ในโลกของมอเตอร์ไซค์ยุคใหม่นั้น เรากำลังอยู่ในจุดกึ่งกลางของการเปลี่ยนถ่ายอีกครั้ง จากกลุ่มเครื่องยนต์สันดาปภายใน ไปสู่มอเตอร์ไฟฟ้าซึ่งเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในช่วงยุคปลาย 80-90 ที่เราอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านของเครื่องยนต์สันดาปภายในสองจังหวะสู่เครื่องยนต์แบบสี่จังหวะ ซึ่งในปัจจุบันนั้นถึงแม้ว่าบรรดาผู้ผลิตจะหันเหความสนใจไปพัฒนารถมอเตอร์ไซค์พลังงานไฟฟ้าสำหรับอนาคต แต่ก็ยังมีกลุ่มเล็กๆ ที่ยังคงหลงใหลในเครื่องยนต์สองจังหวะ จึงเกิดเป็นที่มาของบทความที่เรากำลังจะได้อ่านกันนี้
ก่อนอื่นเลยต้องบอกก่อนว่ารถทั้ง 10 คันที่เราได้หยิบมาเล่าให้เพื่อนๆได้อ่านกันนั้นมีที่มาจาก visordown.com เว็บไซต์มอเตอร์ไซค์ชื่อดังจากประเทศอังกฤษ ซึ่งได้รวบรวมข้อมูลในเรื่องของมูลค่า และทางทีมงาน Greatbiker เองก็ได้เสริมข้อมูลบางส่วนและปรับบริบทหลายๆ ด้านให้เข้ากับการอ่านของคนไทยมากขึ้น ณ จุดนี้ต้องขอขอบพระคุณที่มาซึ่งเป็นหัวเชื้อให้กับบทความให้เราได้อ่านกันในวันนี้ครับ
1971 Kawasaki H2 Mach IV
ในเดือนกันยายนปี 1971 โลกได้รู้จักกับปีศาจตัวใหม่ Kawasaki H2 Mach IV ปีศาจยกล้อในตำนาน ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด 748 ซีซี 3 ลูกสูบ 2 จังหวะ ที่เน้นแรงบิดสูงในรอบที่ต่ำด้วยแรงบิดสูงสุดที่ 77.4 นิวตันเมตรที่ 6,500 รอบ ซึ่งสูงกว่า Honda CB750 ที่วางขายในจังหวะไล่เลี่ยกัน แต่เจ้า CB750 นั้นเป็นเครื่องยนต์แบบ 4 จังหวะที่สามารถสร้างแรงบิดได้เพียง 60 นิวตันเมตรที่ 7,000 รอบต่อนาที ทำให้เจ้า H2 Mach IV นั้นเหนือกว่าทั้งในด้านของแรงบิดและพละกำลังสูงสุด ซึ่งในปัจจุบันนั้นตามตลาดรถมอเตอร์ไซค์มือสองของประเทศอังกฤษยังพอจะมีตัวรถและบางส่วนจำหน่ายอยู่ ซึ่งตัวรถที่พอจะมีราคาที่เบาที่สุด ประกาศขายกันอยู่ที่ £16,000 หรือประมาณ 705,835 บาท
1974 Yamaha TZ750
ปีศาจในคราบรถมอเตอร์ไซค์ที่แท้จริง Yamaha TZ750 ถูกผลิตขึ้นในปี 1974 ท่ามกลางคู่ต่อสู้เบอร์ใหญ่อย่าง Honda NSR500 และ Suzuki RG500 ซึ่งเจ้า Yamaha TZ750 มีความต่างในเรื่องของปริมาตรความจุเครื่องยนต์ที่ส่งให้ตัวรถนั้นมีกำลังสูงสุดที่พุ่งไปแตะ 120 แรงม้า (BHP) และจัดว่าเป็นรถในสาย Producation ที่แรงที่สุดรุ่นหนึ่งในยุค 70 มันชนะการแข่งขัน F750, Daytona 200 และ open class มานับไม่ถ้วน ด้วยผลงานการควบคุมรถของ Ron Haslam ชายที่ถูกยกให้เป็นนักแข่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดของปี 1981 จากนิยตสาร MCN (ปัจจุบันเป็นออนไลน์แล้ว) ด้วยความเป็นที่สุดของสายแข่ง ทำให้ค่าตัวในปัจจุบันนั้นเข้าขั้นพรีเมี่ยมแบบสุดๆ ราคาที่พอจะหาได้ในตลาดตอนนี้อยู่ที่ประมาณ £50,000 หรือประมาณ 2.2 ล้านบาทไทย
1980 Yamaha RD350LC
อีกหนึ่งโมเดลรถมอเตอร์ไซค์ที่จัดว่าเป็นระดับตำนานของทาง Yamaha มันคือการนำเอาโมเดล RD500 มาทำการปรับปรุงเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานมากขึ้น โดยที่เจ้า RD350LC เองก็มักจะถูกนำไปปรับแต่งสำหรับการแข่งขันแบบ One Make Race ที่มีการถ่ายทอดทางโทรทัศน์ และมันถูกยกย่องให้เป็นรถมอเตอร์ไซค์ที่ดีที่สุดของปี 80 และ 81 สองครั้งซ้อน อีกทั้งยังครองสถิติรถมอเตอร์ไซค์ที่ถูกขโมยมากที่สุดรุ่นหนึ่งในช่วงปี 1980-1983 ซึ่งในปัจจุบันนั้นมูลค่าของตัวรถตามตลาดมือสองถ้าสภาพแค่พอขี่ได้ก็ปาไป £7500 หรือประมาณ 330,725 บาท เข้าไปแล้ว
1985 Honda CR500R
ย้อนกลับไปในปี 1979 Honda เองเคยรุ่งโรจน์สุดๆ กับตัวแข่งวิบากในรายการ 500MX ที่ใช้เครื่องยนต์สองจังหวะ แต่แล้วความสำเร็จที่เคยหอมหวานก็จืดจางลงไปจนกระทั่งในปี 1985 Honda ได้เปิดตัว CR500R ตัวแข่งวิบากสายพันธ์ใหม่ที่มาพร้อมกับระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ ซึ่งกลายเป็น Race Machine ที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม และผนวกเข้ากับผลงานสุดเฉียบของยอดนักแข่ง Dave Thorpe ทำให้เจ้า CR500R คว้าแชมป์โลกแปดปีซ้อนกัน ซึ่งคงไม่ต้องบรรยายอะไรให้มากมายถึงความเป็นที่สุดของทางฝุ่นสำหรับโมเดลนี้ ในส่วนของมูลค่าในตลาดปัจจุบันนั้น CR500R มีค่าตัวในสภาพเนียบๆที่ £10,000 หรือประมาณ 441,050 บาท
1985 Yamaha RD500LC
Yamaha RD500 ถือว่าเป็นคู่แข่งโดยตรงกับ Honda NSR400R ในสนามการแข่งขัน โดยโมเดลที่ห้อยท้ายด้วยรหัส LC นั้นจะเป็นโมเดลสำหรับการจำหน่ายที่ลดทอนสเปกบางอย่างลงตามกฎหมาย แต่ยังคงเครื่องยนต์ที่เป็นเอกลักษณ์ V4 499 ซีซี ที่สามารถสร้างพละกำลังสูงสุดได้ถึง 88 PS ที่ 9,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 65.4 นิวตันเมตรที่ 8,500 รอบต่อนาที และด้วยโครงสร้างแบบ Mid-Steel Box Section Chassis ที่ดูจะเป็นข้อแตกต่างจากรุ่นอื่นๆ ที่ใช้โครงสร้างแบบ Alloy Chassis ทำให้เจ้า RD500 คันนี้ดูจะเหมาะสมกับการเป็นรถใช้งานบนท้องถนนที่สามารถทนต่อแรงสะเทือนของพื้นผิวถนนที่ไม่เรียบเหมือนในสนามแข่งได้ดีกว่าใครๆในรุ่น ในส่วนของมูลค่าสำหรับการหามาครอบครองในปัจจุบันนั้นเจ้า RD500LC มีค่าตัวอยู่ที่ £15,000 หรือราวๆ 661,392 บาทโดยประมาณ
1994 Honda NSR250 (MC28)
Honda NSR250 จัดว่าเป็นโมเดลจำลองตัวแข่ง 250GP ที่สมบูรณ์แบบที่สุดคันหนึ่ง โดยเฉพาะเครื่องยนต์ที่ติดตั้งบน MC28 นั้นจะใช้เครื่องยนต์แบบ V-Twin 249 ซีซี ที่ถ่ายทอดเทคโนโลยีของตัวแข่งของ Luca Cadalora แชมป์โลก 250 ซีซี ในช่วงเวลานั้น และมันกลายเป็นภาพจำที่สวยงามกับชุดแฟร์ริ่งของ Rothmans ซึ่งมันเป็นคู่แข่งคนสำคัญของ Suzuki RGV250 Kawasaki KR-1/S และรุ่นใหญ่ตามใครไม่ทันอย่าง Yamaha TZR250 โดยมูลค่าของเจ้า NSR250 ในปัจจุบันนั้น หากหาได้ในสภาพที่ดีพร้อมขี่ก็จะมีราคาอยู่ที่ £8,500 หรือประมาณ 374,835 บาท
2014 Ronax 500 V4
หากเพื่อนๆ หลงใหลในรถมอเตอร์ไซค์สองจังหวะในสนามการแข่งขัน World Grand Prix ในอดีต เพื่อนๆ อาจจะสนใจเจ้า Ronnax 500 คันนี้เพราะมันเป็นรถมอเตอร์ไซค์สองจังหวะที่ใกล้เคียงกับรถแข่งในยุคนั้นมากที่สุด ด้วยเครื่องยนต์ขนาด 499 ซีซี V 48 องศา สองจังหวะ จ่ายน้ำมันด้วยระบบหัวฉีด สามารถสร้างแรงม้าสูงสดได้ถึง 160 HP ที่ 11,500 รอบต่อนาที และด้วยความพิเศษที่ผลิตแบบ Limited Edition ตามใบสั่งเท่านั้น จึงมีจำนวนรถที่ออกมาในแต่ล่ะปีไม่ถึง 100 คัน สำหรับสนนราคาค่าตัวแบบออกโรงงานนั้นจะเริ่มต้นที่ £86,000 หรือประมาณ 3.79 ล้านบาท และย้ำอีกครั้ง รถมอเตอร์ไซค์ราคาสามล้านปลายๆ คันนี้ ไม่สามารถจดทะเบียนสำหรับการขี่บนท้องถนนสาธารณะได้นะจ๊ะ
2017 Suter MMX 500
สุดยอดของรถมอเตอร์ไซค์สองจังหวะแห่งยุค ด้วยมาตรฐานของรถจากสนามแข่งขันที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี Suter แบรนด์มอเตอร์ไซค์จากประเทศสวิสเซอร์แลนด์ กับเจ้า MMX500 ที่ผลิตในจำนวนจำกัดเพียง 99 คันทั่วโลก ด้วยเครื่องยนต์ขนาด 500 ซีซี V4 2 จังหวะ สร้างแรงม้าสูงสุดได้ถึง 195 แรงม้าที่ 13,000 รอบต่อนาที และนำหนักตัวที่สุดเบาเพียง 127 กิโลกรัมเท่านั้น มันจึงกลายเป็นหนึ่งในสุดยอดความปรารถนาของสายสองจังหวะเป็นที่สุด และเรื่องของราคานั้นถ้าคุณไม่ใช่มหาเศรษฐี หรือมีเงินในบัญชีไม่ถึงหลักร้อยล้าน น่าจะต้องข้ามไปเลย เพราะราคาค่าตัวของมันเบ็ดเสร็จจะอยู่ที่ £87,000 หรือประมาณ 3.83 ล้านบาทไทย และอีกครั้งที่รถราคาเกือบๆ 4 ล้านบาท ไม่สามารถจดทะเบียนเพื่อขับขี่บนท้องถนนได้นะจ๊ะ…
2017 Vins Duecinquanta
เราเคยนำเสนอเรื่องราวของ Vins ผู้ผลิตรถมอเตอร์ไซค์ผู้หลงใหลในเครื่องยนต์ 2 จังหวะมาอย่างมากมาย โดยเจ้า Duecinquanta นั้นเป็นรถมอเตอร์ไซค์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานในสนามการแข่งขัน โดยมีจุดเด่นที่เครื่องยนต์ขนาด 249 ซีซี 2 ลูกสูบ V-Twin 90 องศา 2 จังหวะ โดยที่ระบบจ่ายน้ำมันนั้นจะเป็นแบบหัวฉีด Direct Injection จ่ายน้ำมันโดยตรงเข้าสู่ห้องเผาไหม้ สร้างแรงม้าได้สูงสุด 74 แรงม้า (HP) ที่ 11,700 รอบต่อนาที ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 220 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยที่โครงสร้างนั้นจะผลิตมาจาก Monocoque Chassis และตัวแฟร์ริ่งผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ล้วน ทำให้น้ำหนักตัวนั้นเมื่อเติมน้ำมันจนเต็มถังขนาด 11 ลิตรแล้ว จะมีน้ำหนักตัวของมันจะอยู่ที่เพียง 105 กิโลกรัมเท่านั้น ในส่วนของราคาจำหน่ายนั้น ในปี 2021 Vins Duecinquanta มีกำหนดในการสร้างจำนวน 50 คัน โดยมีมูลค่าเริ่มต้นที่ £35,600 – 44,500 หรือประมาณ 1.57 – 1.96 ล้านบาท
2021 Langan Two Stroke
น้องใหม่มาแรง โมเดลพิเศษโดยผู้ผลิตพิเศษ ที่ถูกสร้างแบบงานคราฟ ปราณีตจนเปรียบเสมือนงานศิลปะ โดยเจ้า Langan Two Stroke นั้นจะใช้ขุมกำลังชุดเดียวกับ Vins Duecinquanta ด้านบน แต่จะดัดแปลงรูปแบบของตัวรถให้ออกไปในทางของ Cafe Racer โดบมีโครงสร้างแบบอลูมิเนียมน้ำหนักเบา และชุดกันสะเทือนหน้า Ohlins RWU ขอบล้อแบบซี่ลวด ระบบเบรกจาก Hel ถังน้ำมันคาร์บอน ซึ่งส่งผลให้น้ำหนักตัวของรถเมื่อเติมของเหลวแบบไม่รวมของเหลวจะอยู่ที่เพียง 114 กิโลกรัม น้ำหนักเบากว่ารถ 150 ซีซี บางรุ่นในปัจจุบันด้วยซ้ำไป และด้วยความพิเศษนี้ ราคาของมันก็พิเศษใช่ย่อย มันจะถูกผลิตเพียง 100 คันเท่านั้น โดยราคาจำหน่ายของเจ้า 2021 Langan Two Stroke จะอยู่ที่ £28,000 หรือประมาณ 1.23 ล้านบาท แต่เดียวก่อนราคานี้ตัวรถสามารถจดทะเบียนสำหรับการขับขี่บนท้องถนนสาธารณะได้นะ ซึ่งราคาที่ว่าไปนี้ยังไม่รวมภาษีและค่าใช้จ่ายสำหรับการขออนุญาตใช้งานต่างๆ หรือการนำเข้ามายังประเทศไทยนะจ๊ะ
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก www.visordown.com
เรื่องฮิตล่าสุด!