงที่จะแตกรถในทาง จำนวน 244 ราย

พล.ต.ท.ธนายุตม์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรภาค 7 ได้ดำเนินการขับเคลื่อนตามมาตรการเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง โดยร่วมบูรณาการกำลังจากทุกภาคส่วน เพื่อให้ประชาชนและสังคมโดยรวมมีความสงบสุขและเพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนทั่วไปและสังคมโดยรวม ทำให้ประชาชนคลายความหวาดระแวงในการใช้ชีวิต ในการปฏิบัติการในครั้งนี้ตำรวจภูธรภาค 7 ขอขอบพระคุณทุกภาคส่วนและพี่น้องประชาชนที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ตำรวจภูธรภาค 7 โดยยึดหลักการทำงานแบบ “กัดไม่ปล่อย ล่าไม่ถอย คอยไม่เลิก” และ “ขยัน อดทน ดำรงตนอย่างมีเกียรติ” จะมุ่งมั่นทำงานตามวิสัยทัศน์ของ ผบช.ภ.7 ที่ว่า “ทำงานเชิงรุก เป็นตำรวจมืออาชีพ เพื่อความผาสุกของประชาชน” โดยจะทำการปราบปรามอาชญากรรมในทุกรูปแบบอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนเมื่อมั่นศรัทธาและมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และเพื่อให้นโยบายของรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ บรรลุวัตถุประสงค์สูงสุด