Cervera เมืองโบราณบนเนินเขาแห่งคาตาลุญญา | Gourmet & Cuisine | LINE TODAY

Cervera เมืองโบราณบนเนินเขาแห่งคาตาลุญญา

ที่นี่ไม่ใช่บาร์เซโลนา ไม่ใช่มาดริด ไม่ใช่วาเลนเซีย และไม่ใช่จุดหมายปลายทางยอดนิยมใดๆ ของสเปน แต่เพียงแค่ 1 ชั่วโมงจากบาร์เซโลนาที่แสนวุ่นวายมาถึง “เซอร์เวรา” หรือ “ซาร์แบรา” เมืองเล็กๆ ในจังหวัดเยย์ดา (Lleida) ทางตะวันตกเฉียงเหนือของบาร์เซโลนากลับให้อีกมุมหนึ่งของคาตาลุญญาที่มีแต่ความสงบ เรียบง่าย แต่มีเสน่ห์อย่างไม่น่าเชื่อ

Cervera เมืองโบราณบนเนินเขาแห่งคาตาลุญญา

ล้อรถโดยสารประจำทางมาหยุดที่สถานีประจำเมืองในช่วงสายของวัน เมืองโบราณที่ดูเหมือนป้อมปราการบนเนินเขาสีน้ำตาลแห่งนี้ต้อนรับเราด้วยความเงียบสงบจนเกือบจะเรียกว่าเงียบสงัด แต่ใช้เวลาเดินเท้าเพียงครู่เดียวผ่านอาคารห้องแถวสีซีดที่บางแห่งปล่อยทิ้งร้างไปสู่จัตุรัสใจกลางเมือง เราก็พบกับเซอร์ไพรส์แรกของเมืองนี้กับตลาดนัดตอนเช้าของเมืองที่ยังคงคึกคักไปด้วยผู้คนที่ออกมาจับจ่ายใช้สอย

Cervera เมืองโบราณบนเนินเขาแห่งคาตาลุญญา

Cervera เมืองโบราณบนเนินเขาแห่งคาตาลุญญา

ที่นี่มีทั้งของสดจำพวกผักและผลไม้ของเกษตรกรท้องถิ่น อาหารแห้งอย่างไส้กรอกและแฮม ไปจนถึงรองเท้า และร้านเสื้อผ้าทำมือ ดูไปดูมาก็คล้ายคลึงกับบรรยากาศตลาดนัดเปิดท้ายขายของแบบไทยอยู่ไม่น้อย สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกแปลกที่หน่อยๆ ก็คือเราและเพื่อนเป็นเพียงชาวเอเชีย 2 คนที่อยู่ในเมือง ณ ขณะนั้น สายตาของชาวเมืองที่จับจ้องมาจึงสร้างความเก้อเขินอยู่ไม่น้อย แต่ด้วยความเป็นมิตรทำให้เราไม่รู้สึกอึดอัด แถมยังสร้างความประทับใจได้ทันที

Cervera เมืองโบราณบนเนินเขาแห่งคาตาลุญญา

Cervera เมืองโบราณบนเนินเขาแห่งคาตาลุญญา

ถ้าย้อนไปถึงเหตุผลที่เราเดินทางมาที่นี่ทั้งๆ ที่ไม่ใช่เมืองใหญ่และโด่งดังระดับท็อปของโลก แต่ถ้าใครที่ติดตามวงการรถจักรยานยนต์สองล้ออยู่แล้วละก็ จะต้องคุ้นเคยกับชื่อของเซอร์เวรามาไม่มากก็น้อย เพราะที่นี่คือบ้านเกิดของมาร์ก มาร์เกซ เจ้าของแชมป์โลกการแข่งขันจักรยานยนต์ทางเรียบ 8 สมัย ซึ่งในพิพิธภัณฑ์ประจำเมืองได้เปิดพื้นที่ส่วนหนึ่งเพื่อบอกเล่าเรื่องราวความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของแชมป์โลกที่เป็นดั่งความภาคภูมิใจของชาวเมืองเซอร์เวรา “ต้องขอบคุณมาร์กที่ทำให้เมืองเล็กๆ ของเราเป็นที่รู้จักในหมู่นักท่องเที่ยว” ชาวเมืองคนหนึ่งบอกกับเราเช่นนั้น แต่ก่อนจะไปถึงพิพิธภัณฑ์ไฮไลต์ประจำเมือง เราได้ผลไม้ติดมือมาพอประมาณจากการเดินเที่ยวในตลาดไปพักใหญ่ เวลาก็ล่วงเลยไปจนเที่ยงวันเราจึงตัดสินใจแวะไปร้านอาหารร้านที่มีชื่อว่า Gran Café ซึ่งเป็นร้านอาหารสเปนและเมดิเตอร์เรเนียนขนานแท้

Cervera เมืองโบราณบนเนินเขาแห่งคาตาลุญญา

โชคดีที่พนักงานในร้านเป็นหนุ่มวัยรุ่นที่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่ว เราจึงไม่มีอุปสรรคในการสั่งอาหารจากเมนูที่มีแต่ภาษาคาตาลันแต่อย่างใด แถมยังอดชื่นชมเราไม่ได้ว่ามีเซนส์การเลือกเมนูที่สุดยอด หลังจากที่เราสั่งซุปมะเขือเทศเย็นและหอยทากอบมากินในมื้อกลางวันนี้

Cervera เมืองโบราณบนเนินเขาแห่งคาตาลุญญา

Cervera เมืองโบราณบนเนินเขาแห่งคาตาลุญญา

หลังจากจบมื้ออาหารกลางวันชุดใหญ่จนได้เวลาประมาณบ่ายสองโมง เราก็พร้อมแล้วสำหรับการเดินชมเมืองก่อนที่เที่ยวรถขากลับจะมาถึงราวๆ สี่โมงเย็น แต่เมื่อออกจากร้านอาหารมาก็ได้พบกับเซอร์ไพรส์ที่สองของเมืองนี้ทันที เพราะพิพิธภัณฑ์และร้านค้าทุกแห่งปิดทำการแล้วทั้งหมด! และจะเปิดให้บริการอีกครั้งหนึ่งในเวลาห้าโมงเย็น! จึงเป็นเหตุที่บังคับให้เราต้องทิ้งตั๋วรถโดยสารขากลับที่จองไว้ และต้องเสียเงินเพิ่มเพื่อจองตั๋วรถรอบใหม่ที่จะออกในเวลาค่ำๆ หลังจากนั้นจึงได้กลับมาเรียนรู้ว่ามันคือวัฒนธรรมที่เรียกว่า “Siesta (เซียสต้า)” หรือวัฒนธรรมงีบหลับตอนกลางวันของชาวสเปน ซึ่ง ณ เวลานั้น ทั่วทั้งเมืองที่เคยคึกคัก ผู้คนออกมาเดินเล่นที่ตลาด กลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ร้านค้าทุกร้านปิดเงียบเชียบ ทุกอย่างตกอยู่ในความว่างเปล่าจนแทบได้ยินเสียงหายใจของตัวเอง บนถนนมีเพียงรถไม่กี่คันที่วิ่งผ่านไปมาแบบนานๆ ครั้ง กับเจ้าหน้าที่ทำความสะอาดซึ่งค่อยๆ เก็บกวาดขยะตรงจัตุรัสที่เคยเป็นตลาดมาก่อนเมื่อ 2 ชั่วโมงที่แล้ว

Cervera เมืองโบราณบนเนินเขาแห่งคาตาลุญญา

ในระหว่างที่ผู้คนกลับบ้านไปงีบกันทั้งเมือง มีเพียงสถานที่เดียวที่ยังเปิดให้เข้าไปสำรวจได้นั่นคือ Universitat de Cervera หรือมหาวิทยาลัยแห่งเซอร์เวรา เป็นอาคารเก่าแก่ที่ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1717 และยุติการเรียนการสอนทั้งหมดไปแล้วตั้งแต่ปี ค.ศ.1767 ทุกวันนี้ได้รับการประกาศให้เป็นอนุสรณ์สถานทางวัฒนธรรมที่มีความสำคัญระดับชาติโดยรัฐบาลสเปน และยังคงทำหน้าที่เป็นสถานที่แสดงคอนเสิร์ตและการแสดงต่างๆ อยู่บ่อยครั้ง ด้วยสถาปัตยกรรมที่ได้อิทธิพลมาจากทางทหาร อาคารเรียนจึงมีลักษณะเป็นแผนผังสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีหอคอยสูงประดับอยู่ทุกมุม ประตูด้านหน้าสุดนั้นงดงามวิจิตรด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์บาโรก ส่วนภายในก็มีกลิ่นอายของนีโอ-คลาสสิกผสมผสานอยู่ด้วย ที่นี่จึงเปี่ยมไปด้วยมนต์ขลัง แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของเซอร์เวราในฐานะศูนย์กลางทางปัญญาของแคว้นคาตาลุญญาเมื่อครั้งอดีต

Cervera เมืองโบราณบนเนินเขาแห่งคาตาลุญญา

ด้วยภูมิประเทศที่ตั้งอยู่บนเนินเขา เซอร์เวราจึงมีจุดชมวิวกระจายอยู่รอบๆ เมือง โดยเฉพาะบริเวณกำแพงเมืองและป้อมปราการซึ่งเป็นร่องรอยที่หลงเหลืออยู่ของเมืองแห่งยุทธศาสตร์ ใช้เวลาเดินไม่เกิน 1-2 นาทีจากมหาวิทยาลัยเท่านั้น ภาพของเนินเขาเป็นคลื่นๆ ประดับไปด้วยทุ่งหญ้าเตี้ยๆ สีน้ำตาลตัดกับต้นไม้และพุ่มไม้สีเขียว มีถนนพาดผ่านจนสุดสายตา แสดงให้เห็นถึงภาพเมืองชนบทที่แสนเรียบง่าย แต่ก็มีความล้ำค่าทางประวัติศาสตร์ในหลากหลายแง่มุม

Cervera เมืองโบราณบนเนินเขาแห่งคาตาลุญญา

หลังจากเตร็ดเตร่เดินชมเมืองฆ่าเวลาไปพักใหญ่ก็ได้เวลาของการทำงานอีกครั้ง Museu Comarcal de Cervera หรือ Cervera Regional Museum คือพิพิธภัณฑ์ที่เราได้กล่าวถึงไปก่อนหน้านี้ ในฐานะของพิพิธภัณฑ์ประจำเมืองเซอร์เวรา แต่เดิมนั้นเป็นสถานที่จัดแสดงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และคอลเล็กชันของมหาวิทยาลัยในช่วงศตวรรษที่ 18 รวมถึงวิถีเกษตรกรรมก่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมในชนบท ทุกวันนี้บริเวณชั้นล่างสุดของพิพิธภัณฑ์ได้อุทิศเป็นพื้นที่นิทรรศการ‘I’m 93’ เพื่อเชิดชูสองพี่น้องนักบิดดีกรีแชมป์โลก มาร์ก มาร์เกซ และอเล็กซ์ มาร์เกซ ที่แฟนคลับวงการสองล้อจะต้องประทับใจไปกับการจัดแสดงรถแข่งนับสิบคัน ผสมผสานไปกับการเล่าเรื่องราวของสองนักแข่งที่เกิดและเติบโตที่เมืองนี้ ไปจนถึงเส้นทางการคว้าแชมป์โลกอย่างยิ่งใหญ่

Cervera เมืองโบราณบนเนินเขาแห่งคาตาลุญญา

ภายในตู้โชว์มีถ้วยรางวัลเรียงรายแน่นจนไม่มีที่ว่าง และถ้าสังเกตดูให้ดีจะเห็นถ้วยรางวัลที่มาร์ก มาร์เกซคว้าชัยชนะมาได้จากการแข่งขัน MotoGP ครั้งแรกของประเทศไทย ณ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์เมื่อปี ค.ศ. 2018 ตั้งอวดโฉมอยู่ด้วย ส่วนชั้นบนของพิพิธภัณฑ์ได้เปลี่ยนเป็นการจำลองบ้านของชนชั้นนายทุนในคาตาลุญญาระหว่างศตวรรษที่ 19 ที่มีทั้งโบสถ์ส่วนตัว ห้องอาหาร ห้องทำงานซึ่งมีขนาดใหญ่ แสดงให้เห็นถึงค่านิยมและวิถีชีวิตของคนในสมัยก่อน กับการสร้างบ้านให้เป็นหน้าตาต่อคนในสังคม

Cervera เมืองโบราณบนเนินเขาแห่งคาตาลุญญา

น่าเสียดายไม่น้อยที่เซอร์เวราทำให้เราคิดไปเองว่าจะสามารถเที่ยววันเดย์ทริปได้ เพราะจริงๆ แล้วภายในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ยังมีอีกหลายจุดที่น่าแวะชม อย่างไรก็ตาม ในระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่ชั่วโมงก็ทำให้เราตกหลุมรักไปกับเสน่ห์ของเมืองเก่ายุคกลางได้ไม่ยาก และได้แต่หวังว่าจะมีโอกาสหน้าได้กลับมาเยือนอีก (หลายๆ) ครั้ง