โบกรถ-บิดมอ



เปิดใจนักท่องโลกสายโหด ลุยเดี่ยวลาออกจากงานสานฝันเดินทางไกล ขี่รถมอเตอร์ไซค์-โบกรถ เปิดโอกาสให้ตัวเองออกจากความกลัว เดินทางทั่วไทย เน้นนอนวัด-อุทยาน ประหยัดเงิน เพราะมีความเชื่อ “ความสุขอยู่ที่ปลายทาง” แม้ระหว่างทางจะเต็มไปด้วยเส้นทางขรุขระ


‘สิ่งที่ควรทำก่อนอายุ 30’ = มีเงิน-มั่นคง?



“ผมมองว่าไม่ควรจะเอาตัวเลขมาเป็นที่ตั้งให้กดดัน จริงๆ มันไม่มีความจำเป็นเลยด้วยซ้ำ ว่าคุณจะต้องเรียนจบตอนอายุ 20 คุณจะต้องแต่งงานอายุ 25 หรือจะต้องค้นพบตัวเองตอนอายุ 30 หรือคุณต้องมีบ้านตอนอายุ 40 หรือคุณต้องมีเงินเก็บเป็นล้านตอน 45 หรือ 50

จงอย่าใช้ชีวิตอยู่ในกรอบกับดักของการตั้งมาตรฐานจากสังคม จงใช้ความรู้สึกของตัวคุณเองเป็นบรรทัดฐาน ว่าคุณมีความสุข คุณโอเคกับสิ่งที่คุณเลือก แค่นั้นก็จบ”

[อายุ ไม่ใช่ตัววัด ความสำเร็จ]

นี่คือคำกล่าวของ “บอล-นเรศร นันทสุทธิวารี” เจ้าของเพจ ‘บอลพาเที่ยว Backpacker Ball’ วัย 41 ปี ผู้ที่มีความเชื่อว่าความลำบาก ความสุขรออยู่ปลายทางเสมอ ตัดสินใจออกจากความกลัว เปิดโอกาสให้ตัวเอง “ลาออก” จากงาน ในวัยเลข 3 เพื่อทำตามความฝันเดินทางท่องเที่ยว

ในวัยที่หลายคนมองว่าอายุ 30 คือช่วงเวลาที่ต้องรีบมีชีวิตที่มั่นคง ให้รีบทำอย่างนั้นอย่างโน้นเพื่อประสบความสำเร็จ และมักถูกคาดหวัง จริงๆ แล้ว วัยไม่ได้เป็นตัวบอก หรือตัวกำหนดว่าจะค้นพบตัวเอง

“ถ้าคุณรู้สึกว่าทุกวันนี้ยังไม่รู้จะทำอะไร คุณทำอะไรแล้วมีความสุขคุณก็ทำอันนั้นไป ถ้าไม่ชอบคุณก็แค่เปลี่ยนแค่นั้นเอง ขอแค่อย่างเดียวอย่าเป็นหนี้ แล้วให้มีความสุขกับชีวิตในแต่ละวันก็พอ



แล้วก็ทำไปๆ โดยอย่ากดดันตัวเอง ว่าเมื่อไหร่กูจะเจอ คือคุณไม่รู้ แต่อย่างหนึ่งที่ช่วยคุณได้ คือ จงอย่าปล่อยให้เวลาปล่อยผ่าน การที่คุณหาความชอบได้ คุณจะต้องลองทำหลายๆ อย่าง ลองใช้ชีวิตหลายๆ รูปแบบ ใครไม่เคยลอง ลองไป มันจะเพิ่มโอกาสให้เจอตัวคุณเอง เจอสิ่งที่คุณชอบเร็วมากยิ่งขึ้น”



บอลผู้มีนักท่องเที่ยวร่วมไปด้วยกันในเพจถึงหลักล้าน ให้คำนิยามการค้นหาตัวเองในวัย 30 ที่อาจไม่มีคำตอบสำเร็จรูป เพราะทุกช่วงวัยของชีวิตสามารถตามหาตัวเอง หรือมีความฝันของตัวเองได้เหมือนกัน

“ส่วนตัวผมไม่เลยครับ เพราะผมเจอวัยรุ่นบางคน โดยเฉพาะใน TikTok, Facebook หรือใน Youtube ที่เขาชัดเจนตั้งแต่ตอนอายุเลขตัวเดียว 8-12 ปี เขาก็รู้แล้วว่าเขาอยากทำอะไรบ้าง

บางคน 45 ยังไม่รู้เลย ยังวิ่งตามเงิน วิ่งตามตัณหาอยู่เลย คือผู้ชายยังสะสมเมียน้อย เมียเก็บ สะสมกิ๊กอยู่เลย ฉะนั้นมันไม่ใช่สิ่งที่แท้จริงสำหรับผม มันแค่วิ่งตามตัณหา วิ่งตามสังคม



ฉะนั้นอายุไม่เกี่ยว แต่เกี่ยวตรงที่ว่าคุณไปหาประสบการณ์ใหม่ๆ แล้วค่อยเก็บสะสมความรู้ไปเรื่อยๆ ลองไปเรื่อยๆ แล้ววันไหนคุณรู้สึกมีความสุขจังแค่ได้ทำอันนี้ โดยไม่ได้สนใจว่าจะมีคนชอบหรือไม่ชอบ คนไลก์ไม่ไลก์ ดังนั้นคุณแค่ทำมันต่อไป จนวันหนึ่งคุณจะเบื่อแล้วจะทำสิ่งอื่น

เรื่องความกลัว หรือว่าเรื่องสังคมออนไลน์ ต้องบอกเลยว่าน่าสงสารยุคปัจจุบัน คือโลกใบนี้มีหลายมุม มุมที่ได้ประโยชน์จากโซเชียลฯ มีเยอะมาก เราไม่ปฏิเสธ



แต่มุมที่เป็นโทษก็มี อย่างเช่นเวลาเราเสพโซเชียลฯ มากๆ โดยเฉพาะใน TikTok เราจะเห็นคนประสบความสำเร็จมาโพสต์ พอมาโพสต์แล้วกลายเป็นสร้างความกดดันให้ตัวเราเองโดยอัตโนมัติ แม้เราจะพยายามคิดว่าอย่าไปสนใจเขา เราพยายามทำชีวิตเราให้ดี



สุดท้ายพอเราเห็นทุกวัน มันจะเกิดการตั้งมาตรฐานของสังคม แล้วเราคิดว่าเราควรต้องไปแตะตรงนี้ เพราะคนอื่นเขาสำเร็จ แต่คุณอย่าลืมว่าก็มีคนไม่สำเร็จเยอะแยะ และเขาก็มีความสุข แต่คุณยังไม่ได้ไปมอง

มันง่ายมากครับกับการที่คนจะยึดติดเรื่องของวัตถุ เงินทอง ชื่อเสียง มันเป็นสิ่งที่โคตรง่าย มันเป็นสิ่งที่ลิ้นเราต้องการอาหารอร่อย ฉะนั้นมันง่ายมากที่จะตกหลุม ตกกับดักตรงนี้ ฉะนั้นแค่จะฝากบอกว่า จงอย่าสนใจป้าข้างบ้านไม่ว่ากรณีไหน และจงถามใจตัวเองว่าจริงๆ เราต้องการอะไรกันแน่”


ออกจาก “ความกลัว” ค้นหา “ความสุข”



เสื้อยืดสีส้ม พร้อมบิดมอเตอร์ไซค์คู่ใจขึ้นเหนือลงใต้ พกความมั่นใจลุยทุกพื้นที่ สำหรับบอลที่มักแบ่งปันประสบการณ์ผ่านภาพนิ่ง พร้อมวิดีโอให้กับลูกเพจอย่างสม่ำเสมอ และคงเป็นภาพชินตาของใครหลายคน กว่าจะเดินทางมาถึงจุดนี้ เขาต้องใช้เวลาปลดล็อก “ความกลัว” การเดินทาง



“บอลก็มีความกลัว แต่บอลสลายความกลัวด้วยหลักการและเหตุผล ทำไมเราเป็นผู้ชายเรากลัวการเที่ยวคนเดียว แต่ทำไมมิ้นท์ I roam alone น้องพลอย pigkaploy ผู้หญิงหลายๆ คนไปเที่ยวได้ แล้วเราเป็นผู้ชายแท้ๆ ทำไมเราจะไปไม่ได้

ฉะนั้นผมอยากจะบอกทุกๆ คนที่กลัวว่า ในสิ่งที่คุณกลัว ที่มันเป็นกับดักความกลัว เปรียบเสมือนกำแพงที่ทำให้คุณไม่สามารถก้าวข้ามไปยังฝั่งต่อไปที่คุณต้องการได้ คุณมองคนอื่นสิ มองคนอื่นไปทำในสิ่งที่คุณอยากจะทำได้ มีหลายๆ คนในสังคม ในโซเชียลฯ คุณดูตรงนั้น

ถ้าเขาทำได้ในสิ่งที่เรากลัว เอาเหตุผลมาตั้งคำถามกับตัว เขาทำได้ ทำไมกูจะทำบ้างไม่ได้ อาจจะไม่ต้องหักดิบแบบเขา แต่ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป แต่จงใช้เหตุผล จงอย่าใช้ความกลัวมาเป็นวิชาความกลัวแล้วปิดกั้นทุกอย่าง เพราะมันคือการปิดกั้นอิสระของตัวคุณเอง”

[อายุ ไม่ใช่ตัวบ่งบอกถึงความ สำเร็จ]

หากย้อนกลับไปบนเส้นทางชีวิต เขาเคยประสบความล้มเหลว เจอทางขรุขระแต่เริ่ม ก่อนจะได้ใช้ชีวิตอย่างนักเดินทางแบบทุกวันนี้ เขาเปลี่ยนงานมาแล้ว 34 งาน จับสารพัดอาชีพเพื่อเลี้ยงตัวเอง ด้วยความหวังอันยิ่งใหญ่ คือการนำพาตัวเองออกจากชีวิตลำบาก มีฐานะร่ำรวย

“ก่อนที่ผมจะมาเป็นแบบนี้ ผมเคยติดยา ผมเคยติดเกม ผมเคยติดผู้หญิง แล้วผมเคยเปลี่ยนงานมา 34 อย่าง

ผมเคยอยากจะรวย แต่สุดท้ายสิ่งที่เราอยากได้ตามสิ่งที่สังคมกำหนด อยากรวย อยากมีผู้หญิงสวยๆ อยากมีรถ มีบ้าน สุดท้ายมันพาให้เราเป็นหนี้ แน่นอนคนอื่นที่สำเร็จก็มี เราไม่ได้ปฏิเสธตรงนั้น แต่ถ้าคนอื่นสำเร็จแล้วมีความสุข ตอนนี้มีคนรวยแล้วมีความสุขอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง

แต่เราต้องเข้าใจว่า อันนี้คือข้อเท็จจริง ทุกวันมีแต่คนดิ้นรนทำมาหากิน และรู้สึกไม่พอกับชีวิตทั้งนั้นเลย นั่นหมายความว่าคนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จในด้านการวิ่งตามหาเงิน ชื่อเสียง และเกียรติยศ

จุดหนึ่งผมก็เป็นเช่นกับคนกลุ่มใหญ่ คือเป็นหนี้ พอเป็นหนี้ทำให้ผมเข้าใจชีวิต ว่าเรากลัวความลำบาก เรากลัวความจน เรากลัวการไม่ยอมรับ คือความกลัวทั้งนั้น

ผมก็เลยตัดเลย ช่างมัน ต่อไปนี้ใครจะดูถูก เรียกไอ้บอลกากๆ ไอ้บอลไม่หล่อ ผมไม่สนใจสังคมใดๆ ทั้งสิ้น แม้ต่อให้คนหลายคนบอกให้โกนหนวดจะได้ดูดี แต่เราขอใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายและมีความสุข

ผมก็เลยพยายามในเมื่อเรากลัวจะจน ก็จนในวันนี้เลย จนแล้วมีความสุข พอผมปลดหนี้ได้ ผมก็ลาออกจากงาน แล้วไปเดินทาง”



เมื่อปีกเริ่มกล้าขาเริ่มแข็ง ภูมิต้านทานเพิ่มมากขึ้น พร้อมกับการปลดหนี้ เขาจึงออกจากงานประจำมาใช้ชีวิตอิสระตามฝัน เดินทางไกล พร้อมกับเงินก้อนสุดท้ายที่มีเพียง 3 หมื่นบาท

“นิยามการเที่ยวของผมที่ใครหลายคนเข้าใจผิด คือการออกไปผจญภัยกับชีวิต เพื่อเรียนรู้กับการเดินทาง ไม่ใช่การไปเที่ยวสวยๆ

ที่สวยๆ เป็นแค่ที่ปลายทาง ดังนั้นคุณจะสังเกตเห็นทริปของบอลพาเที่ยวจะต้องมีลำบาก ต้องมีมัน ต้องมีลุย มีนอนวัด นอนเมรุ



ตอนที่ผมลาออกจากงาน การนอนวัดคือความกลัวอย่างหนึ่งของผม ถ้าผมกลัวผมไม่กล้านอนวัด ผมจะไม่สามารถเที่ยวทั่วไทยได้ เพราะผมต้องนอนโรงแรมคืนละ 300 บาท 1 เดือน 9,000 บาท แล้วผมมีเงินแค่ 3 หมื่น

เพราะฉะนั้นผมนอนวัดกลัวผีเกือบตาย คืนแรกนอนปิดเต็นท์ ยอมนอนร้อน นอนข้างเมรุ ข้างโรงเย็น แต่เมื่อเราไม่มีเงิน เราต้องก้าวข้ามความกลัว ท้ายที่สุดพอเราทำมันบ่อยๆ เรื่องที่เรากลัวจากจิตคิด จิตปรุงแต่ง ที่เราดูหนังผี โดนปลูกฝัง

พอเราไปอยู่ตรงนั้นบ่อยๆ สุดท้ายเราเข้าใจเลยว่าความกลัวมันอยู่ที่เราคิด ถ้าเราไม่คิดเราก็จะไม่กลัวเลย ท้ายที่สุดพอเราก้าวข้ามความกลัวเรื่องนี้ได้ ผมนอนวัดได้ทุกที่ กลายเป็นว่าผมสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้เยอะมากๆ

นั่นมันเพิ่มความอิสระในการเดินทางได้ ไปเห็นอะไรได้เยอะ ไปหลายวันได้มากขึ้น เรื่องกินก็เหมือนกัน บางทีชีวิตเรากินดี เราอยู่บ้านเรานอนดี แต่ตอนเดินทาง เรามีงบจำกัด มีงบน้อย เราไม่ใช่คนร่ำรวย เราก็กินวันละมื้อสองมื้อ

น้ำไปเติมเอาในโรงพัก ในโรงพยาบาลก็ได้ ไม่ต้องเสียเงินสักบาท ในตอนที่ผมลาออกมาเที่ยวทั่วไทยด้วยเงิน 3 หมื่น หมดไป 300 บาท 12 วัน ทั่วทุกประเทศไปครบทุกอุทยาน ทุกจังหวัด”



ความกล้าและใจที่สตรองล้วนๆ ของเขา ทำให้เขาก้าวข้ามความกลัว พร้อมทุกสถานการณ์ ด้วยการท้าทายตัวเองด้วยการลงสู่สนามจริง

“ในส่วนของที่มีน้องจองให้ตอนเริ่มเที่ยว เราบอกว่าไม่กล้าไป แล้วเราก็ยกเหตุผลต่างๆ เช่น เราเป็นหนี้ เรากลัวอันตราย เราไม่มีบัตรเครดิต เราพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่เมื่อสุดท้ายเราต้องทำจริงๆ ในสิ่งที่คนทั่วไปเขาทำได้ เมื่อคุณต้องทำจริงๆ ต้องเดินทางไปต่างประเทศจริงๆ ต่อให้กลัวขนาดไหน คุณจะทำได้

และในจุดที่คุณทำได้ คุณลองมาคิดตกผลึก มันไม่ยาก มัวไปหลงกลัวอยู่ตั้งนาน ความสุขมันอยู่ข้างหน้า ประสบการณ์ดีๆ มันอยู่ข้างหน้า

ถ้าทำตั้งแต่วันแรก ตอนนี้ได้ไปหลายประเทศแล้ว นั่นคือหลังจากที่ผมกลับมาจากเวียดนาม แล้วผมสงสัยในศักยภาพของตัวเราเองว่า แท้ที่จริงสิ่งที่เรากลัว มันหลอกลวงสักส่วนใหญ่เลย มันสามารถทำได้ ที่เราหาข้ออ้างให้ตัวเอง แล้วเรามากอดอย่างอบอุ่น



คนเราชอบหาเหตุผล ชอบหาข้ออ้างให้ตัวเอง ให้เราคิดว่าทำถูก และหาเหตุผล support แต่จริงๆ เป็นแค่เหตุผลที่มาบดบังความกลัว ไม่ให้เราข้ามกำแพงเข้าไปสู่โลกอีกใบที่มันโคตรมีความสุข โคตรอิสระ ผมก็เลยลองกะเทาะมันดูไม่เคยโบกรถ…โบก ไม่เคยขี่มอเตอร์ไซค์ไกลๆ ก็ลองขี่ ไม่เคยเที่ยวแบบงบประหยัด มีเงินพันเดียวไปสัก 3-4 วัน ลองไปดู ถึงมันน่าจะลำบาก แต่ลองไปดู แล้วก็ก้าวผ่านมาได้ทุกก้าวที่ผมก้าวข้ามความกลัว 1 ก้าว มันคือการเพิ่มก้าวอิสระให้ผมอีก 1 ก้าว ดังนั้นผมก็เลยลุยมาจนถึงทุกวันนี้”



ยิ่งเยอะข้อจำกัด ยิ่งมากประสบการณ์

“จริงๆ ถ้าเป็นอันแรก และรู้สึกประทับใจ ก็คงเป็นเวียดนามครับ เพราะมันทำให้เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตผม ที่ผมมีเงินแค่ 5,000 บาท ไม่เคยบินไปต่างประเทศ ภาษาก็ไม่ได้ แต่สุดท้ายจากคนหนึ่งที่กลัวมาก ลงเครื่องปุ๊บเหงื่อแตกเต็มมือ ต้องเดินผ่าน ตม.

คุยกันแบบไม่รู้จะรู้เรื่องรึเปล่า แล้วพรินต์ข้อมูลจากในเว็บพันทิปไปเป็นปึกเพื่อใช้เดินทาง แต่สุดท้ายการได้เที่ยวคนเดียวในทริปนั้น ผมเจอสาวเกาหลี สาวเวียดนาม สาวไต้หวันมาดูแลผม

เราพูดไม่ได้ก็จริง แต่เราก็ไม่ขี้อาย สุดท้ายเราก็จะได้เพื่อนๆ ทุกเมืองทุกวัน กลายเป็นว่านี่คือความ happy ในการที่เราได้เดินทางคนเดียวครั้งแรก ที่กลัวด้วย แต่สุดท้ายจบแบบ happy มากๆ

ถ้าจะให้ประทับใจหลังจากนั้น คือทริปโบกรถ สุดท้ายก็โบกรถเที่ยวประจวบฯ 3 วัน จากเดิมกลัวว่าจะมีคนรับไหมเพราะเราไม่เคยโบกรถมาก่อน ท้ายที่สุดเจอคนรับ ใจดีตลอดทาง มันทำให้หัวใจเราพองโต จากสิ่งที่เราเต็มไปด้วยข้อจำกัด

และอีกครั้งที่ลาว เดินทางแบบเงินประหยัด มีเงินแต่ใช้ประหยัด ขอนอนตามวัดบ้าง ไปกางเต็นท์ตามใต้ถุนชาวบ้านบ้าง แต่ว่ามีอยู่เมืองหนึ่งไปขอกางเต็นท์ใต้ถุนบ้าน แต่สุดท้ายคุณลุงคุณป้าเขาลากผมไปนอนในบ้านเลย

ก็กางมุ้งให้เราอย่างดี แล้วเขาไม่ยอมให้ผมไปเดินทางต่อ ให้อยู่ต่อสัมผัสวิถีชีวิตในหมู่บ้าน ซื้อไก่มาเลี้ยง ให้ผมกินเหมือนลูกเขาคนหนึ่ง

พอวันหนึ่งจะไป เขาก็ผูกข้อไม้ข้อมือให้ผม ผมโคตรประทับใจเลย เหตุการณ์ทั้ง 3 story จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าผมมีเงินมากมายมหาศาล เพราะผมจะสะดวกสบาย เที่ยวนอนโรงแรม ผมจะไม่เจอประสบการณ์

ฉะนั้นสิ่งเหล่านี้ที่ผมพยายามถ่ายทอด คือ ยิ่งคุณมีน้อย ยิ่งคุณลำบาก ยิ่งคุณเต็มไปด้วยข้อจำกัด ยิ่งคุณมีความกลัว มันทำให้เจอกับเรื่องราวบทเรียนชีวิต และเพิ่มศักยภาพตัวเองด้วย พร้อมทั้งเจอมิตรภาพ เจออะไรหลายๆ อย่างที่มีคุณค่ามาก แต่น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่ต้องรอให้พร้อมแล้วค่อยทำ แต่สุดท้ายคุณแก่ไป คุณก็อาจจะไม่ได้ทำอะไรเลย”


สองล้อคู่ใจ ท่องโลกชีวิต!!



ถามถึงจุดเปลี่ยนสำคัญ บอลบอกเล่าอย่างเป็นกันเองไว้ว่า เกิดจากทริปเวียดนาม ที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศคนเดียวในครั้งแรก ในตอนนั้นเขาต้องใช้ความรู้จากกระทู้รีวิวในเว็บไซต์พันทิปเป็นใบเบิกทาง และกลายเป็นหนึ่งในทริปที่มากประสบการณ์ทริปหนึ่ง

“ความกล้าเรายังไม่มี จริงๆ เราเริ่มเที่ยวในไทยแล้ว แต่ใจเรายังไม่กล้าออกไปต่างประเทศ สักวันเราก็จะไปเองแต่เพื่อนเข้ามาช่วยซื้อตั๋วให้ ตรงนั้นมันเป็นตัวผลักดัน เป็นจุดเปลี่ยน ถ้าไม่มีวันนั้น เราเชื่อว่ายังไงต้องมีจุดเปลี่ยนในชีวิต เพราะว่าจิตเราไปแล้ว ทัศนคติไปแล้ว แต่เรายังมีความกลัวอยู่

ก็มีความโหยหาเหมือนกับทุกคน เพราะฉะนั้นคุณต้องหาจุดเปลี่ยน และจุดเปลี่ยนนี้สุดท้ายผมก็ตัดสินใจไป จริงๆ จะปฏิเสธก็ปฏิเสธได้ แต่เราก็อายเหมือนกันที่จะปฏิเสธ เพราะเราโม้ไว้เยอะ

แต่เมื่อเขาซื้อให้ ให้เราผ่อนแบบโคตรถูก ถ้าเรายังปฏิเสธเราก็อาย แล้วเราก็ตัดสินใจไป แต่พอไปแล้วมันก็เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต พอเราได้ไปเวียดนามต่างประเทศทริปแรก เดินทางคนเดียว มีเงินแค่ 5,000 บาท ไม่มีบัตร ATM วันที่กลับประเทศไทยวันนั้น ทำให้รู้ว่าสิ่งที่เรากลัวมาตลอด ฝันที่เราอยากไปแต่เรากลัวมาตลอด มันง่าย หลังจากกลับมาวันนั้นผมเดินทางรัวๆ เลยครับ ทั้งในไทย และต่างประเทศ”



นับแต่ทริปเวียดนามครั้งนั้น หลังจากกลับมาบอลเริ่มสนุกกับการท่องเที่ยวมากขึ้น สองขาออกเดินทาง ขี่มอเตอร์ไซค์ไปบ้าง ลองโบกรถไปบ้าง

“ไม่มีแรงยึดของใครเลยครับ มีแต่ตัวเอง เป็นศาสดาของตัวเอง จริงๆ ถ้าเป็นคำพูด ปรัชญาก็มีอยู่ทั่วไป แต่ในส่วนตัวผมยึดตัวเองเป็นที่ตั้ง คือตัวเราต้องการอะไร เราอยากเป็นอะไร เราต้องคุยกับตัวเองเยอะๆ สุดท้ายเราต้องเข้าใจตัวเองเยอะๆ

แล้วตอนนี้ผมชอบตัวเอง บอกได้เลย เขียนได้เลยว่าไอ้บอลโคตรหลงรักตัวเอง ชอบตัวเองมากๆ ชอบตัวเองที่เป็นแบบนี้คือทำไมจะไม่ชอบตัวเอง ในเมื่อสิ่งที่ผมกลัว ผมก้าวข้าวแต่ละอย่าง และทุกครั้งที่ผมก้าวข้าม ผมจะชมว่าไอ้บอลโคตรเจ๋งเลย เมื่อก่อนมึงกลัวผี มึงสามารถทำได้



เมื่อก่อนมึงไม่กล้าขี่มอเตอร์ไซค์มึงทำได้ เมื่อก่อนมึงอยากเที่ยวทั่วไทยมึงไม่มีเงิน แต่มึงทำได้ ผมไม่เคยวัดตัวเองกับใคร ผมวัดตัวเองกับตัวเอง แล้วผมภูมิใจทุกครั้งที่ผมก้าวข้ามความกลัว

โดยเฉพาะไม่ได้ก้าวข้ามความกลัวทางภายนอก มันยังมีความกลัวทางด้านจิตวิญญาณ การใช้ชีวิต เช่น ความกลัวไม่มั่นคงในอนาคต ความกลัวไม่รวย ความกลัวป่วย ความกลัวคนไม่นับหน้าถือตา ความกลัวไม่มีคนติดตาม ไม่มี like ผมกล้าบอกจากหัวใจได้เลยว่า ผมไม่แคร์ในสิ่งเหล่านั้น

ผมไม่กลัวที่จะจน เพราะผมใช้ชีวิตโดยอยู่บนพื้นฐานของการไม่มีหนี้ กินอยู่เรียบง่าย ผมไม่กลัวขี้เหล่ ผมไม่กลัวใครจะว่าผมดำ หนวดเครารุงรัง เพราะถ้าผมกลัวตอนนี้ผมคงโกนไปแล้ว

ผมไม่กลัวเจ็บป่วย ทุกคนสุดท้ายต้องตาย มนุษย์ทุกคนมีลมหายใจเพื่อรอวันเดียว คือวันที่คุณตาย แต่ก่อนคุณตายคุณพร้อมมากแค่ไหน ส่วนตัวของผมทำทุกวันให้พร้อมมากที่สุด

ฉะนั้นผมไม่มีคติของใครเป็นที่ตั้ง ผมมีคติของตัวผมเอง เพราะผมโคตรชอบตัวเองเลย และหลักๆ คติของผมที่พูดติดปาก คือ ฉันไม่มีเงินมากมาย แต่ฉันจะใช้ชีวิตให้มีความสุขมหาศาล และใช้ชีวิตให้อิสระ ไม่ใช่อิสระจากเงินทอง แต่อิสระจากความอยากทั้งปวง”



นักเดินทางในวัย 41 ปี เผยว่าการเดินทางตั้งแต่ครั้งแรกจนถึงทุกวันนี้ยังคงเหมือนเดิมอยู่ คือการใช้เงินให้น้อยที่สุด อยู่ง่ายกินง่าย ตุนน้ำพริกของแห้งไว้ ส่วนสถานที่พัก จะนอนที่วัดหรืออุทยานวนเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เพราะความลำบากเหล่านี้จะช่วยให้จุดหมายปลายทางมีความพิเศษ ถูกจดจำยิ่งขึ้น เห็นถึงวิถีชีวิตในเมืองเล็กๆ หมู่บ้าน และเข้าถึงผู้คนได้มากกว่า

“การเที่ยวแบบลำบากมันได้ข้อคิด ได้แง่คิด ได้เจอมิตรภาพ ได้เจอบทเรียนชีวิตมากมาย และผมก็ manage เงิน 30,000 ในการเดินทาง แล้วเงินหมดผมก็ขายโปสการ์ด ขายรูป



แต่ผมกินข้าววันละมื้อ ซื้อข้าวเปล่า 10 บาท มีน้ำพริกนรก น้ำพริกปลาดุกมาราดกิน ลำบากครับ น้ำหนักลดไป 10 กิโลฯ แต่ว่าสุดท้ายในความลำบากในร่างกาย แต่จิตใจเราพัฒนาจากการที่เราอยู่ลำบาก

เราต้องเข้าใจก่อนว่าการเที่ยวมันมีหลายประเภทมากๆ คุณเที่ยวสบาย คือการเที่ยวพักผ่อน คุณเตรียมทุกอย่างให้พร้อม อันนั้นโอเค แต่บางคนก็ตั้งคำถามว่าทำไมต้องไปให้ลำบากด้วย ผมไม่ได้เป็นคนร่ำรวย ไม่ได้มีเงินเยอะ และถึงแม้ว่าเรามีเงินเยอะ เงินมันก็มีค่ากว่าจะหามาได้แต่ละบาท

[ขายโปสการ์ด หาเงินทุนใช้ออกเดินทาง]

ทำไมเราไม่เอาไว้ใช้ในสิ่งอื่นที่มันมีคุณค่า ในส่วนตัวผมมองว่าทำไมไม่เอาไปใช้ในสิ่งอื่นที่มีคุณค่า ในเมื่อผมกินง่าย อยู่ง่าย และในการเดินทางที่เราเรียกว่าลำบาก ไม่ว่าจะเป็นการโบกรถ การเดินทางกินข้าววันละมื้อ การเลือกนอนโฮสเทลในห้องรวม ไม่ได้นอนโรงแรมสบายๆ

หรือการขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวเองไปเรื่อยๆ หลงบ้าง เราเลือกอย่างนั้นเพราะทำให้เราประหยัด และ save เงินไว้ส่วนหนึ่ง และ 2 เมื่อไม่มีทัวร์มาดูแลคุณ คุณจะต้องรู้จักแก้ปัญหา แล้วคุณจะรู้สึกดีใจเมื่อคุณแก้ปัญหาได้ หรือคุณก้าวข้ามสิ่งที่คุณกลัว

นั่นคือสิ่งที่ผมกำลังเสพอยู่ ผมเสพติดความภูมิใจที่ผมได้ก้าวข้ามความกลัว ผมเสพติดความภูมิใจที่ได้แก้ปัญหา และทุกครั้งที่ผมแก้ปัญหา ผมมีความเก่งขึ้น”

แม้ว่าการเดินทางแต่ละครั้งนั้นมีราคาที่ต้องจ่าย แต่สิ่งที่ได้รับตลอดการท่องโลกมันคุ้มค่ายิ่งกว่าความลำบาก หรือค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไป กลับเป็น “การซื่อสัตย์ต่อ “ความฝัน” ,“ความสุข” ที่เผยชัดผ่านคำตอบของเขา พร้อมใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มเสมอ


ไม่มีเงิน = เน้นความลำบาก!!?

สำหรับที่ผ่านมาทั้งเที่ยวไทยและต่างประเทศ บอลใช้เงินส่วนตัวทั้งหมด เน้นกินอยู่อย่างเรียบง่าย และได้เงินจากการขายโปสการ์ดที่ถ่ายเอง และเงินช่วยสนับสนุนจากหนังสือบันทึกการเดินทางแต่ละทริป เป็นทุนในการออกเดินทางครั้งต่อไป

“ส่วนตัวเท่าที่อยู่ในวงการเที่ยว คุณไม่มีเงินสักบาทคุณก็เที่ยวได้ แต่มันจะเป็นผลตราชั่งแปรผันเป็นไปตามความลำบาก บางคนเห็นฝรั่งมาโบกรถบ้าง มาเปิดหมวกขายของ ผมก็เห็นคอมเมนต์ไปด่าว่าเหมือนขอทาน ทำไมไม่รอให้พร้อมแต่ในฐานะที่ผมเข้าใจตรงนั้น ผมกล้าบอกได้เลย การที่คุณจะไปแบกะดินหรือขายในประเทศที่คุณไม่รู้จัก คุณต้องก้าวข้ามความกลัว คุณต้องมีความกล้า แล้วคุณต้องใช้ชีวิตอยู่บนความไม่รู้



กับอีกคนที่มีเงินล้านแล้วไปเที่ยวต่างประเทศได้ชิลๆ คุณไปเที่ยวได้ แต่คุณจะไม่ได้ฝึก แต่กับคนที่มีเงินแค่ 1,000 แต่ไปเที่ยวต่างประเทศ 1 เดือน คุณต้อง challenge กับอะไรเยอะมาก คุณต้องอยู่กับความไม่แน่นอนของชีวิต

ซึ่งอันนี้มันยาก มนุษย์ทุกคนอยากอยู่กับความมั่นคง และความแน่นอน แต่อันนี้มันยาก ฉะนั้นจริงๆ เงินไม่สำคัญ แต่เงินมันจะแปรผันความสบาย ส่วนตัวผมไม่ถึงขนาดฮาร์ดคอร์ไม่มีเงินเลย ไม่มีเงินเลยก็เที่ยวได้ แต่ผมก็ขอมีบ้าง ผมไม่ชอบที่จะไปเดือดร้อนใครจนเกินไป

การเดินทางของผมกล้าบอกได้เลยครับ ผมไม่เคยขอใครกิน ไม่เคยขอใครนอน แต่ส่วนใหญ่ก็จะมีคนมาเสนอให้ แล้วเมื่อเราพิจารณาแล้วว่า เขาเต็มใจจะให้เราก็จะรับครับ”



สัมภาษณ์ : ทีมข่าว MGR Live

เรื่อง : ภูริฉัตร ปริยเมธานัยน์

ขอบคุณภาพ : แฟนเพจ “บอลพาเที่ยว backpacker ball”


** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **