17 มิ.ย.64 – เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ศาลจังหวัดชลบุรีศาลได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีฆ่าผู้อื่นหมายเลขแดงที่ 3544/2561 ที่พนักงานอัยการจังหวัดชลบุรี และน.ส.มณีพร ผึ่งผาย โจทก์ร่วม เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสุเทพ โภชนสมบูรณ์หรือ ลุงวิศวะ อายุ 56 ปี เป็นจำเลยในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา พาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรและ
โดยอัยการโจทก์นำคดีมายื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดชลบุรีเมื่อวันที่ 4 ก.ย.2560 สรุปว่า เมื่อวันที่ 4 ก.พ. 2560 นายสุเทพ จำเลยใช้อาวุธปืนยิงนายนวพลหรือปอนด์ ผึ่งผายอายุ 17 ปี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนแห่งหนึ่งที่หน้าอก1นัดจนถึงแก่ความตาย เหตุเกิดบริเวณแยกครกใหญ่ ต.อ่างศิลา อ.เมืองชลบุรี จ.ชลบุรี
ชั้นพิจารณา นายสุเทพ จำเลยให้การรับสารภาพเฉพาะความผิดฐานพาอาวุธปืนฯเท่านั้น ส่วนความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาให้การปฏิเสธสู้คดีอ้างว่า เป็นการป้องกันตัว
คดีนี้ศาลจังหวัดชลบุรีมีคำพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานพาอาวุธปืนฯ และฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาตามฟ้อง ฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา จำคุก 15 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 10 ปี ฐานพาอาวุธปืนฯ ปรับ 4,000 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงปรับ2,000 บาท รวมจำคุก 10 ปี ปรับ 2,000 บาท ยกคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ของผู้ร้อง ให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน 340,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันยื่นคำร้องขอเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ตามศาลชั้นต้น นายสุเทพ จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารแล้วเห็นว่า มูลเหตุคดีเริ่มต้นเมื่อพวกของผู้ตายจอดรถยนต์ตู้ซ้อนคันกับรถยนต์ของจำเลย โดยไม่ได้สนใจว่ารถยนต์ของจำเลยที่จอดริมฟุตบาทจะออกไปได้หรือไม่ เมื่อภรรยาจำเลยแจ้งให้ทราบว่า รถยนต์ของจำเลย กำลังจะออก แต่พวกของผู้ตายไม่ขยับให้ กลับบอกให้รอก่อน ซึ่งการจอดรถซ้อนคันขวางทางออกถนนของรถยนต์คันอื่น ทั้งมิยอมรีบขยับรถให้รถคันที่ตนจอดขวางอยู่ออกไปได้ มิใช่เรื่องที่คนทั่วไปกระทำกัน เหตุการณ์เช่นนี้ คนทั่วไปไม่ว่าใครก็ตามพบเจอ ย่อมต้องรู้สึกโกรธเป็นธรรมดา จำเลยจึงกล่าวถ้อยคำหยาบคายหลายครั้ง แต่มีเพียงถ้อยคำเดียวที่พวกของผู้ตายได้ยินก่อนที่จะพากันขึ้นรถยนต์ตู้ไป
ส่วนถ้อยคำหยาบคายอื่นๆจำเลยกล่าวในรถยนต์ของตนเอง ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้พวกของผู้ตายรู้สึกว่าจะต้องเอาเรื่องกับจำเลย ทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงแต่ทำให้จำเลยเสียเวลาไปบ้างเล็กน้อย จึงมิใช่เรื่องใหญ่โตถึงขนาดต้องฆ่ากัน เชื่อได้ว่า ในขณะที่รถยนต์ของทั้งสองฝ่ายเคลื่อนออกจากบริเวณหน้าร้านขายอาหารทะเลแห้ง ทั้งสองฝ่ายไม่ได้มีความคิดที่จะเอาเรื่อง อีกฝ่ายเพราะเหตุจากการมีปากเสียงกัน ส่วนเหตุการณ์ระหว่างทางตั้งแต่รถยนต์ของทั้งสองฝ่ายออกจากร้านขายอาหารทะเลแห้งจนถึงเวลาก่อนจะถึงแยกครกใหญ่ พวกของผู้ตายเพียงแต่เปิดไฟสูงใส่จำเลย ไม่ได้ขับแข่ง ขับแซง หรือปาดหน้า ทั้งที่อยู่ในวิสัย ที่สามารถกระทำได้โดยง่าย ส่วนพฤติการณ์ภายในรถฝ่ายจำเลย แสดงให้เห็นได้ว่า ภายหลังจากออกจากหน้าร้านขายอาหารทะเลแห้งไม่นาน จำเลยและภรรยาต่างระงับความโกรธได้และเกรงว่าจะถูกฝ่ายผู้ตายทำร้าย จึงมีความคิดจะไปขอความช่วยเหลือ จากเจ้าพนักงานตำรวจหรือบุคคลอื่น
เมื่อรถยนต์ของทั้งสองฝ่ายไปถึงแยกครกใหญ่ จำเลยมิได้ขับรถปากหน้ารถพวกของผู้ตาย เพื่อไปจอดรถที่ริมฟุตบาทและมิได้มีพฤติการณ์ยั่วยุให้คนในกลุ่มผู้ตายมาวิวาทต่อสู้กันอีก เมื่อมีคนในกลุ่มของผู้ตายหลายคนอยู่ล้อมรอบรถยนต์ของจำเลย ผู้ตายก็มุดศีรษะเข้ามาในรถยนต์ของจำเลย พูดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดว่า “มึงจะรบป่าว” หลายครั้ง และมีความเป็นไปได้สูงที่ผู้ตายจะเข้ามาทำร้ายจำเลยในชั่วเวลาอีกไม่นาน ขณะเดียวกันจำเลยยังถูกพวกของผู้ตายชกต่อยจากทางด้านหลัง ย่อมถือได้ว่ามีอันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะเกิดขึ้นแก่ชีวิตและร่างกายของจำเลยแล้ว ประกอบกับจำเลยนั่งอยู่ที่นั่งคนขับอันเป็นการอยู่ในที่จำกัดและเคลื่อนไหวร่างกายได้ยาก
การที่จำเลย ใช้อาวุธปืนยิงออกไปจึงเป็นทางเดียวที่จะให้จำเลยพ้นจากการถูกทำร้ายโดยผู้ตายและพวกได้ ถือได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตนให้พ้นภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง แต่เมื่อจำเลยเห็นอยู่แล้วว่าผู้ตายและพวกไม่มีอาวุธ หากจำเลยเพียงนำอาวุธออกมาขู่ว่าจะยิง หรือยิงออกไปโดยไม่จำเป็นต้องให้ถูกผู้ตายหรือยิงไปที่อวัยวะอื่นที่ไม่สำคัญของผู้ตาย ก็ย่อมเพียงพอที่จะยับยั้งมิให้ผู้ตายและพวกเขามาทำร้ายได้แล้ว แต่จำเลยกลับใช้อาวุธปืนยิงไปที่หน้าอกซ้ายของผู้ตาย แม้ยิงเพียงนัดเดียวก็ไม่เป็นการได้สัดส่วนกับภยันตรายที่เกิดขึ้นหรืออาจเกิดขึ้นกับจำเลย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ
ศาลฎีกาจึงพิพากษาแก้เป็นว่า ฐานฆ่าผู้อื่นโดยป้องกันเกินสมควรแก่เหตุจำคุก 5 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 3ปี 4 เดือน เมื่อรวมกับโทษในความผิดฐานพาอาวุธปืนฯ แล้ว รวมจำคุก 3 ปี 4 เดือน และปรับ 2,000 บาท
โดยเหตุคดีนี้เกิดจากฝ่ายผู้ตายจอดรถยนต์ขวางทางรถยนต์ของจำเลย จนเหตุการณ์ลุกลามบานปลาย อันเป็นความผิดของฝ่ายผู้ตายด้วยส่วนหนึ่ง ทั้งนี้ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน การรอการลงโทษให้แก่จำเลยน่าจะเป็นประโยชน์ แก่จำเลยและสังคมส่วนรวมมากกว่าการลงโทษจำคุกไปเสียทีเดียว โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 3 ปี คุมความประพฤติ 2 ปี รายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือน ให้จำเลยไปเข้ารับการฝึกอบรมที่เกี่ยวกับการระงับควบคุมอารมณ์ที่เกิดจากการใช้รถใช้ถนนและให้ทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์มีกำหนด 30 ชั่วโมง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีนี้เมื่อวันที่ 12 พ.ค.ที่ผ่านมาศาลจังหวัดชลบุรีได้นัดอ่านคำพิพากษาฎีกา แต่นายสุเทพ ซึ่งได้รับการประกันตัวระหว่างฎีกาไม่ยอมมาฟังคำพิพากษา ศาลเห็นว่า มีพฤติการณ์หลบหนี จึงออกหมายจับ สั่งริบเงินประกัน 874,000 บาทจกเป็นของแผ่นดิน และนัดฟังคำพิพากษาฎีกาลับหลัง ในวันนี้ซึ่งนายสุเทพคงไม่เดินทางมาฟังคำพิพากษาฎีกาอีกศาลจึงอ่านคำพิพากษาฎีกาลับหลังดังกล่าว
This website uses cookies.