เกิดเหตุสุนัขพิตบุลล์กัดเด็กหญิงวัย 3 ขวบ โดยทางพ่อและแม่ของเด็ก ต้องการเตือนเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นอุทาหรณ์เตือนภัยและเตือนใจผู้ที่เลี้ยงสุนัขสายพันธุ์ดุว่า ให้ระมัดระวังการดูแลเลี้ยงสุนัข และไม่อยากให้มีการเลี้ยงสุนัขสายพันธุ์ดุร้ายภายในหมู่บ้านหรือชุมชนที่มีเด็กเล็กอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ในการนี้ผู้สื่อข่าวจึงได้เดินทางไปพบกับ นายกัลป์พล คุณนุช อายุ 34 ปี กับ นางสาวศิริมาศ คุณนุช อายุ 33 ปี พ่อแม่ของน้องเปียโน เด็กหญิงวัย 3 ขวบเศษ ที่ถูกสุนัขพิตบุลล์สีขาว เป็นสุนัขที่เพื่อนบ้านในซอยเดียวกันเลี้ยงไว้ แล้วหลุดออกมาจากบ้านพัก ก่อนจะวิ่งเข้ามาขย้ำกัดที่แขนของเด็ก 3 แผล ซึ่งขี่รถจักรยายนต์เด็กเล่นอยู่บริเวณถนนหน้าบ้านของหนูน้อยจนได้รับบาดเจ็บ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2564 เวลาประมาณ 17.45 น.ที่ผ่านมา ภายในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง พื้นที่หมู่ที่ 3 ต.บางหญ้าแพรก อ.เมืองสมุทรสาคร จ.สมุทรสาคร
นายกัลป์พล กับ นางสาวศิริมาศ พ่อแม่ของน้องเปียโน เด็กหญิงวัย 3 ขวบเศษ เล่าว่า ในวันเกิดเหตุนั้น แม่พาน้องเปียโนออกมาขี่มอเตอร์ไซด์สำหรับเด็กเล่นที่บริเวณถนนหน้าบ้านของตนเอง ส่วนพ่อกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงสนามหญ้าหน้าบ้าน สักพักเดียวช่วงที่แม่หันหลังให้ลูก ก็มีสุนัขพิตบุลล์สีขาวที่เพื่อนบ้านเลี้ยงไว้ หลุดออกมาจากประตูรั้ว แล้วก็วิ่งเข้ามาขย้ำกัดลูกสาวจนล้มลงจากรถเด็กที่ขี่อยู่ ซึ่งแม่และพ่อของลูกได้รีบเข้าไปไล่สุนัขให้ออกจากลูก ก่อนที่แม่จะเป็นคนเข้าไปอุ้มลูกสาวขึ้นมากอดแนบไว้ในอก เพราะน้องเปียโนขวัญเสียเป็นอย่างมาก ส่วนพ่อก็พยายามไล่สุนัขที่จะวิ่งกลับเข้าไปขย้ำลูกสาวไม่หยุด
หลังเกิดเหตุทางครอบครัวได้พาลูกสาวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลนอนพักเป็นเวลา 3 วัน 4 คืน ครั้นพอกลับมาบ้านลูกสาวก็เอาแต่ร้องไห้ สะดุ้งผวา และบอกว่ากลัวไม่ยอมนอนจะไปอยู่บ้านยาย จนในที่สุดก็ต้องพาไปพักฟื้นที่บ้านของคุณยาย ส่วนทางคู่กรณีเจ้าของสุนัขเคยได้มาพูดคุยบ้าง บอกว่ายอมรับผิดที่สุนัขหลุดออกมาจากบ้านแล้ววิ่งเข้ามากัดลูกสาว เหตุเพราะทางเจ้าของสุนัขปิดประตูรั้วบ้านไม่สนิท ทำให้สุนัขหลุดออกมาทำร้ายเด็ก ซึ่งต่อมาก็ได้ทำที่กั้นสุนัขไว้แล้ว แต่ตนเห็นว่าแค่นั้นคงยังไม่ปลอดภัย จึงขอให้เจ้าของนำสุนัขออกไปอยู่ที่อื่น อย่าไว้ในหมู่บ้านที่มีเด็กอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากแบบนี้ เพราะไม่รู้ว่าวันไหนจะหลุดออกมาทำร้ายได้อีก ซึ่งทางเจ้าของบ้านที่มีอยู่ 2 คนนั้น คนหนึ่งยอม แต่อีกคนหนึ่งกลับมีทีท่าไม่ยอม จึงทำให้หัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่เด็กเสียความรู้สึก และกังวลเป็นอย่างมาก ว่านับแต่นี้ชีวิตของลูกตนจะไม่มีความปลอดภัยอีกแล้ว แม้จะเล่นอยู่บริเวณหน้าบ้านของตนเอง หากวันนั้นไม่มีผู้ใหญ่อยู่ด้วย ลูกสาวของตนซึ่งเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ คนนี้จะเป็นอย่างไร เพราะด้วยนิสัยของสุนัขพิตบุลล์นั้น เป็นสุนัขสายพันธุ์ดุร้าย หากได้กัดเหยื่อแล้วต้องกัดจนกว่าเหยื่อจะแน่นิ่ง
นายกัลป์พล คุณนุช คุณพ่อของน้องเปียโน ในฐานะผู้เสียหายบอกอีกว่า หลังเกิดเหตุนั้น ตนได้เข้าแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานที่ สภ.เมืองสมุทรสาคร แล้ว โดยส่วนตัวแล้วตนเองเพียงแค่ต้องการให้เจ้าของสุนัข นำสุนัขสายพันธุ์ดุแบบนี้ออกไปไว้ที่อื่น ห่างไกลจากคนในหมู่บ้านที่มีอยู่เป็นจำนวนมากทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษานั้น ก็เป็นเรื่องของคดีความที่จะต้องดำเนินการรับผิดชอบตามกฎหมายอยู่แล้ว อีกทั้งตนยังได้ทำเรื่องไปยังส่วนกลางขอให้มีการสำรวจและวางระเบียบในการเลี้ยงสุนัขดุ หรือ สัตว์เลี้ยงสายพันธุ์ดุร้าย ภายในหมู่บ้านไว้อย่างชัดเจน เพราะไม่อยากให้เกิดปัญหาแบบนี้กับลูกหลาน หรือครอบครัวอื่นอีก และสุดท้ายคืออยากให้มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้ามาควบคุมเรื่องของการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงที่ดุร้ายภายในหมู่บ้านหรือชุมชนด้วย
ด้านนายจุฑาวัชร เจ้าของสุนัขพันธุ์พิตบุลล์บูลลี่ ยอมรับว่าในวันเกิดเหตุนั้น ตนเองออกไปทำธุระพอกลับเข้าบ้านมา ก็ปิดประตูเหมือนทุกครั้งที่ทำเป็นประจำ เพราะคิดว่าปิดสนิทดีแล้วจึงไม่ได้หันไปดูซ้ำแต่จริงๆแล้วมันยังไม่สนิทจึงทำให้สุนัขที่วิ่งเล่นอยู่ในบ้านลอดช่องออกไปได้ หลังจากนั้นตนก็ไปล้างจานหลังบ้าน จนกระทั่งได้ยินเสียงคนร้องก็วิ่งออกมาดูเห็นว่าสุนัขของตนออกไปกัดน้อง ก็เลยรีบเข้าไปจับสุนัขไว้แล้วพาเข้าบ้าน ซึ่งเหตุการณ์นี้มันเป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นเลย โดยในส่วนตัวแล้วพร้อมที่จะดูแลรักษาน้องให้ดีที่สุด ซึ่งหลังเกิดเหตุก็ได้แวะไปเยี่ยมเยียนและพร้อมที่จะจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ทั้งหมด
ส่วนเรื่องของสุนัขที่กัดเด็กนั้น ขณะนี้ตนเองได้ทำคอกกั้นสุนัขไว้หลังบ้านแล้ว และยืนยันว่าไม่เคยปล่อยปละละเลยสุนัขที่ตนเองเลี้ยงไว้ ส่วนที่สุนัขสายพันธุ์พิตบุลล์บูลลี่ วิ่งออกไปกัดเด็กนั้นเชื่อได้ว่าอาจจะมาจากพฤติกรรมฝังใจของสุนัขที่เคยได้ยินเสียงเด็กๆในหมู่บ้านปั่นจักรยานมาส่งเสียงดังรบกวน ครั้นพอได้ยินเสียงน้องเล่นอยู่ จึงทำให้สุนัขเกิดความหงุดหงิดแล้ววิ่งไปกัด
ส่วนที่ต้องมาลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานที่โรงพักนั้น เพื่อแสดงให้เห็นว่าตนไม่เคยปล่อยปละละเลยในการเลี้ยงสุนัข และไม่เคยคิดที่จะปัดความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ตามข้อเรียกร้องของพ่อแม่เด็กที่ต้องการให้เอาสุนัขไปไว้ที่อื่น แม้จะมองว่าเป็นทางออกทางหนึ่งตามความต้องการของคู่กรณี แต่ก็ยังไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับพวกตนและสุนัขที่เลี้ยงไว้ เพราะหากนำไปไว้ที่อื่นแล้วใครจะเลี้ยงดูและเข้าใจสุนัขเหล่านี้ได้ดีเท่ากับเจ้าของที่เลี้ยงมันมาตั้งแต่ตัวเล็กๆ ซึ่งก็คงต้องมีการเจรจาหาข้อตกลงและเป็นทางออกที่ดีที่สุดกับทั้งสองฝ่ายต่อไป