สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 24-30 เม.ย.2565



1.ตร.สรุป “แตงโม” ตกท้ายเรือ-แผลที่ขาจากใบพัดเรือ ยกภาพ ตปท.เทียบ แต่พลาด ด้าน “แซน-กระติก” โพสต์ยิ้ม ความจริงจะปกป้องพวกเราเอง!

เมื่อวันที่ 26 เม.ย. พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผบช.ภ.1 ได้นำทีมตำรวจแถลงข่าวสรุปสำนวนการสอบสวนคดีแตงโม น.ส.ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ ตกจากเรือสปีดโบ๊ทเสียชีวิตในแม่น้ำเจ้าพระยาเมื่อวันที่ 24 ก.พ.ที่ผ่านมา เป็นที่น่าสังเกตว่า มีการจัดทำคลิปวิดีโอเพื่อสรุปเรื่องราวเกี่ยวกับคดีแตงโม ยาวประมาณ 25 นาที รวมทั้งมีการนำคลิปบางคลิปที่เคยเผยแพร่ทางโซเชียลมีเดียมาประกอบในบางจุด

ซึ่งคลิปวิดีโอที่ทางตำรวจจัดทำขึ้น มีการสรุปผลสอบว่า แตงโมเสียชีวิตจากการขาดอากาศหายใจจากการจมน้ำ พร้อมระบุว่า แตงโมตกจากบริเวณท้ายเรือในช่วงเวลา 22.34.10 นาที โดยระบุว่า “เวลา 22.18 น. เรือได้ผ่านกล้องวงจรปิดของสะพานซังฮี้ โดยภาพนี้ปรากฎภาพของ แซน ยังนั่งอยู่บริเวณท้ายเรือ เวลา 22.21 น. เรือกำลังขับผ่านด้านหลังอาคารรัฐสภา แตงโม ได้ตอบแชทอินสตาแกรม เวลา 22.32 น. เรือขับผ่านกล้องวงจรปิดโดยกล้องจุดนี้มีคุณภาพไฟล์สูง จึงได้ปรับแสงภาพ ความคมชัดเห็นว่า ณ ขณะนั้นยังมีคนบนเรืออยู่ 6 คน โดยมีคน 1 คนนั่งอยู่ท้ายเรือ เวลา 22.34 น. ได้เห็นรายละเอียดที่สำคัญ โดยเห็นเรือแล่นผ่านจุดนี้เวลา 22.33.51 น. จะเห็นว่ามีวัตถุบางอย่างอยู่บริเวณท้ายเรือ

จากนั้นเวลา 22.34 น. เรือได้ผ่านแสงเงาไฟท่าเรือพิบูลย์สงคราม 1 เมื่อสังเกตุแล้วจะเป็นวัตถุเดียวกับจุดที่แล้ว จากนั้น 6 วินาทีถัดมา มุมของเรือนั้นเปลี่ยนไปมีการหันท้ายเรือมาให้กล้องวงจรปิดมากขึ้นทำให้เห็นเงาของวัตถุดังกล่าวบังแสงไฟเรือ เวลา 22.34.09 น. จากนั้นวัตถุดังกล่าวก็หายไป ซึ่งเป็นเวลา เวลา 22.34.10 น. จากนั้นในวินาทีถัดมาก็มีเงาบุคคลหนึ่งบริเวณท้ายเรือลักษณะเหมือนยืนขึ้น หลังจากนั้น 11 วินาทีถัดมาความเร็วเรือลดลง และได้วนกลับมาที่เดิม เมื่อตรวจสอบไม่พบวัตถุ จากจุดดังกล่าวที่วัตถุในภาพจมหายไป อยู่ห่างจากจุดพบศพแตงโมเพียง 100 เมตร ประกอบกับ GPS เรือพบว่ามีการวนค้นหาทั่วบริเวณนี้ จึงเชื่อว่าแตงโมตกเรือในจังหวะนี้”

นอกจากนี้ทางตำรวจยังสรุปว่า บาดแผลที่ขาแตงโมเข้าได้กับใบพัดเรือ พร้อมนำภาพจากต่างประเทศมาอ้างให้เห็นว่า เคยมีผู้เคราะห์ร้ายถูกใบพัดเรือที่ขาและมีรอยเย็บในลักษณะตัว S คล้ายกับบาดแผลของแตงโม ส่วนประเด็นว่า แตงโมนั่งฉี่ท้ายเรือหรือไม่ ทางตำรวจไม่ยืนยัน โดยระบุว่า มีการประมาททำให้แตงโมถึงแก่ความตาย

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้ถามถึงคลิปที่เคยถูกเผยแพร่ผ่านโซเชียลมีเดีย กรณีเหมือนมีคนทำร้ายกันบริเวณหัวเรือลำเกิดเหตุ แต่ทางตำรวจไม่ชี้แจงว่า มีการทะเลาะกันจริงหรือไม่ โดยระบุเพียงว่า มีสื่อสำนักหนึ่งระบุว่า ได้ภาพดังกล่าวมาในเวลา 5 ทุ่มกว่า ซึ่งเป็นเวลาหลังจากแตงโมตกเรือไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ คลิปที่เหมือนมีคนทำร้ายกันบริเวณหัวเรือนั้น มีหลายฝ่ายเคยขยายภาพ และเห็นว่า ขณะเกิดเหตุดังกล่าว มีคนอยู่บนเรือ 6 คน ไม่ใช่ 5 คน

ทางตำรวจระบุด้วยว่า คดีนี้ จากการสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน ได้มีการสอบปากคำผู้กล่าวหา 4 ปาก ผู้ต้องหา 6 ปาก พยานรวม 124 ปาก แบ่งเป็นพยานบุคคล 108 ปาก พยานผู้เชี่ยวชาญ 16 ปาก เก็บวัตถุพยานที่เป็นพยานสำคัญทางคดีจำนวน 88 ชิ้น พยานเอกสารที่เป็นผลการตรวจต่างๆ 47 ฉบับ คลิปวิดีโอกล้องวงจรปิดจำนวน 200 คลิป สำนวนนี้มีเอกสารรวมทั้งสิ้น 2,249 แผ่น จากพยานหลักฐานทางคดี นำไปสู่การดำเนินคดี กับผู้ต้องหาจำนวน 6 ราย ประกอบด้วย

ผู้ต้องหาที่ 1 “นายตนุภัทร เลิศทวีวิทย์ หรือปอ” ดำเนินคดีในความผิดฐาน 1. กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย 2. เป็นผู้ควบคุมเรือโดยไม่มีประกาศนียบัตรรับรองความถูกต้องตามกฎหมาย 3. ทิ้งสิ่งของปฏิกูลลงแม่น้ำอันเป็นทางสัญจรของประชาชน หรือที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน อันจะเป็นเหตุให้เกิดการตื้นเขินตกตะกอน หรือสกปรก 4. แจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาต่อพนักงานสอบสวน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย 5. ไม่ติดชื่อเรือเป็นภาษาไทย และอักษรฝรั่งที่หัวเรือ 6. ใช้เรือที่มีใบอนุญาตใช้เรือสิ้นอายุแล้ว ซึ่ง 2 ฐานความผิดหลังนี้ได้ทำการเปรียบเทียบปรับแล้ว

ผู้ต้องหาที่ 2 “ไพบูลย์ ตรีกาญจนานันท์ หรือโรเบิร์ต” ดำเนินคดีในความผิดฐาน 1. กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย 2. เป็นผู้ควบคุมเรือโดยไม่มีประกาศนียบัตรรับรองความถูกต้องตามกฎหมาย 3. ใช้เรือที่มีใบอนุญาตใช้เรือสิ้นอายุแล้ว 4. ทิ้งสิ่งของปฏิกูลลงแม่น้ำอันเป็นทางสัญจรของประชาชน หรือที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน อันจะเป็นเหตุให้เกิดการตื้นเขินตกตะกอนหรือสกปรก

ผู้ต้องหาที่ 3 “นายวิศาพัช มโนมัยรัตน์ หรือแซน” ดำเนินคดีในความผิด ฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย

ผู้ต้องหาที่ 4 “นายนิทัศน์ กีรติสุทธิสาทร หรือจ๊อบ” ดำเนินคดีในความผิดฐาน 1. เพื่อจะช่วยผู้อื่นมิให้ต้องรับโทษ หรือให้รับโทษน้อยลง ทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทำให้สูญหายหรือไร้ประโยชน์ซึ่งพยานหลักฐานในการกระทำผิด 2. ทิ้งสิ่งของปฏิกูลลงแม่น้ำอันเป็นทางสัญจรของประชาชน หรือที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน อันจะเป็นเหตุให้เกิดการตื้นเขินตกตะกอนหรือสกปรก

ผู้ต้องหาที่ 5 “น.ส.อิจศรินทร์ จุฑาสุขสวัสดิ์ หรือกระติก” ดำเนินคดีในความผิดฐาน 1. เพื่อจะช่วยผู้อื่นมิให้ต้องรับโทษ หรือให้รับโทษน้อยลง ทำให้เสียหายทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทำให้สูญหายหรือไร้ประโยชน์ซึ่งพยานหลักฐานในการกระทำผิด 2. แจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาต่อพนักงานสอบสวน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย

ผู้ต้องหาที่ 6 “นายภีม ธรรมธีรศรี หรือเอ็ม” ดำเนินคดีในความผิดฐาน 1. เพื่อจะช่วยผู้อื่นมิให้ต้องรับโทษหรือให้รับโทษน้อยลงทำให้เสียหายทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทำให้สูญหายหรือไร้ประโยชน์ซึ่งพยานหลักฐานในการกระทำผิด 2. เป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาแก่พนักงานสอบสวน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย

พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผบช.ภ.1 กล่าวว่า “โดยข้อหาหลักคือกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ขอเน้นย้ำว่าเราดำเนินคดีในข้อหาหลักนี้ บางท่านสงสัยว่าเป็นอุบัติเหตุไหม ตามที่หลายคนเข้าใจว่าอุบัติเหตุจากที่คุณแตงโมพลาดตกน้ำเอง ยืนยันว่าไม่ใช่ เรามีพยานหลักฐานเชื่อมั่น และสั่งฟ้องว่ามีคนกระทำประมาทจนเป็นเหตุให้คุณแตงโมถึงแก่ความตาย”

พล.ต.ท.จิรพัฒน์ กล่าวถึงสาเหตุที่ผู้ต้องหา 5 คนบนเรือให้การเท็จในตอนแรกด้วยว่า เพราะทุกคนบนเรือเมากันหมด พอแตงโมตกน้ำไปร่วม 15 นาทีได้มีการโทรหาบุคคลกว่า 66 คน และมีคนแนะว่าเมาแบบนี้อย่าเพิ่งไปพบตำรวจ เดี๋ยวจะโดนโทษหนักติดคุกหมด ให้เลื่อนออกไปก่อน…

ทั้งนี้ วันเดียวกัน ตำรวจได้นำสำนวน พร้อมผู้ต้องหาทั้ง 6 คน ส่งให้พนักงานอัยการจังหวัดนนทบุรีเพื่อพิจารณาสั่งฟ้องต่อไป โดยอัยการอนุญาตให้ผู้ต้องหาประกันตัว โดยตีราคาประกันคนละ 2 แสนบาท พร้อมนัดฟังคำสั่งว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่ในวันที่ 27 พ.ค.นี้ เวลา 9.00 น.

เป็นที่น่าสังเกตว่า ช่วงค่ำวันเดียวกัน หลังตำรวจสรุปสำสวนส่งฟ้องต่ออัยการแล้ว นายวิศาพัช มโนมัยรัตน์ หรือแซน หนึ่งในผู้ต้องหา ได้มีการโพสต์ภาพที่ถ่ายคู่กับ น.ส.อิจศรินทร์ จุฑาสุขสวัสดิ์ หรือกระติก ภายในรถยนต์ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มมีความสุข พร้อมข้อความระบุว่า “เป็นกำลังใจให้กันและกันโน้ะ ใครจะพูดถึงเรายังไง สุดท้ายความจริงจะปกป้องพวกเราเอง ..ปล.ออกความเห็นได้ตามสะดวกเลยนะคะ…”

ทันทีที่โพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ ส่งผลให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ทั้งคู่อย่างกว้างขวางในทางไม่เหมาะสม

ส่วนการสรุปสำนวนคดีของตำรวจนั้น ปรากฏว่า ได้เกิดข้อผิดพลาดอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อมีการนำภาพจากต่างประเทศมาอ้างว่า เป็นแผลจากใบพัดเรือ เพราะในที่สุดสื่อมวลชนและกระแสโซเชียล จับได้ว่า ภาพที่ตำรวจนำมาอ้าง ไม่ใช่แผลจากใบพัดเรือ เพราะผู้เคราะห์ร้ายดังกล่าวไปร่วมงานเลี้ยง ไม่ได้มีการลงเรือแต่อย่างใด

2 วันต่อมา (28 เม.ย.) พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผบช.ภ.1 ได้นำทีมตำรวจแถลงขออภัยกรณีนำภาพแผลจากต่างประเทศที่ไม่ได้เกิดจากใบพัดเรือมาเปรียบเทียบกับแผลคดีแตงโม โดยระบุว่า การนำภาพบาดแผลของต่างประเทศมาอ้างอิง เพื่อให้เห็นลักษณะบาดแผลที่มีลักษณะคล้ายรูปตัวเอสเท่านั้น พร้อมยืนยัน ไม่ได้ทำให้ผล หรือสาระสำคัญของคดีเปลี่ยนไป และไม่ได้บรรจุภาพดังกล่าวไว้ในสำนวนที่ส่งให้อัยการ

2.ศาลพิพากษาจำคุก “ส.ต.ต.นรวิชญ์” 1 ปี 15 วัน ไม่รอลงอาญา กรณีซิ่งบิ๊กไบค์ชน “หมอกระต่าย” ดับ พร้อมเพิกถอนใบอนุญาตขับรถ!



เมื่อวันที่ 25 เม.ย. ศาลอาญาได้นัดอ่านคำพิพากษา คดีที่พนักงานอัยการคดีอาญา 3 เป็นโจทก์ฟ้อง ส.ต.ต.นรวิชญ์ บัวดก อายุ 21 ปี ผบ.หมู่ กองร้อยที่ 2 กองกำกับการ 1 กองบังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน เป็นจำเลยในความผิด ฐานขับรถโดยประมาทหรือน่าหวาดเสียว อันอาจเกิดอันตรายต่อบุคคลหรือทรัพย์สิน และกระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และข้อหาอื่นๆ รวม 9 ข้อหา

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 21 ม.ค. 2565 เวลากลางวัน ส.ต.ต.นรวิชญ์ จำเลย ขี่จยย.บิ๊กไบค์ ยี่ห้อดูคาติ รุ่นมอนสเตอร์ทะเบียน 1 กผ 9942 เชียงราย ชน พญ.วราลัคน์ สุภวัตรจริยากุล หรือหมอกระต่าย จักษุแพทย์ รพ.ราชวิถี ขณะกำลังเดินข้ามทางม้าลาย บริเวณหน้า รพ.สถาบันไตภูมิราชนครินทร์ ถนนพญาไท กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเขตชุมชนด้วยความเร็ว 108-128 กม. ซึ่งเกินกว่ากฎหมายกำหนดที่ 80 กม.ต่อชั่วโมง จน พญ.วราลัคน์ ถึงแก่ความตาย

ต่อมาวันที่ 22 ก.พ.2565 พนักงานอัยการได้นำตัว ส.ต.ต.นรวิชญ์ ยื่นฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลอาญา รวม 9 ข้อหา พร้อมขอให้ศาลมีคำสั่งริบรถจักรยานยนต์ที่พนักงานสอบสวนยึดไว้เป็นของกลาง และขอให้ศาลเพิกถอนหรือพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้ต้องหาด้วย

ด้าน ส.ต.ต.นรวิชญ์ แถลงให้การรับสารภาพ ไม่ต่อสู้คดี ศาลจึงมีคำสั่งให้พนักงานคุมประพฤติ สืบเสาะ และพินิจประวัติการศึกษา สถานะทางครอบครัว และอื่นๆ ของส.ต.ต.นรวิชญ์ แล้วรายงานให้ศาลทราบ เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาพิพากษา ซึ่ง ส.ต.ต.นรวิชญ์ ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างพิจารณา โดยศาลตีราคาประกัน 50,000 บาท

เมื่อถึงกำหนดนัดอ่านคำพิพากษา ส.ต.ต.นรวิชญ์ จำเลย ได้เดินทางมาศาล โดยศาลพิพากษาว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ลงโทษจำคุก 2 ปี 30 วัน ปรับ 8,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78

โดยความผิดฐานนำรถที่มิได้ติดแผ่นป้ายเลขทะเบียนมาใช้ในทางเดินรถ ปรับ 1,000 บาท ฐานใช้รถที่มิได้เสียภาษีประจำปี ปรับ 1,000 บาท ฐานใช้รถที่ไม่ได้จัดให้มีการประกันความเสียหาย ปรับ 1,000 บาท ฐานใช้รถโดยมีส่วนควบหรือเครื่องอุปกรณ์สำหรับรถไม่ครบถ้วน ปรับ 1,000 บาท ฐานขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดโดยไม่ คำนึงถึงความปลอดภัยและความเดือดร้อนของผู้อื่น จำคุก 15 วัน ฐานขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดโดยประมาทหรือน่าหวาดเสียวอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินโดยไม่ปฏิบัติตามเครื่องหมายบนพื้นทาง เป็นเหตุให้เฉี่ยวชนผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำคุก 1 ปี รวมโทษแล้วจำคุก 1 ปี 15 วัน และปรับ 4,000 บาท

ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์รายงานการสืบเสาะและพินิจของจำเลยแล้วเห็นว่า จำเลยขับรถจักรยานยนต์ด้วยความเร็วสูงมาก ประมาณช่วงระหว่างความเร็ว 108-128 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นความเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดและที่วิญญูชนทั่วไปคาดคิด ทั้งยังขับแซงรถคันอื่นใกล้กับบริเวณที่มีเครื่องหมายจราจรทางข้าม (ทางม้าลาย) ในบริเวณที่อยู่ใกล้กับสถานพยาบาลและสถานที่ราชการ ซึ่งเป็นเขตเมืองและเป็นเขตชุมชนที่มีประชาชนจำนวนมากไปรับบริการและใช้ทางดังกล่าวเป็นปกติตลอดทั้งวัน อันเป็นการเพิกเฉยต่อความปลอดภัยของผู้ใช้รถและผู้สัญจรอื่นๆ บนท้องถนน

ประกอบกับจำเลยขับรถที่ยังไม่ได้เสียภาษีประจำปี ทำให้รัฐต้องสูญเสียรายได้และไม่ได้จัดให้มีการประกันความเสียหายกับผู้ประสบภัยจากรถ แม้จำเลยจะพยายามบรรเทาผลร้ายแล้ว แต่พฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดของจำเลยดังกล่าว ถือว่าเป็นภัยร้ายแรง จึงไม่มีเหตุให้รอการลงโทษจำเลย สำหรับรถจักรยานยนต์ของกลางเป็นทรัพย์สินที่จำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิด จึงให้ริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1) และหากจำเลยขับรถต่อไป อาจก่อให้เกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่น จึงให้เพิกถอนใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ มาตรา 162 วรรคหนึ่ง

หลังฟังคำพิพากษา นายณัฐพล ชิณะวงศ์ ทนายความบิดาหมอกระต่าย เผยว่า ตนได้แจ้งคำพิพากษากับพ่อและแม่ของหมอกระต่ายแล้ว แต่ยังไม่ได้คุยในรายละเอียดว่ารู้สึกอย่างไร ซึ่งหากจำเลยยื่นอุทธรณ์ก็พร้อมต่อสู้คดี โดยจะต้องหารือกับครอบครัวของหมอกระต่ายอีกครั้ง และจะต้องเอาผลของคำพิพากษาของศาลอาญาไปยื่นต่อศาลแพ่งด้วย เพราะคดีเเพ่งยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลแพ่ง โดยเรียกเงินค่าเสียหายจาก ส.ต.ต.นรวิชญ์, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 72 ล้านบาท และกรุงเทพมหานคร 72 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 144 ล้านบาท ซึ่งจำเลยทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ ส.ต.ต.นรวิชญ์ ได้ขอขยายเวลาการยื่นคำให้การ ศาลเเพ่งจึงนัดพร้อมคดีในวันที่ 8 ส.ค.นี้

ด้านนายสนทยา น้อยเจริญ ทนายความส.ต.ต.นรวิชญ์ กล่าวว่า ศาลลงโทษจำคุก 2 ปี 30 วัน แต่รับสารภาพลดโทษกึ่งหนึ่ง เหลือ 1 ปี 15 วัน ศาลเห็นว่า เหตุขับรถเร็วกับเรื่องไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนรุนแรง จึงไม่รอการลงโทษ นอกจากนี้ก็มีประเด็นถูกเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่รถจักรยานยนต์และรถยนต์ส่วนบุคคล ซึ่งตามกฎหมายมีกำหนดไว้แล้ว น่าจะเพิกถอนเป็นระยะเวลาประมาณ 5 ปี

หลังฟังคำพิพากษา บิดาของ ส.ต.ต.นรวิชญ์ ซึ่งเป็นตำรวจ ได้ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยระหว่างอุทธรณ์ โดยใช้ตำแหน่งราชการเป็นหลักทรัพย์ ด้านศาลอาญาพิจารณาแล้วอนุญาต โดยตีราคาประกัน 200,000 บาท

3. “พระกาโตะ” ล่องหน ไม่อยู่วัด สะพัด อาจชิงสึกก่อนถูกสอบปมคลิปเสียง-สัมพันธ์กับสีกา!



สัปดาห์ที่ผ่านมา กระแสโซเชียลได้มีการเผยแพร่คลิปเสียงและข้อความที่อ้างเป็นการสนทนาระหว่างหญิงสาวรายหนึ่ง และเสียงผู้ชายอ้างว่าเป็นพระนักเทศน์ชื่อดัง แอบมีสัมพันธ์กับหญิงสาวบนรถ จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ขณะที่พระพงศกร ปภัสสโร หรือ “พระกาโตะ” พระนักเทศน์ชื่อดังภาคใต้ ได้ออกมาปฏิเสธว่าไม่ใช่เจ้าของเสียงในคลิปดังกล่าว ขณะที่ในเวลาต่อมา หญิงสาวดังกล่าวออกมายอมรับว่า สร้างเรื่องขึ้นมา เพราะมีอาการป่วยเป็นไบโพลาร์ อย่างไรก็ตาม ยังคงมีคลิปการสนทนาระหว่างชาย-หญิงดังกล่าวอีกหลายคลิปตามมา บางคลิปมีลักษณะเหมือนฝ่ายชายอยากหยุดความสัมพันธ์ไว้ก่อน

นอกจากนี้ กรณีที่เกิดขึ้นยังโยงไปถึง “หลวงพี่ย้อย” ซึ่งอยู่คนละวัดกับพระกาโตะ แต่เป็นผู้ปล่อยคลิปความสัมพันธ์ของพระนักเทศน์กับสีกา ได้ถูกพระผู้ใหญ่รูปหนึ่งจะให้ออกจากวัด จนหลวงพี่ย้อยร้องห่มร้องไห้เสียใจว่า ตนผิดอะไร ตนทำความดี ทำเพื่อปกป้องพระพุทธศาสนา ทำไมถึงต้องให้ตนออกจากวัด ขณะที่กระแสโซเชียลต่างเห็นใจและให้กำลังใจหลวงพี่ย้อยจำนวนมาก กระทั่งสุดท้าย หลวงพี่ย้อยไม่ถูกไล่ออกจากวัด พระผู้ใหญ่อนุญาตให้อยู่ต่อได้เหมือนเดิม

ทั้งนี้ หลวงพี่ย้อยเผยกับสื่อว่า ที่ตนเผยแพร่คลิปพระนักเทศน์กับสีกา เพราะสีกาดังกล่าวปรับทุกข์กับตนทางเฟซบุ๊กและทางไลน์ พร้อมส่งคลิปต่างๆ ให้ตน ซึ่งตนมีหลักฐานทั้งหมด ยืนยันว่า ไม่ได้มีปัญหากับพระนักเทศน์ และไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว แต่อยากปกป้องพระพุทธศาสนา

ล่าสุด (30 เม.ย.) พระครูสิริธรรมาภิรัต (ธรรมรัต อริยธมฺโม) เจ้าคณะจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้ประชุมคณะกรรมการเพื่อสอบสวนกรณีคลิประหว่างพระนักเทศน์กับสีกา ที่วัดศรีพิบูลย์ จ.นครศรีธรรมราช ได้มีการโทรศัพท์ติดต่อเพื่อสอบถามพระกาโตะ แต่ไม่ยอมรับสาย

ต่อมา พระครูสิริธรรมาภิรัต เผยว่า ยังไม่พบตัวพระกาโตะ ให้เจ้าคณะอำเภอฉวาง และพระที่ใกล้ชิดประสานงานติดต่อให้มาพบก็ติดต่อไม่ได้ ตามไปที่วัดเพ็ญญาติก็ไม่อยู่วัด และที่บอกว่าจะเดินทางมาพบอาตมา ก็ไม่ได้มาพบแต่อย่างใด เมื่อแต่งตั้งคณะกรรมการแล้วเสร็จ ขั้นตอนต่อไปก็จะเชิญพระกาโตะมาสอบสวน ตอนนี้ยังไท่ทราบว่าพระกาโตะอยู่ที่ไหน

ขณะที่คนใกล้ชิดพระกาโตะระบุว่า พระกาโตะถูกกดดันอย่างหนักและเครียดมาก แม้จะออกมายืนยันก่อนหน้านี้ว่าไม่เครียด และยังยิ้มแย้มแจ่มใสก็ตาม โดยเมื่อช่วงบ่ายวันที่ 29 เม.ย. พระกาโตะตั้งใจจะเดินทางไปพบเจ้าคณะจังหวัด ซึ่งอาจจะตัดสินใจสึกก่อนการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง แต่เมื่อกลุ่มผู้สื่อข่าว จึงเปลี่ยนใจให้คนขับรถขับเลยไป จึงไม่ได้พบเจ้าคณะจังหวัด

คนใกล้ชิดพระกาโตะ เผยอีกว่า ขณะนี้พระกาโตะอยู่ในวัดแห่งหนึ่ง และอยู่ระหว่างการตัดสินใจว่าจะสึกเพื่อยุติปัญหาหรือไม่ เพื่อไม่ต้องการให้ศาสนามัวหมอง เสื่อมเสียไปมากกว่านี้ อย่างไรก็ตาม แม้จะสึกแต่ยังยืนยันว่า ไม่ได้กระทำผิดเสพเมถุนตามที่ปรากฏในคลิป

สำหรับประวัติของพระกาโตะ หรือพระพงศกร ปภัสสโร รักษาการเจ้าอาวาสวัดเพ็ญญาติ อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช ชื่อเดิม พงศกร จันทร์แก้ว ชื่อเล่น แรมโบ้ อายุ 23 ปี เกิดและเติบโตที่ จ.นครศรีธรรมราช บวชตามสัญญากับแม่ที่ป่วยด้วยโรคมะเร็ง

ก่อนหน้านี้ แรมโบ้ พงศกร ได้โควตาเรียนต่อคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี แต่แม่ป่วยจึงตัดสินใจไม่เรียนต่อและออกมาดูแลแม่แทน แรมโบ้ ทำงานหารายได้เพื่อมาใช้จ่ายในบ้านและรักษาแม่ที่ยังป่วยอยู่ ไม่ว่าจะรับงานแสดงหนังตะลุง ที่ตัวเองชื่นชอบมาตั้งแต่ 7 ขวบ จากนั้นได้เรียนรู้จากเอกชัย ศรีวิชัย ราชาลูกทุ่งศิลปินภาคใต้และบรรดาครูทั้งหลาย และฝึกฝนตนเองเรื่อยมา จนตั้งคณะเป็นของตัวเอง มีชื่อว่า “หนังแรมโบ้ ศ.สุวรรณศิลป์” ซึ่งตอนนั้นมีอายุเพียง 13 ปีเท่านั้น

นอกจากจะเป็นนักพากย์และเจ้าของคณะหนังตะลุงแล้ว แรมโบ้ พงศกร ยังเคยเป็นนักร้องเข้าประกวดร้องเพลงในรายการ “ไมค์ทองคำ 7” มาก่อน นับเป็นการปรากฏตัวต่อสาธารณชนครั้งแรกเมื่อปี 2561 แรมโบ้ เผยในรายการนั้นด้วยว่า แม่เป็นมะเร็งปอดต้องใช้ยารักษาเม็ดละ 700 บาทต่อวันทุกวันตลอดชีวิต โดยอยากให้แม่อยู่เห็นตัวเองมีความสุขร่วมกับแม่

หลังเดินตามฝันที่จะเป็นนักร้องแล้ว ปี 2562 ได้ตัดสินใจบวชพระเพื่อทดแทนบุญคุณมารดา โดยจำพรรษาอยู่ที่วัดเพ็ญญาติ ตำบลกะเปียด อำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช

พระกาโตะเริ่มโด่งดังบนโลกโซเชียลอย่างติ๊กต็อก โดยนำเทคนิคความรู้การพากย์หนังตะลุงมาใช้ในการเทศน์สอนธรรมะออนไลน์ ทั้งยังสอดแทรกความตลกความสนุก โดนใจกลุ่มวัยรุ่น จนมีชื่อเสียงโด่งดังช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ทั้งยังมีคำเทศน์สอนเยาวชนวิธีชูสามนิ้ว ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ด้วยสไตล์การเทศน์สนุกสนาน ทำให้มีผู้ติดตามผ่านติ๊กต็อกและยูทูบ ติดตามคลิปสอนธรรมะยอดวิวจำนวนมาก ส่วนที่มาฉายา “หลวงพี่กาโตะ” มาจากในคลิปเทศน์ของหลวงพี่ที่มักจะเห็นขวดน้ำยี่ห้อดังอยู่ด้วยตลอด

4. “ขุน ชานนท์” ยอมจ่าย 3 หมื่น ให้คู่กรณีผู้ช่วยพยาบาล หลังถูกวิจารณ์ต่อราคาค่าเสียหาย!



เมื่อวันที่ 25 เมษายนที่ผ่านมา เวลา 22.45 น. ขณะที่ น.ส.ปรารถนา แก้วโรจณะประเสริฐ ผู้ช่วยพยาบาล กำลังขี่รถจักรยานยนต์กลับบ้าน บนถนนรามคำแหง ปรากฏว่า รถเก๋งสีดำของนายชานนท์ อักขรชาตะ หรือ “ขุน” นักแสดงหนุ่ม อายุ 31 ปี ได้ขับตัดหน้า ทำให้รถของ น.ส.ปรารถนา ชนเข้ากับกระจกซ้ายของรถเก๋ง และล้มลง ซึ่งต่อมา ได้มีการพูดคุยเรื่องค่าเสียหาย แต่ฝ่ายดารายังไม่ได้มีการจ่าย ฝ่ายผู้เสียหายจึงไปลงบันทึกประจำวันไว้

กระทั่งต่อมา ผู้เสียหายและมารดา ได้ไปออกรายการ “โหนกระแส” ซึ่ง หนุ่ม กรรชัย พิธีกร ได้ต่อสายพูดคุยกับ ขุน ชานนท์ โดยเจ้าตัว ยืนยันว่า วันเกิดเหตุ ตนมองไม่เห็นผู้เสียหาย หลังเกิดเหตุ ตนได้จอดรถลงไปดู และช่วยยกรถผู้เสียหายขึ้นมา แล้วจึงให้แฟนของตนเป็นคนคุย ก่อนขับรถตามไปส่งที่คอนโด โดยวันดังกล่าว ยังไม่ได้คุยเรื่องค่าเสียหาย แต่ให้ถ่ายบัตรประชาชนของตน และให้เบอร์ติดต่อแฟนสาวไว้ พร้อมยืนยันว่า เรื่องค่าเสียหาย ถ้าตนผิดจริงก็พร้อมรับผิดชอบ

ทั้งนี้ หนุ่ม กรรชัย ได้นำภาพใบเสร็จค่ารักษาพยาบาล และค่าซ่อมรถมอเตอร์ไซค์ของผู้เสียหาย รวมแล้วเกือบ 3 หมื่นบาท ซึ่งคุณแม่ ขอ 2 หมื่นบาท เพื่อจบเรื่อง โดยหนุ่มได้ถามย้ำว่า ขุนจะช่วยเขาเลยได้ไหม 3 หมื่น แต่ขุนตอบว่า 2 หมื่นแล้วกันพี่ ขอต่อ

ขณะที่แม่ของผู้เสียหายบอกว่าโอเค เพราะขุนออกมาพูดกับแม่แล้ว และให้ทุกอย่างจบตรงนี้ ขณะที่ หนุ่ม กรรชัย ถามแม่ผู้เสียหายว่า แล้วอีก 1 หมื่นบาทจะทำยังไง ขณะที่แม่บอกว่า เดี๋ยวแม่ไปหาเอง หนุ่ม กรรชัย จึงรีบบอกว่า ไม่ต้อง ผมจ่ายให้

ทั้งนี้ การต่อรองค่ารักษาจาก 3 หมื่น เหลือ 2 หมื่น ของขุน ชานนท์ ได้ถูกกระแสโซเชียลวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ขณะเดียวกันก็ชื่นชมหนุ่ม กรรชัย ที่จะช่วยออกให้ 1 หมื่นบาท

หลังจบรายการ ผู้เสียหายได้เดินทางไป สน.หัวหมาก เพื่อให้ปากคำเพิ่มเติมตำรวจถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมกล่าวว่า ถ้าคุณขุนโอนเงินมาให้วันนี้ ก็จะลงบันทึกประจำวัน เป็นหลักฐานว่าได้รับเงินเยียวยาแล้ว และไม่ติดใจเอาความ ส่วนตัวรู้สึกพอใจ และสบายใจขึ้น เพราะหลังจากเกิดเหตุ ตนเองและครอบครัวไม่เคยได้คุยกับทางคู่กรณีเลย แต่เป็นการคุยผ่านผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งเพิ่งมาทราบในรายการว่าเป็นแฟนสาวของนายขุน

หลังจากนั้น ตำรวจจึงโทรศัพท์ติดต่อไปยังขุนว่า สะดวกโอนเงินให้ผู้เสียหายเลยหรือไม่ แต่ขุนบอกว่าจะยังไม่โอนเงินให้วันนี้ แต่จะนำเงินสดมามอบให้ผู้เสียหายต่อหน้าตำรวจและสื่อมวลชนในอีก 2-3 วันข้างหน้า

อย่างไรก็ตาม หลังถูกวิพากษ์วิจารณ์ค่อนข้างหนักเรื่องต่อรองค่ารักษาจาก 3 หมื่น เหลือ 2 หมื่น ล่าสุด (30 เม.ย.) ขุน ชานนท์ ได้โอนเงินให้ผู้เสียหายเรียบร้อยแล้ว โดยโอน 2 ครั้ง ครั้งแรกโอนให้ 2 หมื่นบาท และห่างกันไม่กี่นาที โอนให้อีก 1 หมื่นบาท

วันเดียวกันนี้ (30 เม.ย.) พ.ต.ท.นพพร ศรีสุชาติ รอง ผกก. (สอบสวน) สน.หัวหมาก เผยความคืบหน้าของคดีนี้ว่า พนักงานสอบสวนได้ออกหมายเรียกให้นายชานนท์ มารับทราบข้อกล่าวหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุทำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ เข้าข่ายความผิด พ.ร.บ.จราจรทางบก และความผิดทางคดีอาญา ในวันที่ 5 พ.ค.นี้ และว่า หากนายชานนท์ ให้การรับสารภาพ คดีสามารถจบได้ในชั้นของพนักงานสอบสวน แต่หากให้การปฏิเสธต้องรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อส่งฟ้องต่ออัยการและศาลตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป

5. กองทัพเรือ สั่งขัง 30 วัน-ปลดออกจากราชการ “ครูฝึก” สั่งทหารใหม่กินอสุจิ หลังผลสอบพบผิดจริง!



สัปดาห์ที่ผ่านมา เพจ “คนข่าวเมืองปทุม” ได้โพสต์คลิปพร้อมข้อความผ่านเฟชบุ๊ก ระบุว่า “บังคับทหารกินน้ำเชื้อนี่หรือการรับใช้ชาติของไทย ต้องมานั่งกินน้ำเชื้อตัวเอง เกียรติและศักดิ์ศรีความเป็นลูกผู้ชายอยู่ที่ไหน การรับน้องผลัด 1/64”

ทั้งนี้ หลังคลิปดังกล่าวถูกเผยแพร่ผ่านสื่อออนไลน์ ได้นำไปสู่การตรวจสอบ กระทั่ง พลเรือโท ปกครอง มนธาตุผลิน โฆษกกองทัพเรือ ได้ออกมาชี้แจงกรณีดังกล่าวเมื่อวันที่ 29 เม.ย. ว่า เป็นเรื่องจริง โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเดือนตุลาคม 2564 ผู้ก่อเหตุคือ จ่าโททักษิณ หงอกพิลัย สังกัดกองร้อยบังคับการ กรมรักษาความปลอดภัย หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ซึ่งในขณะนั้นเป็นครูฝึกให้ทหารกองประจำการ

พลเรือโท ปกครอง กล่าวด้วยว่า ผู้บังคับบัญชาต้นสังกัดของจ่าโททักษิณ ทราบเรื่องแล้ว และได้สั่งย้าย จ่าโททักษิณ ให้มาทำหน้าที่อื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับทหารกองประจำการ พร้อมทั้งตั้งคณะกรรมการสอบสวน หากตรวจพบว่ากระทำความผิดจริง จะต้องถูกลงทัณฑ์ทางวินัยตามความผิดสูงสุด เนื่องจากได้มีการสั่งการอย่างเข้มงวดจากผู้บัญชาการระดับสูงไม่ให้มีการกระทำในเรื่องดังกล่าวมาแล้ว

ล่าสุด (30 เม.ย.) พลเรือโท ปกครอง มนธาตุผลิน โฆษกกองทัพเรือ เผยว่า เมื่อวันที่ 29 เม.ย. กรมรักษาความปลอดภัย หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ได้รายงานผลการสอบสวนของคณะกรรมการฯ พบว่า จ่าโท ทักษิณ ได้กระทำความผิดจริง จึงให้ลงทัณฑ์ขัง จ่าโท ทักษิณ มีกำหนด 30 วัน ฐานทำให้เสียชื่อเสียงแก่หมู่คณะทหารอย่างร้ายแรง ซึ่งจะมีผลตามระเบียบกองทัพเรือ คือ ปลดออกจากราชการ



สำหรับผู้บังคับบัญชาของ จ่าโท ทักษิณ ทางหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ได้มีคำสั่งให้ธำรงวินัย ผู้บังคับการกรมรักษาความปลอดภัยหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน เป็นเวลา 7 วัน และผู้บังคับกองร้อยกองบังคับการและบริการ กรมรักษาความปลอดภัยหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน เป็นเวลา 15 วัน ในฐานะผู้บังคับบัญชาขึ้นไป 2 ระดับของผู้กระทำความผิดวินัยทหาร