บิ๊กตู่-พปชร.ดิ้นอีกเฮือก รอดหรือกู่ไม่กลับ !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตรวจราชการที่ จ.เชียงใหม่



เมืองไทย 360 องศา

กลับมาอีกครั้ง สำหรับการเดินสายติดตามความคืบหน้าโครงการตามนโยบายของรัฐบาล และการเยี่ยมเยียนประชาชนตามต่างจังหวัด ล่าสุดได้นำคณะชุดใหญ่ไปที่จังหวัดเชียงใหม่ นอกเหนือจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายสุพัฒน์พงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

เป็นการไปตรวจความคืบหน้าการก่อสร้างตามโครงการผันน้ำ ตรวจเยี่ยมโครงการเพิ่มปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนแม่กวงอุดมธารา จังหวัดเชียงใหม่ ที่ประตูระบายน้ำแม่ตะมาน ต.กื้ดช้าง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้พบปะทักทายประชาชนและกลุ่มเกษตรกรศูนย์ข้าวชุมชนที่มาต้อนรับให้กำลังใจ

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้ประเทศไทยกำลังพบกับ สายลมแห่งความเปลี่ยนแปลง และจะอยู่ไปอีกนานอาจเป็นพายุขึ้น วันนี้เป็นค้นๆ ของพายุ จึงต้องมาพูดคุยกันให้เข้าใจทั้งรัฐ สมาคมหอการค้าฯ เราต้องจับมือไปด้วยกัน รัฐบาลพยายามขับเคลื่อน พร้อมพบปะพูดคุยสร้างความเข้าใจระหว่างประเทศให้มากขึ้น เพื่อปลดล็อคให้ภาคธุรกิจเดินต่อไปให้ได้ ทั้งนี้ขอเปรียบเทียบประเทศไทยเหมือนรถยนต์คันหนึ่งที่พาคนกว่า 70 ล้าน ขับเคลื่อนไปข้างหน้าบนเวทีโลก ทำอย่างไรให้เครื่องยนต์นี้เดินไปให้ได้ไม่หยุด เครื่องยนต์ไม่ติดขัด จึงต้องเตรียมรถให้พร้อม เพื่อพาคนขึ้นรถให้ได้

“สิ่งสำคัญที่สุดคือความรักความสามัคคี ความมีเสถียรภาพ ทะเลาะกันไม่ได้อีกแล้ว ผมไม่ต้องการทะเลาะกับใคร ผมทำให้ทุกคน ผมทำให้ทุกคน ผมทำให้ทุกจังหวัด ลงแผนงานโครงการให้ทุกจังหวัด จะรักหรือไม่รักผมก็ต้องทำให้ เพราะเป็นหน้าที่ของผม เลิกกันเสียทีเถอะ มันไม่เกิดอะไรขึ้น จะไม่มีอะไรดีขึ้นเลย สิ่งที่เราทำมาทั้งหมดจะสูญเปล่าไปเฉย ๆ เราต้องการเห็นบ้านเมืองก้าวหน้า ประชาชนอยู่ดีกินดี มั่นคง มั่งคั่ง ยังยืนแข่งกับประเทศอื่นได้ เราต้องจับมือเดินหน้าไปด้วยกัน ความร่วมมือจะนำไปสู่ความแข็งแกร่งกว่าเดิม สัญญาได้หรือไม่ สัญญาต้องเป็นสัญญา ต้องนั่งรถคันเดียวกันไปมันจะเป็นจะตายก็ต้องช่วยกันเข็น ต้องเข็นให้มันวิ่งดีกว่ามีเครื่องยนต์ นั่นคือความเป็นหนึ่งเดียวอนาคตของประเทศไทย”

แน่นอนว่าการมาตรวจเยี่ยมราชการและพบปะประชาชนในจังหวัดเชียงใหม่ครั้งนี้ ย่อมถูกจับตามองเป็นธรรมดา เนื่องจากเชียงใหม่รวมทั้งพื้นที่ภาคเหนือล้วนเป็นฐานการเมืองสำคัญของพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะนายทักษิณ ชินวัตร ดังนั้นการมาของพล.อ.ประยุทธ์ ในครั้งนี้มันก็เหมือนกับการ“ทดสอบ” อะไรบางอย่าง

ขณะเดียวกัน ยังมีความเคลื่อนไหวที่สอดคล้องกันจากพรรคพลังประชารัฐที่เริ่มจัดกิจกรรมในชื่อ ”พลังประชารัฐ พลังเพื่อชาติไทย” ลงพื้นที่เดินสายโรดโชว์ไปทั่วประเทศ ตามหัวเมืองใหญ่ 10 แห่งทุกภูมิภาค เริ่มดีเดย์ที่ จังหวัดชลบุรี เป็นแห่งแรกในวันที่ 10 กรกฎาคม ซึ่ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคจะไปร่วมกิจกรรมด้วย

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส) ในฐานะรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) กล่าวถึงการลงพื้นที่ทำกิจกรรมในช่วงนี้ โดยยอมรับว่า ที่ผ่านมาพรรคพลังประชารัฐ ไม่ค่อยได้ทำกิจกรรมทางด้านการเมือง ไม่ค่อยได้ออกพื้นที่ไปจัดกิจกรรม จึงถือว่าเป็นเรื่องปกติ ซึ่งเหลือเวลาอีก 8-9 เดือนจะครบเทอม เราก็ต้องทำกิจกรรมทางการเมือง ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ ซึ่งทุกพรรคการเมืองเขาทำกันอยู่แล้ว วันนี้มีพรรคไหนไม่ทำบ้างก็ทำกันทุกพรรค

เมื่อถามว่า เวลา 8-9 เดือนที่เหลือ คิดว่าพรรคพลังประชารัฐจะตีกระแสนิยมกลับมาได้หรือไม่ นายชัยวุฒิ กล่าวว่า เชื่อมั่นว่าในสิ่งที่ทำมาทั้งในนามพรรคและในนามรัฐบาลเรามาถูกทางแล้ว เพราะเราคือตัวจริงที่จะแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนได้ อยู่ที่เราทำการประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจให้กับพี่น้องประชาชน ก็เชื่อว่าประชาชนจะเข้าใจและให้การสนับสนุนพรรคพลังประชารัฐต่อไป ส่วนตัวไม่คิดว่าจะมีปัญหา ส่วนหลังจากเปิดเวทีแรกที่จ.ชลบุรี แล้วจะไปไหนต่อผมยังไม่ทราบ

การเคลื่อนไหวในภาพรวมๆ ที่กล่าวมาจะเห็นว่าเป็นการขยับของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพรรคพลังประชารัฐที่ออกมาสอดคล้องกัน โดยเฉพาะเป็นการขยับหลังจากที่ผลสำรวจออกมาว่า ความนิยมของ พล.อ.ประยุทธ์ และพรรคพลังประชารัฐตามหลังฝ่ายตรงข้ามคือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หรือ “อุ๊งอิ๊ง” ลูกสาวคนเล็กของ นายทักษิณ ชินวัตร และตามหลังพรรคเพื่อไทย แบบหลายช่วงตัว เรียกว่า “ทรุดลง” กว่าเดิมมาก

ดังนั้น ก็ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมถึงต้องมีการเคลื่อนไหว เปิดเกมรุกทางการเมืองไปข้างหน้าบ้าง อย่างน้อยก็ไม่ต้องตกเป็นเป้านิ่งให้ฝ่ายตรงข้ามโจมตีฝ่ายเดียว และเมื่อพิจารณาจากระยะเวลาที่เหลืออยู่อีกประมาณ 8-9 เดือน มันก็เหมือนกับเป็นช่วง “โค้งสุดท้าย” ที่มีโอกาสในการพลิกสถานการณ์ให้กลับมา ซึ่งหากพิจารณาจากแนวโน้มมันก็ยังมีทางเป็นไปได้ เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์วิกฤตบางอย่างเริ่มคลี่คลาย เช่น โรคระบาดโควิด ทำให้มีการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจได้ดีขึ้น การท่องเที่ยว การส่งออก การผลิต เริ่มจะกลับมา พร้อมๆ กับความพยายามในการตีปี๊บผลงานในช่วงที่ผ่านมา 7-8 ปี หากไม่อคติจนเกินไปมันก็พอมองเห็นบ้าง

ขณะเดียวกันหากสังเกตให้ดี จะเห็นว่าการเคลื่อนไหวของทั้งจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับพรรคพลังประชารัฐ รวมไปถึงกลุ่ม “สามป.” เริ่มหันกลับมาผนึกกำลังมากขึ้นกว่าเดิม มีความชัดเจนกว่าช่วงหลายเดือนก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะหากโฟกัสไปที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะหัวหน้าพรรค ที่ประกาศชัดเจนว่าสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ในบัญชีรายชื่อนายกรัฐมนตรีของพรรค ซึ่งล่าสุดก็ได้เห็นคำพูดของ นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ที่เป็นเหรัญญิกพรรค และหัวหน้านโยบายของพรรค ซึ่งในอดีตเคยถูกปลดพ้นเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ออกมาย้ำเป็นครั้งแรกว่า พรรคสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ในการเลือกตั้งครั้งหน้า พร้อมกับเปิดเผยถึงการโรดโชว์ในจังหวัดหัวเมืองสำคัญทั่วประเทศ รวมไปถึงการเตรียมจัดทำนโยบายสำหรับใช้หาเสียงเอาไว้แล้ว

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมันก็เหมือนกับการกลับมา “ผนึกกำลัง” จากทุกกลุ่มอีกครั้ง เหมือนกับการปล่อยวางเรื่องในอดีตเอาไว้ก่อน เพราะรับรู้ว่าหาก “แยกกันตายหมู่” แน่นอน ซึ่งภายในพรรคพลังประชารัฐในเวลานี้บรรยากาศก็เปลี่ยนไปจากก่อนหน้านี้ มีความ “นิ่ง” มากกว่าเดิม มีการมอบภารกิจในแต่ละภูมิภาคกันชัดเจน จนมีการยืนยันว่าการเลือกตั้งคราวหน้าจะต้องรักษาที่นั่งไม่ให้น้อยกว่าเดิม



ดังนั้น เมื่อพิจารณาตามนี้มันก็เหมือนกับว่า สำหรับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพรรคพลังประชารัฐมีความพยายามดิ้นเฮือกสุดท้ายใช้ช่วงเวลาที่เหลืออยู่อีกราว 8-9 เดือนข้างหน้าพลิกสถานการณ์ให้กลับมาเป็นบวกได้หรือไม่ ซึ่งก็ต้องมีองค์ประกอบหลายอย่าง ทั้งภายในและภายนอก หากทุกอย่างเป็นใจมันก็มีโอกาส แต่หากไม่เป็นตามคาดหมายออกมาเป็นตรงกันข้ามมันก็ยิ่งดำดิ่ง จบเห่ได้เหมือนกัน !!