เจาะลึกพฤติกรรมคนเมืองมองหาที่อยู่อาศัย สะท้อนเทรนด์อสังหาฯปี65 ห่วง’เงินเฟ้อ-หนี้สิน’กระทบอำนาจการซื้อ – ผู้จัดการออนไลน์

นางสาวสุมิตรา วงภักดี

“ไม่มีอะไรบนโลกใบนี้ ที่จะเหมือนเดิมตลอดไป!!” เรากำลังอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอีกระลอก ในยุคก่อนหน้านี้ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ได้เข้ามา ดิสรัปชัน กับภาคธุรกิจ และมีผลต่อพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว มีความต้องการในการตอบสนองอย่างทันที และพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา นั่นเป็นคลื่นกระทบจากดิจิทัล ที่เข้ามาปรับวิธีการทำธุรกิจในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างเห็นได้ชัดเจน

ขณะที่ การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศไทย ตลาดอสังหาฯ รวมถึงซัพพลายเชนต่างๆ จนทำให้รูปแบบการใช้ชีวิต(ไลฟ์สไตล์) และการอยู่อาศัยของลูกค้า เริ่มมองหาความปลอดภัยในการมีที่อยู่อาศัย (ปกป้องคนในครอบครัว) ประกอบกับวิถีใหม่ในเรื่องการทำงานที่บ้าน ก็เข้ามาปรับมุมมองต่อการมองหาบ้าน ที่สามารถรองรับการใช้ชีวิตที่ปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา!

ล่าสุด ทาง TerraBKK ได้เปิดผลวิจัย The most powerful real estate brand 2021 เจาะลึกพฤติกรรมการอยู่อาศัยใหม่ของคนเมือง ซึ่งน่าจะเป็น ดาต้าเบส ที่สะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมของผู้ซื้อในปัจจุบันและต่อเนื่องไป

โดย นางสาวสุมิตรา วงภักดี กรรมการผู้จัดการ TerraBkk.com เปิดเผยว่า TerraBKK ได้จัดทำงานวิจัย The most powerful real estate brand 2021 – เจาะลึกพฤติกรรมการอยู่อาศัยใหม่ของคนเมือง โดยเป็นการเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศ ผ่านระบบออนไลน์ จำนวน 1,700 คน โดยจากข้อมูลพบว่า โควิด-19 มีผลกระทบต่อพฤติกรรมการซื้ออสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะในกลุ่มคน “Gen Y” (ถือเป็นประชากรกลุ่มใหญ่ ที่ทั่วโลกต่างให้ความสำคัญ คือ คนที่เกิดในช่วง พ.ศ. 2523-2540 คน Gen-Y จะเติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีดิจิทัล) ซึ่งส่วนใหญ่เห็นว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 มีผลกระทบต่องานให้เกิดความไม่แน่นอน ส่งผลต่อรายได้ลดลง และโรคระบาดยังสร้างความรู้สึกวิตกกังวลมาก ดังนั้น จึงจำเป็นต้องชะลอการตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ ออกไปราว 3 เดือน ถึง 1 ปี (12เดือน)

แม้โควิด-19 จะสร้างผลกระทบต่อความต้องการซื้อบ้านใหม่ แต่ในภาพรวมแล้ว คนส่วนใหญ่ก็ยังมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ เพื่อรองรับการอยู่อาศัย ทำงาน และต้องมีพื้นที่สำหรับทำกิจกรรมภายในบ้านได้ด้วย เพราะพฤติกรรมการอยู่ศัยในบ้านของคนยุคนี้ ที่หันมาให้ความสำคัญกับสุขภาพทางใจ ใส่ใจเรื่องอาหารการกิน และต้องการพื้นที่สำหรับออกกำลังกายภายในบ้าน



โดยพฤติกรรมการซื้อบ้านในปี 2563 – 2564 ผู้บริโภคมีความต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะบ้านแนวราบ (สอดคล้องกับข้อมูลของ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ที่ระบุว่า สัดส่วนการเปิดโครงการแนวราบมีส่วนแบ่งตลาดที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ระดับ 55% จากในช่วงก่อนโควิด-19 ส่วนแบ่งตลาดหลักจะเป็นสินค้าประเภทคอนโดมิเนียมอยู่ที่ 63.6% ) ที่มีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยบ้านแฝด เพิ่มขึ้น 116% รองลงมา คือ อาคารพาณิชย์ และบ้านเดี่ยว เพิ่มขึ้น 100% และ 21% ตามลำดับ สะท้อนให้เห็นความต้องการที่อยู่อาศัยของคนในยุคนี้ ที่ต้องการบ้านที่ตอบโจทย์ด้านพื้นที่ใช้สอย และพื้นที่สำหรับธุรกิจการค้ามากขึ้นในช่วงวิกฤต

การเลือกซื้อบ้านใหม่ในยุคโควิด-19 ผู้บริโภคส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับระบบรักษาความปลอดภัย, ราคา และสภาพแวดล้อมโครงการ รวมถึงจะเน้นเลือกซื้ออสังหาฯ จากแบรนด์ที่มีความน่าเชื่อถือ น่าไว้ใจ, มีความเชี่ยวชาญ มีประสบการณ์สูง และต้องตอบสนองไลฟ์สไตล์ในการใช้ชีวิตได้เป็นอย่างดี

ขณะที่เทรนด์การอยู่อาศัยในอนาคต คนส่วนใหญ่เห็นว่า ที่อยู่อาศัยจำเป็นต้องประหยัดพลังงาน เพื่อลดค่าใช้จ่าย, มีความคุ้มค่า คุ้มราคา, ต้องมีมาตรฐานความปลอดภัย, การออกแบบพื้นที่ใช้สอยต้องตอบโจทย์การ Work From Home (WFH) และเน้นพื้นที่สีเขียวของสวนส่วนกลาง

“งานออกแบบที่อยู่อาศัยใหม่ จึงต้องมีความทันสมัย ตามกระแส มีนวัตกรรมที่เพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้อยู่อาศัย เป็นบ้านที่สามารถปรับแต่งพื้นที่ได้ตามความต้องการของผู้อาศัย มีพื้นที่ส่วนกลางอำนวยความสะดวก เช่นสวนสาธารณะ สระว่ายน้ำ และพื้นที่สัตว์เลี้ยง และที่สำคัญจะต้องเป็นโครงการที่มีคุณภาพ มีการรับประกันหลังการขายที่ดี ดังนั้น ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ สามารถสร้างความตื่นเต้นให้ลูกค้า ด้วยการปรับรูปแบบบ้านให้สอดรับกับภาพลักษณ์ของแบรนด์ พร้อมกับการพัฒนารูปแบบบ้านให้ลูกค้าสามารถเลือกปรับฟังก์ชั่นบ้านได้ตามต้องการ” นางสาวสุมิตรา กล่าว



เปิดทำเลยอดนิยม “บ้านเดี่ยว-คอนโดฯ-ทาวน์โฮม”

ทั้งนี้ หากลงในรายละเอียด ทำเลที่อยู่อาศัยของแต่ละประเภท ก็จะมีลักษณะพิเศษที่แตกต่างกัน โดยทำเลยอดนิยมของแต่ละสินค้า ก็มีปัจจัยและแวดล้อมที่ต่างกัน

โดยสินค้าประเภท บ้านเดี่ยว ทำเล ที่คนสนใจเป็นอันดับ 1 คือ “ทำลศรีนครินทร์-พัฒนาการ-บางนา” เป็นทำเลที่มีการเปลี่ยนแปลงด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานมากที่สุด ทั้ง ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ Mega Bangna แหล่งงานใหม่ๆทั้ง นิคมอุตสาหกรรม อาคารสำนักงานเปิดใหม่ ที่สำคัญเดินทางสะดวกในการเข้าสู่ศูนย์กลางทางธุรกิจ สีลม-สาทร-สุขุมวิท ส่วนราคาบ้านเดี่ยวในทำเลนี้มีราคาเฉลี่ย 34 ล้านบาท นับว่าเป็นราคายังคงต่ำกว่า ทำเลศูนย์กลางทางธุรกิจ “สีลม-สาทร-พระราม 3 และ สุขุมวิท-ชิดลม”

สินค้าประเภท คอนโดมิเนียม ทำเล “ธนบุรี วงเวียนใหญ่ บางหว้า” มีราคาเฉลี่ย 94,000 บาทต่อตารางเมตร เหตุผลที่ทำเลนี้เด่นสำหรับคอนโดมิเนียมเพราะมีราคาที่ต่ำกว่าทำเลในศูนย์กลางทางธุรกิจ อยู่ในระดับ 170,00 – 250,000 บาทต่อตารางเมตร และต่ำกว่าทำเล “รัชดา-ห้วยขวาง” ราคา 103,000 บาทต่อตารางเมตร หรือตำกว่าประมาณ 8-10% ในขณะที่เวลาเดินทางเข้าสู่ “สีลม-สาทร-สุขุมวิท” เทียบเท่ากัน

สินค้าประเภท ทาวน์โฮม ทำเลที่คนสนใจเป็นอันดับ 1 คือ “ดอนเมือง-พหลโยธิน-สายไหม” มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 3.25 ล้านบาท ทำเลนี้มีความโดดเด่น ในส่วนของทาวน์โฮมเนื่องจากใกล้เมืองมากกว่า “ทำเลรังสิต” และการเปิดเส้นทางเดินรถไฟฟ้าทั้งสายสีแดง และสายสีเขียว หมอชิต – คูคต นั่นเอง เพราะความต้องการของผู้บริโภคที่ซื้อทาวน์โฮม ณ ปัจจุบันนี้ คือ ต้องการอยู่รอบรถไฟฟ้าในระยะเดินทางถึงได้ ประมาณ 3 กม. (หรือนั่งรถมอเตอร์ไซด์จ่าย 20 บาท)



จากผลวิจัย The most powerful real estate brand 2021 ที่ได้เผยถึงเทรนด์เจาะลึกพฤติกรรมการอยู่อาศัยใหม่ของคนเมือง พบว่า บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เป็นแบรนด์ที่สามารถครองใจลูกค้า ขึ้นแท่นสุดยอดแบรนด์ Powerful 2021 และเป็นแบรนด์ที่ได้รับรางวัลสุดยอดแบรนด์ Powerful ถึง 4 ปีซ้อน ครองใจลูกค้ากลุ่ม Gen Y และ Gen Z ได้เป็นอย่างดี โดยเป็นแบรนด์ที่ลูกค้าให้ความเชื่อมั่นด้านคุณภาพ, มีบริการหลังการขายที่ดี และคุ้มค่าคุ้มราคา เป็นแบรนด์ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง มีการปรับตัวตลอดวลา สร้างสินค้าได้ตรงกับความต้องการของลูกค้าอยู่เสมอ

ขณะที่ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้คว้ารางวัลผู้โดดเด่น Rising Star ไปครอบครอง ด้วยความโดดเด่นของแบรนด์เอสซี แอสเสท ที่ปรับตัวให้เป็นแบรนด์ที่ลูกค้าเข้าถึงง่าย และจับต้องสินค้าได้ง่ายขึ้น

ส่อง ‘ดาวรุ่ง’โครงการแนวราบปี 65

ชี้ ตลาดปลูกสร้างบ้าน เติบโตสูง

นางสาวสุมิตรา ยังได้กล่าวถึงพฤติกรรมผู้บริโภคกับการซื้ออสังหาริมทรัพย์มีความเปลี่ยนปลงและแตกต่าง จากผลงานวิจัยเก็บข้อมูลทั้งหมด 1,700 ราย ผู้สนใจซื้อบ้านภายในระยะเวลา 3 ปี จำนวนกว่า 500 ราย สามารถคาดการณ์กำลังซื้อในปี 2565 ได้ดังนี้ อสังหาริมทรัพย์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคมากที่สุดอันดับที่ 1 คือ “บ้านเดี่ยว” เนื่องจากรูปแบบการทำงานในปัจจุบันนี้เริ่มเปลี่ยนไปเป็นการทำงานแบบ Hybrid คือ ทำงานที่บ้านได้สลับกับทำงานที่สำนักงาน ทำให้ บ้าน คือศูนย์รวมทุกคนในบ้าน ด้วยพื้นที่ของบ้านเดี่ยวมีพื้นที่ใช้สอยที่มากกว่าคอนโดมิเนียม จึงเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ครอบครัวใหม่ หรือครอบครัวขยายมากกว่าคอนโดมิเนียม

พร้อมทั้ง การพัฒนาทาวน์โฮม และอาคารพาณิชย์ จะเป็นดาวรุ่งของปี 2565 เช่นกัน แต่ทำเลที่ตอบโจทย์ควรอยู่ในทำเลที่สามารถเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าได้ในระยะทาง 3 กิโลเมตร

ตลาดใหม่ที่น่าสนใจคือ “การพัฒนาบ้านพักตากอากาศ” เพราะตอบโจทย์กลุ่มผู้เกษียณอายุ และผู้มีกำลังซื้อสูง ทั้งบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียม หรือเป็นที่ดินเปล่าจัดสรร ก็มีโอกาสที่น่าสนใจ เพราะแนวโน้มการซื้อที่ดินปลูกสร้างเองมีการเติบโตสูงสุด 140 %

ส่วนทำเลที่ผู้ซื้อต้องการสำหรับอสังหาริมทรัพย์แต่ละประเภท 5 ทำเลเด่น คือ

1.ธนบุรี-วงเวียนใหญ่-บางหว้า 2.ดอนเมือง-พหลโยธิน-สายไหม 3.ศรีนครินทร์-พัฒนาการ-บางนา

4.รัชดา-พระราม 9 – เพชรบุรี 5.ราชพฤกษ์-นครอินทร์

โดยนางสาวสุมิตรา ได้ฉายภาพถึงเทรนด์อสังหาริมทรัพย์ในปี 2565 ที่เทรนด์บางอย่าง เป็นนวัตกรรมที่มุ่งตอบโจทย์และอำนวยความสะดวกให้กับผู้ซื้อและผู้อยู่อาศัย กับเทรนด์ใหม่ๆ ที่กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในระยะยาว ได้แก่

1.การพัฒนาบ้านประหยัดพลังงาน 2.ระบบรักษาความปลอดภัยแบบอัจฉริยะ 3.การออกแบบบ้านที่ผสมผสานหรือเป็นส่วนหนึ่งกับธรรมชาติ (Blended environment) 4.การเปิดประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้าในโลกเสมือน (Metaverse) ทั้ง รูปแบบการโฆษณาและประชาสัมพันธ์

5.การสัมผัสโครงการจริงก่อนการสร้างเสร็จผ่านเทคโนโลยีทั้ง AR & VR หรือ Digital Twin 6.การชำระเงินด้วย Cryptocurrency เพื่อตอบโจทย์คนรุ่นใหม่

ห่วงปี 65 เจอภาวะ เงินเฟ้อ-หนี้สิน กดดันกำลังซื้อลูกค้า

นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวอย่างมีความหวังว่า ในปี 2565 ภาวะเศรษฐกิจจะเริ่มกลับมา พร้อมๆ กับภาวะที่เศรษฐกิจ ที่ต้องเริ่มปรับตัวในอนาคต ตลอดจนมุมมองของพฤติกรรมลูกค้า อำนาจในการซื้อ คาดว่าปีหน้าจะเจอในเรื่องของเงินเฟ้อ ซึ่งภาะวะเงินเฟ้อ ส่งผลกระทบต่ออำนาจในการซื้อของลูกค้าแน่นอน รวมถึงเรื่องของหนี้สิน อาจส่งผลให้อำนาจในการซื้อตกลง สิ่งเหล่านี้ จึงสะท้อนกลับมาในเรื่องของโปรดักส์ นี่คือ ความท้าทายที่จะเกิดขึ้นในปี 2565

“สำหรับแผนงานในปี 2565 ในเรื่องของแบรนด์ มองว่า แบรนด์ คือ บรรทัดสุดท้าย แต่ถ้ามาดูพื้นฐานของการทำอสังหาฯ ก็คือ สินค้าที่เราทำ เราทำสินค้าได้ตอบโจทย์ลูกค้าหรือไม่ เพราะจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 และภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นปัจจัยที่ต้องนำกลับมาศึกษาดูว่า ใครคือลูกค้าเรา ในแต่ละตลาด ไม่ว่าจะเป็นตลาดบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ หรือว่าคอนโดมิเนียม สิ่งสำคัญ คือ เราต้องเข้าใจลูกค้าในโครงการนั้นๆ ในทำเลๆ ที่เราต้องทำความเข้าใจในแต่ละโปรดักส์”

อนึ่ง เราคงต้องจับตาดูว่า ถึงแม้ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 จะคลี่คลาย มีตัวเลขลดลงอยู่ระดับต่ำกว่า 3,000คนมาต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็น ข่าวดี หลังจากรัฐบาลได้เร่งระดมฉีดวัคซีนให้ได้ตามเป้าภายในสิ้นปี 100 ล้านโดส แต่ การระบาดของสายพันธุ์ใหม่ “โอมิครอน” ที่เริ่มพบผู้ติดเชื้อในประเทศไทยแล้ว กลายเป็น “ประเด็นความเสี่ยง” ส่งท้ายปี 64 แต่ก็แอบมีความหวังว่า โควิดสายพันธุ์ใหม่ จะไม่แผลงฤทธิ์ต่อไปในปี2565 ปีเสือ!!(คงไม่ดุ)