SCOOP : กว่าจะมาเป็น ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์ ศึกสองล้อระดับโลก

ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ที่การแข่งขันระดับโลกจะมาจัดขึ้นในบ้านเรา แต่เมื่อได้รับโอกาสแล้ว ประเทศไทยไม่เคยทำให้ต้องผิดหวัง อย่างเช่นในศึกจักรยานยนต์ทางเรียบ โมโต จีพี รายการ ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์

นับตั้งแต่ได้สิทธิ์จัดการแข่งขันครั้งแรกในฤดูกาล 2018 มาถึงฤดูกาลล่าสุดคือ 2022 รายการนี้ยังคงได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ตั๋วแข่งจำหน่ายหมดในพริบตา และที่พักต้องจองล่วงหน้ากันเป็นปี

แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์ มีความเป็นมาอย่างไร ติดตามได้ที่นี่

บุรีรัมย์ อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จุดเริ่มดีลประวัติศาสตร์

แนวความคิดที่จะจัดการแข่งขัน โมโต จีพี ในบ้านเรา เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้ส่วนหนึ่งต้องยกเครดิตให้กับสนาม บุรีรัมย์ อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิต ที่เปิดใช้งานในปี 2014 และได้รับการการันตีมาตรฐานระดับโลกจากทั้ง สมาพันธ์ยานยนต์นานาชาติ (FIA) และสมาพันธ์จักรยานยนต์นานาชาติ (FIM) ให้อยู่ในเกรดที่สามารถจัดการแข่งขันทั้งรถสูตรหนึ่งชิงแชมป์โลก หรือ ฟอร์มูล่า วัน และ โมโต จีพี

 เมื่อสถานที่พร้อม และได้รับการันตีจากองค์กรระดับโลก ทำให้บรรดาผู้เกี่ยวข้องรวมถึงรัฐบาลไทย มองเห็นความเป็นไปได้ในการเสนอตัวจัดการแข่งขันศึกสองล้อที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เนื่องจากวิเคราะห์แล้วว่าจะมีผลตอบรับที่ดีเพราะแฟนกีฬาเข้าถึงได้ง่ายกว่าเอฟวัน ดังนั้นจึงได้ตัดสินใจเดินหน้าเจรจากับ ดอร์น่า สปอร์ตส์ เจ้าของลิขสิทธิ์การแข่งขัน เพื่อดึง โมโต จีพี มาแข่งต่อหน้าแฟนกีฬาชาวไทย และบรรลุข้อตกลงรวมทั้งเซ็นสัญญา 3 ปี (2018-2020) ในวันที่ 31 สิงหาคมปี 2017

ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์ 2018 กับความยอดเยี่ยมของ มาร์ค มาร์เกซ

ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์ ได้รับการบรรจุเข้าสู่ปฏิทินการแข่งขันของ โมโต จีพี ครั้งแรก ในฤดูกาล 2018 โดยเป็นสนามที่ 15 ซึ่งในฤดูกาลนั้น มาร์ค มาร์เกซ นักบิดชาวสเปนของทีม เรปโซล ฮอนด้า ที่กำลังไล่ล่าแชมป์สมัยที่ 5 ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ได้แชมป์ไปแล้ว 6 สนาม และขึ้นโพเดียมอีก 5 สนาม ก่อนจะมาแข่งที่ บุรีรัมย์ อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต และเจ้าตัวไม่ทำให้แฟนกีฬาชาวไทยผิดหวัง เมื่อคว้าแชมป์ไปครองได้สำเร็จพร้อมโกยคะแนนทิ้งห่าง อันเดรีย โดวิซิโอโซ่ นักบิดชาวอิตาลีของทีมดูคาติ ก่อนจะการันตีแชมป์โลกในสนามถัดมาที่ญี่ปุ่น

ขณะเดียวกัน รายการนี้ยังมีนักบิดชาวไทยที่ได้ลงแข่งโฮมเรซถึง 4 คน นั่นคือ “ติ๊งโน้ต” ฐิติพงศ์ วโรกร ที่ได้สิทธิ์ไวลด์การ์ดลงแข่งให้ทีมคาเล็กซ์ในรุ่น โมโตทู และคว้าอันดับ 18 ส่วนในรุ่น โมโตทรี มีทั้ง “ชิพ” นครินทร์ อธิรัฐภูวภัทร์ ของ ฮอนด้า ทีม เอเชีย, “แสตมป์” อภิวัฒน์ วงศ์ธนานนท์ ของทีม วีอาร์46 มาสเตอร์แคมป์ และ “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา ที่ลงในนาม เอพี ฮอนด้า เรซซิ่ง ไทยแลนด์ โดย “คิงคองก้อง” ที่ได้ไวลด์การ์ดลงแข่งเวทีระดับโลกเป็นหนแรกสร้างผลงานเซอร์ไพรส์คว้าอันดับ 9 ไปครอง

มาร์ค มาร์เกซ กับแชมป์โลกหนสุดท้ายแบบไร้เทียมทาน ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์ 2019

ในฤดูกาลต่อมา มาร์เกซ ยังคงไม่หยุดความร้อนแรง พร้อมทั้งแสดงให้เห็นถึงความเป็นที่สุดของโลก เมื่อเจ้าตัวคว้าชัย 8 สนาม พลาดโพเดียมเพียงรายการเดียวคือ ยูเอส กรังด์ปรีซ์ ที่แข่งไม่จบ และต้องการเพียง 2 คะแนนจากการแข่งขันที่บุรีรัมย์เพื่อการันตีคว้าแชมป์โมโต จีพี 4 สมัยซ้อน รวมทั้งเป็นสมัยที่ 6 ซึ่งมาร์เกซจัดหนักจัดเต็มแบบไม่มีผ่อน ก่อนจะแซง ฟาบิโอ กวาร์ตาราโร่ ดาวรุ่งชาวฝรั่งเศสเจ้าของตำแหน่งโพล ในรอบสุดท้าย คว้าแชมป์ไปครองได้อย่างยิ่งใหญ่ และเป็นแชมป์โลกสมัยที่ 8 รวมทุกคลาสของเจ้าตัวอีกด้วย

ส่วนนักบิดไทยมีลงแข่งแค่รายเดียวเท่านั้นคือ “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา ที่แข่งรุ่นโมโตทูแบบเต็มตัวฤดูกาลแรก ในสังกัด อิเดมิตสึ ฮอนด้า ทีม เอเชีย และคว้าอันดับ 9 ไปครอง 2 ปีติดต่อกัน

อย่างไรก็ตาม ในปีต่อมา ด้วยวิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด ทำให้ ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์ ต้องงดจัดการแข่งขันไปนานถึง 2 ปี เช่นเดียวกับการขาดหายไปของ มาร์ค มาเกซ ที่โดนปัญหาอาการเจ็บทำให้รุ่นโมโต จีพี มีแชมป์โลกหน้าใหม่อย่าง โจน เมียร์ ในปี 2020 และ ฟาบิโอ กวาร์ตาราโร่ ในฤดูกาล 2021 อย่างไรก็ตาม แฟนกีฬาความเร็วในบ้านเรายังมีข่าวดีเมื่อรัฐบาลอนุมัติการต่อสัญญาจัดการแข่งขันอีก 5 ปี คือ 2021-2025

ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์ 2022 กับโฮมเรซของ “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา

ฤดูกาล 2022 ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์ ได้หวนกลับมาจัดการแข่งขันอีกครั้ง และความน่าสนใจไม่ได้ลดน้อยลงจาก 2 ครั้งแรก แถมยังเพิ่มดีกรีมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะนอกจากการชิงชัยในรุ่นโมโตจีพี ที่มี 3 นักบิดกำลังลุ้นแชมป์คือ กวาร์ตาราโร่ แชมป์เก่าชาวฝรั่งเศสจากทีมยามาฮ่า, ฟรานเชสโก้ บัญนาย่า นักแข่งชาวอิตาลีจากดูคาติ และ อเล็กซ์ เอสปาร์กาโร่ นักแข่งชาวสเปนของอพริเลียแล้ว มาร์ค มาร์เกซ แชมป์ 6 สมัย ยังหวนกลับมาลงแข่งหลังพักรักษาอาการเจ็บไปนาน รวมทั้งเพิ่งคว้าอันดับ 4 ในสนามล่าสุด

นอกจากนั้น ไฮไลต์สำคัญคือ การลงแข่งต่อหน้าแฟนชาวไทยของ “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา นักแข่งผู้สร้างประวัติศาสตร์จากการเป็นนักบิดไทยคนแรกที่คว้าชัยในโมโตทู จากรายการ อินโดนีเซียน กรังด์ปรีซ์ และขึ้นโพเดียมไปอีก 3 สนามในฤดูกาลนี้

ดังนั้นจึงน่าสนใจเหลือเกินว่า สมเกียรติ จะบันทึกอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ให้วงการมอเตอร์สปอร์ตไทยหรือไม่ เช่นเดียวกับ “เคเค” เขมินทร์ คูโบะ อีกหนึ่งนักแข่งสายเลือดไทย ที่สังกัดทีม วีอาร์46 มาสเตอร์ แคมป์ อย่าลืมมาร่วมลุ้นร่วมเชียร์ด้วยกันในวันที่ 2 ตุลาคมนี้