เสียง 'ไฟแนนซ์' ส่อง 'กม.ใหม่' เช่าซื้อรถ-จยย.

เสียง ‘ไฟแนนซ์’ ส่อง ‘กม.ใหม่’ เช่าซื้อรถ-จยย.

คนที่ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ต้องติดตามข่าวนี้กันให้ดี

กรณีเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ.2565 ลงวันที่ 12 ตุลาคม 2565

สาระสำคัญ คือ ยกเลิกประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ.2561 โดยให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 90 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา

รวมถึงระบุถึงการคำนวณเป็นอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงต่อปี (Effective Interest Rate) ดังนี้ กรณีรถยนต์ใหม่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 10 ต่อปี กรณีรถยนต์ใช้แล้วต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 15 ต่อปี

กรณีรถจักรยานยนต์ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 23 ต่อปี อาจปรับเปลี่ยนให้ลดลง หรือเพิ่มขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจทุก 3 ปี

กรณีที่ผู้ให้เช่าซื้อ หรือผู้กู้ จะขอชำระเงินค่าเช่าซื้อทั้งหมดในคราวเดียว เพื่อปิดบัญชีค่าเช่าซื้อ โดยไม่ผ่อนชำระค่าเช่าซื้อเป็นรายงวดตามสัญญาเช่าซื้อ ผู้ให้เช่าซื้อจะต้องให้ส่วนลดโดยให้คิดคำนวณตามมาตรฐานที่ระบุไว้ ตามขั้น

แยก 3 ส่วน คือ กรณีชำระค่างวดมาแล้วไม่เกิน 1 ใน 3 ของค่างวดเช่าซื้อที่ระบุไว้ในสัญญาให้ได้รับส่วนลดในอัตราไม่น้อยกว่า 60% ของดอกเบี้ยเช่าซื้อที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระ

กรณีชำระค่างวดมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 แต่ไม่เกิน 2 ใน 3 ของค่างวดเช่าซื้อที่ระบุไว้ในสัญญาให้ได้รับส่วนลดในอัตราไม่น้อยกว่า 70% ของดอกเบี้ยเช่าซื้อที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระ

และกรณีชำระค่างวดมาแล้วเกินกว่า 2 ใน 3 ของค่างวดเช่าซื้อที่ระบุไว้ในสัญญาให้ได้รับส่วนลดทั้งหมดของดอกเบี้ยเช่าซื้อที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระ

เรื่องนี้ “วิชิต พยุหนาวีชัย” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีสวัสดิ์ แคปปิตอล จำกัด เป็นบริษัทที่มีสัดส่วนการปล่อยเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ใหม่ เฉลี่ย 12-15% ของจำนวนที่จดทะเบียนป้ายกับกรมขนส่งทางบก ระบุว่า มีรายละเอียดที่สำคัญเกี่ยวเนื่องกับบริษัท กรณีกำหนดอัตราดอกเบี้ยเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ตามกลไกตลาด โดยคำนวณเป็นอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงต้องไม่เกินอัตรา 23% ต่อปี

บริษัทมั่นใจว่าจะกระทบรายได้จากการประกอบธุรกิจเพียงเล็กน้อย และความสามารถทำกำไรจากธุรกิจยังเติบโตได้ดี บริษัทวางแผนเตรียมความพร้อมล่วงหน้ากว่า 1 ปี เน้นจัดการต้นทุนธุรกิจให้สอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยใหม่ และใช้การทบทวนคะแนนเครดิตลดความเสี่ยงในการปล่อยสินเชื่อ เพื่อควบคุมระดับเอ็นพีแอลให้อยู่ในระดับเหมาะสม ซึ่งกำหนดไม่เกิน 2%

พร้อมกับมีแผนเพิ่มพันธมิตรดีลเลอร์เพื่อผลักดันรายได้จากยอดขายให้เติบโตเพิ่มขึ้น โดยยังคงเป้าปล่อยสินเชื่อใหม่กับทุกประเภททั้งปีนี้ 11,000 ล้านบาท

“ส่วนนี้ผมค่อนข้างเป็นกังวล เพราะบริษัทจะเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อ ทำให้ประชาชนซื้อรถมอเตอร์ไซค์ใหม่ได้ยากขึ้น กระทบทั้งระบบเป็นห่วงโซ่ตั้งแต่ภาคประชาชนยันภาคธุรกิจ หากมองในระยะยาวการปรับลดอัตราดอกเบี้ย อาจทำให้กลไกตลาดเกิดความผิดเพี้ยนได้ แต่การที่เกณฑ์ได้เปิดช่องการพิจารณาดอกเบี้ยตามสภาพเศรษฐกิจ อาจช่วยให้เกิดการแข่งขันได้จริง ต้องติดตามว่าจะปรับได้จริงหรือไม่ด้วย” วิชิตกล่าว

แหล่งข่าววงการลีสซิ่งรายหนึ่งระบุว่า ที่ต้องจับตาจากนี้ เดิมอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงต่อปีกำหนดไม่เกิน 30% แต่ประกาศใหม่คุมเพดานไม่เกิน 23% และในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ทำให้เหลือส่วนต่างดอกเบี้ยเพื่อเป็นรายได้ให้กับผู้ปล่อยสินเชื่อต่ำลง หรือหายไป 7%

ซึ่งในระยะยาว อาจทำให้เหลือบริษัทปล่อยสินเชื่อในตลาดไม่กี่ราย และเหลือเพียงรายใหญ่เท่านั้น ขณะที่ต้องติดตามธนาคารรัฐเพิ่มธุรกิจนอนแบงก์และเปิดบริการสินเชื่อแข่งขันกับรายเดิมในตลาด

รวมถึงอาจเป็นตัวเร่งการเพิ่มจำนวนรถจักรยานยนต์ในตลาด เพราะอัตราดอกเบี้ยลดลง ตัวเลขล่าสุดยอดขายจักรยานยนต์ในไทย ครึ่งปีแรก 2565 รวม 9.1 แสนคัน หรือเพิ่มขึ้นกว่า 4% เทียบปีก่อน ดังนั้น คาดว่าทั้งปีจะมียอดเกือบ 2 ล้านคันต่อปี

“โดยภาพรวมเชื่อว่า การแข่งขันชิงลูกค้าก็จะยังมีต่อเนื่อง ระยะสั้นอาจเห็นเรื่องหั่นดอกเบี้ย และปล่อยผ่อนยาว แต่ระยะยาว ผู้เล่นในตลาดหากไม่แกร่งจริง อาจเหลือน้อยรายไม่เกิน 5 รายก็ได้ ถึงตอนนั้น อาจไม่เป็นผลดีต่อผู้ซื้อในอนาคตที่ไม่มีตัวเลือกมากนัก”

คราวนี้ลองฟังเสียงสะท้อนของเจ้าของเต็นท์รถกันบ้าง “เรืองศักดิ์ สิทธิชัยเนตร” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ช่างดำครบุรี จำกัด เป็นบริษัทเต็นท์รถมือสองรายใหญ่ของ จ.นครราชสีมา กล่าวว่า “ในเกณฑ์ใหม่ จะทำให้ลีสซิ่งมีรายได้จากดอกเบี้ยลดลง อาจต้องปรับเพิ่มค่าดาวน์รถให้สูงขึ้นในกลุ่มรถรุ่นใหม่ๆ ปีต่ำๆ อาจมีผลต่อการตัดสินใจของผู้ซื้อไม่ต้องการจ่ายเงินดาวน์ที่สูงขึ้น อาจจะลดยอดจัดไฟแนนซ์ลง จากที่เคยฟรีดาวน์ต่อไปก็จะไม่ได้แล้ว รวมทั้งการปล่อยรถให้กับลูกค้าจัดไฟแนนซ์จะต้องตรวจสอบเข้มข้นขึ้น

“เต็นท์รถมือสองในโคราช มี 500-600 เต็นท์ ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นเกษตรกร 70-80% ที่เหลือเป็นมนุษย์เงินเดือนจะมีกำลังซื้อไม่มากนัก การปล่อยไฟแนนซ์จึงต้องดูเครดิตลูกค้าเป็นหลัก หากเครดิตไม่ค่อยดีก็ต้องวางเงินดาวน์อย่างต่ำประมาณ 30,000-50,000 บาท อีกทั้งรถเก่า-รถมือสอง จัดไฟแนนซ์จะคิดค่าดอกเบี้ยที่สูงกว่ารถใหม่ เพราะจะมีค่าเสื่อมราคาและค่าอื่นๆ บวกเข้าไปด้วย เพื่อให้คุ้มกับวงเงินสินเชื่อ ในอนาคตก็คาดว่า รถเก่าเกิน 10 ปี บริษัทไฟแนนซ์น่าจะไม่รับจัดสินเชื่อให้แล้ว ในตลาดรถมือสองรถเก่าเกิน 10 ปี มีเยอะมาก ภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ลูกค้ามีกำลังซื้อน้อย จึงทำให้ปล่อยรถออกได้น้อยไปด้วย”

ขณะที่ “ประจักษ์ คำไชยวงค์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิตรสินด่วน จำกัด อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ให้ความเห็นว่า บริษัทเป็นไฟแนนซ์อยู่ภายใต้ควบคุมธนาคารแห่งประเทศไทย กำหนดดอกเบี้ยไม่เกิน 24% ต่อปี โดยปล่อยกู้หรือรับจำนำ ไม่เกิน 60-70% ของการประเมินทรัพย์สิน แต่ไม่ใช่ธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ หรือจักรยานยนต์โดยตรง

ดังนั้น นโยบายแบบลดต้น ลดดอก อาจส่งผลให้ลูกค้าชะลอทำสัญญา หรือใช้บริการลดลง 20-30% แต่อยู่ระหว่างการประเมินสถานการณ์ว่าส่งผลให้กิจการได้รับผลกระทบมากน้อยแค่ไหน เนื่องจากประกาศดังกล่าว มีผลบังคับใช้ วันที่ 11 มกราคม ปีหน้า

“ปัจจุบันมี 77 สาขาให้บริการลูกค้า จากเดิมเคยมี 100 สาขา ที่มาประสบสภาพเศรษฐกิจถดถอย และโควิดระบาดมากว่า 3 ปี ส่วนไฟแนนซ์หรือลีสซิ่งในเชียงใหม่ กว่า 10 แห่ง ได้รับผลกระทบ

เช่นเดียวกัน ต่างต้องปรับกลยุทธ์ส่งเสริมการขาย อาทิ ลดแลกแจกแถม เพื่อดึงดูด หรือรักษาฐานลูกค้าเดิมไว้ ยอมรับว่าเหนื่อย ต้องบริหารจัดการสินเชื่อให้เป็นไปตามเป้าหมาย ตามนโยบายผู้บริหารระดับสูง เนื่องจากเหลือเวลาเพียง 3 เดือนก่อนกฎหมายมีผลบังคับใช้”

จากนี้ไป กฎหมายสินเชื่อเช่าซื้อรถที่ปรับปรุงใหม่นี้จะทำให้เกิดการปรับตัวขนานใหญ่ทั้งเจ้าของสินเชื่อ โดยเฉพาะคนขอกู้ต้องศึกษาช่องทางให้ดีเช่นกัน