ที่มาของภาพ, EPA

คำบรรยายภาพ,

ผู้ประท้วงในนครเมลเบิร์นของออสเตรเชียชูแผ่นป้ายรูปประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน พร้อมคำว่า “อาชญากรสงคราม” เพื่อต่อต้านการรุกรานยูเครน

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย ได้สั่งการให้กองทัพรัสเซียจัดการให้กองกำลังที่รับผิดชอบด้านอาวุธนิวเคลียร์ “เตรียมพร้อมเป็นพิเศษ” ซึ่งเป็นระดับการแจ้งเตือนสูงสุดของกองกำลังขีปนาวุธทางยุทธศาสตร์ (Strategic Missile Forces) ของรัสเซีย ด้านสหรัฐฯ ชี้ เป็นความเคลื่อนไหวที่ไม่อาจยอมรับได้

นายปูตินกล่าวต่อเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านการทหาร ซึ่งรวมถึงพลเอกเซอร์เก ชอยกู รัฐมนตรีกลาโหมรัสเซีย ว่า ชาติตะวันตกได้ “ดำเนินท่าทีที่ไม่เป็นมิตร” อีกทั้งใช้มาตรการคว่ำบาตรโดยมิชอบด้วยกฎหมายต่อรัสเซีย

คำสั่งดังกล่าวของนายปูตินจะเปิดทางให้ใช้อาวุธนิวเคลียร์ได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม นายกอร์ดอน โคเรรา ผู้สื่อข่าวสายความมั่นคงของบีบีซีระบุว่า นี่คือวิธีที่รัสเซียใช้ในการส่งคำเตือนถึงองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ หรือนาโต มากกว่าจะเป็นการส่งสัญญาณว่ามีความตั้งใจที่ใช้อาวุธนิวเคลียร์จริง

นางลินดา โทมัส-กรีนฟีลด์ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำสหประชาชาติ กล่าวระหว่างการให้สัมภาษณ์กับซีบีเอสนิวส์ของสหรัฐฯ ว่า ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ของรัสเซียเป็นเรื่อง “ที่ไม่อาจยอมรับได้”

“นี่หมายความว่าประธานาธิบดีปูตินยังคงเพิ่มความรุนแรงให้สงครามครั้งนี้อย่างต่อเนื่องในลักษณะที่ไม่อาจยอมรับได้ และเราจะต้องเดินหน้ายับยั้งการกระทำของเขาอย่างแข็งขันที่สุด”

แฟรงก์ การ์ดเนอร์ ผู้สื่อข่าวสายความมั่นคงของบีบีซีวิเคราะห์ว่านี่เป็นสัญญาณถึงความโกรธเกรี้ยวของนายปูติน ต่อมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียของชาติตะวันตก และความหวาดวิตกเกินเหตุว่ารัสเซียกำลังตกอยู่ภายใต้การคุกคามจากนาโต

ท่าทีเช่นนี้ของรัสเซียเป็นสิ่งที่นักวางแผนยุทธศาสตร์การทหารของนาโตวิตกอยู่แล้ว นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมพันธมิตรนาโตจึงประกาศตลอดเวลาว่าจะไม่ส่งกองทัพเข้าไปช่วยยูเครนขับไล่กองทัพรัสเซีย

นายเยนส์ สโตลเทนเบิร์ก เลขาธิการองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือ นาโต ก็ออกมาวิจารณ์ท่าทีของรัสเซียว่าเป็น “สิ่งที่อันตราย” และ “ไร้ซึ่งความรับผิดชอบ” ทำให้เห็นความก้าวร้าวของรัสเซียที่มีต่อยูเครนมากยิ่งขึ้น

การ์ดเนอร์เห็นว่าความเกรี้ยวกราดของนายปูตินครั้งนี้ ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการที่ปฏิบัติการของรัสเซียในยูเครนก็ยังไม่คืบหน้าเท่าไรนัก การโจมตีผ่านไป 4 วันแล้ว รัสเซียยังพูดไม่ได้เลยว่าสามารถยึดครองเมืองใหญ่เมืองใดของยูเครนไว้ได้ และก็ยังสูญเสียรี้พลไปไม่น้อย

ขณะที่นายดมีโทร คูเลบา รัฐมนตรีต่างประเทศของยูเครน ก็ออกมากล่าวว่า หากรัสเซียใช้อาวุธนิวเคลียร์กับยูเครน “มันคงเป็นหายนะของทั้งโลก แต่มันจะไม่ทำให้เราต้องยอมแพ้แน่นอน”

นายการ์ดเนอร์ ชี้อีกว่าจากนี้รัสเซียน่าจะเพิ่มความรุนแรงในการโจมตีมากขึ้น และพลเรือนก็อาจได้รับความเสียหายมากขึ้น เพราะรัสเซียไม่ได้ให้ความระมัดระวังเรื่องนี้มาแต่แรกแล้ว

ก่อนหน้านี้ นางลิซ ทรัสส์ รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ กล่าว ว่าหากว่าพลเมืองอังกฤษเลือกที่จะเดินทางไปยูเครนเพื่อเข้าร่วมการต่อสู้ของยูเครน เธอจะสนับสนุนพวกเขา “อย่างเต็มที่ ถ้านั่นเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการทำ”

คำพูดของนางทรัสส์เป็นการตอบสนองการเรียกร้องของประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครนที่อยากจะให้นักรบจากต่างประเทศเข้าไปร่วมเป็นกองกำลังชาวต่างชาติเพื่อปกป้องยูเครน ซึ่งตั้งขึ้นมาหมาด ๆ หลังจากที่ยูเครนถูกกองทัพของรัสเซียโจมตีเข้าสู่วันที่ 4 แล้ว

ที่มาของภาพ, Ukrainian Armed Forces/Getty Images

คำบรรยายภาพ,

ภาพจากวิดีโอที่เผยแพร่โดยกองทัพยูเครนเผยให้เห็นรถถังรัสเซียถูกเผาในเมืองคาร์คิฟ เมืองใหญ่อันดับสองของยูเครน

สถานการณ์ตั้งแต่คืนวันเสาร์จนถึงวันอาทิตย์ มีการสู้รบกันในเมืองสำคัญต่าง ๆ ของยูเครน รวมทั้งในกรุงเคียฟ เมืองหลวง และเมืองคาร์คิฟ ซึ่งใหญ่เป็นอันดับ 2

กองทหารของรัสเซียได้เปิดปฏิบัติการในเมืองหลายแห่งของยูเครน อย่างเช่น เคอร์สัน, เบอรดีแองสก์ โฆษกกระทรวงกลาโหมของรัสเซีย อิกอร์ โคนาเชนคอฟ แถลงว่ารัสเซียยังได้ยิงขีปนาวุธโจมตีสาธารณูปโภคด้านการทหารของยูเครน รวมทั้งสามารถเข้าควบคุมฐานทัพอากาศ และเมืองอีกแห่งหนึ่งที่ใกล้กับเคอร์สันได้แล้ว

เคอร์สันมีความสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์เพราะเป็นเส้นทางที่เชื่อมต่อไปสู่คาบสมุทรไครเมียได้ ในขณะนี้เบอร์ดีแองสก์เป็นเมืองท่าทางตะวันออกของไครเมีย

ยูเครนก็ยังแสดงให้เห็นว่ายังคงยืนหยัดต่อสู้ รัฐบาลยูเครนได้ออกคำแนะนำแก่พลเมืองของตนให้เคลื่อนไหวต่อต้านการเข้าครองของรัสเซีย “ไม่ว่าคุณจะมีอาวุธหรือกระสุนในมือหรือไม่ ใช้ทุกวิถีทาง และทุกอุปกรณ์ในการต่อสู้”

รัฐบาลยูเครนแนะนำให้ประชาชนของตนทำดังต่อไป ทำลายป้ายถนน, เคลื่อนไหวอะไรก็ได้ตามแต่ที่นึกออกโดยเสรี, ใช้อาวุธและอุปกรณ์ที่ผลิตขึ้นเอง, ทำลายสถานีขนส่งต่าง ๆ และออกปฏิบัติการในยามกลางคืน

คำบรรยายวิดีโอ,

ชาวเมืองดนีโปร ทำระเบิดขวด

นอกจากนี้รัฐบาลยูเครนก็ได้เรียกร้องความช่วยเหลือจากนานาชาติเพื่อให้สามารถยืนหยัดสู้กับรัสเซียได้ ก่อนหน้านี้นายโอเลกไซ เรสนิคอฟ รัฐมนตรีกลาโหมของยูเครนออกมาบอกว่าการต่อสู้ของประเทศเขานั้นยังเป็นการต่อสู้เพื่อเสถียรภาพของยุโรปอีกด้วย “หากไม่มีกองทัพนี้ และประชาชนของเรา ยุโรปจะไม่ปลอดภัยเลย และหากไม่มีเรา ยุโรปก็จะไม่ยืนยงอยู่ได้”

รัสเซียได้ออกมาระบุว่าตัวแทนของรัฐบาลรัสเซียเดินทางถึงเบลารุสแล้ว และกำลังรอที่จะเปิดการเจรจากับยูเครน แต่ประธานาธิบดีโวโลดีเมียร์ เซเลนสกีแห่งยูเครนก็ปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว โดยบอกว่าการหารือในกรุงมินสค์ของเบลารุสอาจจะเกิดขึ้นได้หากว่ารัสเซียไม่ได้บุกโจมตียูเครนโดยส่งกองกำลังผ่านเบลารุส อย่างไรก็ตามเซเลนสกียังคงไม่ปิดประตูแห่งการเจรจาเสียทีเดียว เพราะเขาทิ้งท้ายไว้ว่าอาจจะไปเจรจากันที่เมืองอื่น ๆ กันได้

“แน่นอนว่าเราต้องการสันติภาพ เราต้องการที่จะเจรจา และเราต้องการยุติสงคราม วอร์ซอ, บราติสลาวา, อิสตันบูล หรืออาจจะเป็นบากู เป็นตัวเลือกของเราที่เสนอให้รัสเซีย” เขากล่าว

“หรือประเทศอื่น ๆ ที่จะรับรองเราได้ก็เช่นกัน แต่ต้องเป็นประเทศที่ไม่ได้ให้รัสเซียเข้ามายิงขีปนาวุธโจมตีเรา นี่เป็นหนทางการเจรจาที่ซื่อตรงเพียงทางเดียว และสามารถที่จะหยุดยั้งสงครามได้”

นายเรสนิคอฟยังได้ทวีตอีกด้วยว่า 72 ชั่วโมงที่ผ่านมา ยูเครนได้พิสูจน์ให้โลกเห็นแล้วว่าการหยุดยั้งความก้าวร้าวของรัสเซียนั้นเป็นไปได้

ที่มาของภาพ, Getty Images

คำบรรยายภาพ,

ประชาชนชาวยูเครนในเมืองคาร์คิฟใช้รถไฟใต้ดินเป็นสถานที่หลบภัย

ในช่วงบ่ายของวันที่ 27 ก.พ. ทางการยูเครนระบุว่ากองกำลังรัสเซียเข้าไปในเมืองคาร์คิฟ (Kharkiv) เมืองใหญ่อันดับสองของยูเครนทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ และเคลื่อนพลบุกยึดเมืองโนวา คาคอฟกา (Nova Kakhovka) ทางตอนใต้ได้อีกแห่ง

นายโอเลก ซิเนกูบอฟ ผู้บริหารของเมืองคาร์คิฟ บอกว่ายานพาหนะทางทหารของรัสเซีย “ได้เข้ามาในเมืองแล้ว” ก่อนหน้าการออกแถลงการณ์ดังกล่าว ได้มีวิดีโอที่แสดงให้เห็นรถทหารรัสเซียขับมาบนถนนหลายเส้นของเมือง พร้อม ๆ กับมีเสียงระเบิดดังขึ้น ขณะที่มีรายงานว่าท่อส่งก๊าซในเมืองถูกโจมตี

คลิปวิดีโอที่บีบีซีตรวจสอบแล้วว่าเป็นภาพเหตุการณ์จริง เผยให้เห็นการสู้รบบนท้องถนนเมืองคาร์คิฟ

ผู้บริหารของเมืองคาร์คิฟ ประกาศให้ชาวเมืองคาร์คิฟอยู่แต่ในอาคาร และระบุด้วยว่ากองกำลังของรัสเซีย ได้เข้าประจำที่ศูนย์กลางของเมืองแล้ว

“อย่าออกจากที่หลบภัย กำลังทหารของยูเครนกำลังจำกัดศัตรู พลเรือนไม่ควรออกมาบนท้องถนน” ประกาศจากผู้บริหารของเมืองคาร์คิฟ

หน่วยฉุกเฉินรายงานด้วยว่า ย่านที่พักอาศัยในเมืองคาร์คิฟถูกโจมตีเช่นกัน มีหญิงเสียชีวิต 1 คน และคนอีกนับสิบชีวิตต้องอพยพหนีออกจากอาคารที่พัก 9 ชั้นดังกล่าว

เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นรายงานว่ามีการปะทะกันขึ้นบนท้องถนนของคาร์คิฟ หลังจากที่กองกำลังรัสเซียได้บุกเข้าไปในเมืองแห่งนี้ตอนเวลาราว ๆ เที่ยงของประเทศไทย วิดีโอคลิปในโซเชียลมีเดียหลายชิ้น แสดงให้เห็นหน่วยทหารของรัสเซียในเมือง รวมทั้งเห็นยานพาหนะทหาร “ไทเกอร์” หรือพยัคฆ์ ของรัสเซียอย่างน้อย 2 คันในตัวเมือง

ที่มาของภาพ, Telegram

คำบรรยายภาพ,

บีบีซีได้ตรวจสอบวิดีโอที่ถูกเผยแพร่ผ่านแอปฯ เทเลแกรม เป็นภาพขณะรถบรรทุกทหารของรัสเซียกำลังขับเข้าสู่เมืองคาร์คิฟ หญิงผู้ถ่ายวิดีโอพูดในคลิปว่า “เหล่านี้คือ ทหารรัสเซีย…. พวกเขาหยุดจอดระหว่างบ้านคน พระเจ้า”

ผู้สื่อข่าวบีบีซีแผนกภาษายูเครนรายงานว่า มีเหตุระเบิดในเมืองคาร์คิฟและเมืองเคอร์สันที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ

การเข้ารุกรานยูเครนของรัสเซียดำเนินต่อเนื่องมาเป็นวันที่ 4 (27 ก.พ.) ตามเวลาในประเทศไทย กรุงเคียฟของยูเครนยังตกอยู่ภายใต้สถานการณ์การโจมตีของรัสเซีย มีรายงานเสียงระเบิดและไซเรนเกิดขึ้นต่อเนื่องนับตั้งแต่ช่วงกลางคืนถึงรุ่งสาง ขณะที่เมื่อคืนที่ผ่านมา คลังน้ำมันทางตอนใต้ของกรุงเคียฟที่ห่างออกไปทางใต้ราว 30 กิโลเมตร ถูกขีปนาวุธรัสเซียโจมตี

ที่มาของภาพ, Reuters

คำบรรยายภาพ,

อาคารที่พักอาศัยของพลเรือนในเมืองคาร์คิฟถูกโจมตีเมื่อวันเสาร์ที่ 26 ก.พ.

ขณะเดียวกัน สื่อมวลชนของยูเครนรายงานว่า เมืองโนวา คาคอฟกา ตกเป็นของกองทัพรัสเซียแล้ว แม้ว่าจะเป็นเมืองเล็ก ๆ แต่ว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญแห่งหนึ่ง ตัวเมืองตั้งอยู่บนริมฝั่งแม่น้ำดไนปอร์ ซึ่งสามารถส่งยุทธภัณฑ์ต่าง ๆ ไปยังคาบสมุทรไครเมียได้โดยตรง

โวโลดีเมียร์ โควาเลนโก นายกเทศมนตรีของคาคอฟการะบุว่า กองกำลังรัสเซียได้จับตัวกรรมการเมืองรวมทั้งเอาธงของยูเครนออกจากตึกต่าง ๆ ในตัวเมือง

นักวิเคราะห์ชี้ว่ากองกำลังของรัสเซียที่บุกเข้าจากทางใต้นั้น ประสบความสำเร็จมากกว่าเข้าจากเส้นทางอื่น และตอนนี้หลายเมือง อย่างเช่น เคอร์สัน ไมโคเลียฟและเมลิโทโพล กำลังถูกกองกำลังรัสเซียเข้าตี

ก่อนหน้านี้ นักวิเคราะห์ปฏิบัติการทางทหารจากสถาบันสงครามศึกษา (The Institute for the Study of War) องค์กรด้านการวิจัยนโยบายที่ตั้งอยู่ในสหรัฐฯ เผยแพร่ประเมินสถานการณ์การเข้ายึดพื้นที่ของรัสเซียในยูเครน ภายหลังการโจมตีต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 (26 ก.พ.) ระบุว่า ยูเครนยังคงต้านทานรัสเซียได้ แม้รัสเซียยกระดับการโจมตี อย่างไรก็ตาม รัสเซียได้เข้ายึดครองพื้นที่ของยูเครนอย่างน้อย 4 พื้นที่ ได้แก่ ภูมิภาคโดเนตสก์และลูฮันสก์ ไครเมียทางตอนใต้ เชอร์โนบิลทางตอนเหนือของกรุงเคียฟ และพื้นที่ทางตอนเหนือของเมืองคาร์คิฟติดกับชายแดนรัสเซีย

คลังน้ำมันชานกรุงเคียฟถูกขีปนาวุธรัสเซียโจมตี

เหตุระเบิดคลังน้ำมันในเมืองวาซิลคีฟ (Vasylkiv) ชานกรุงเคียฟ จากการโจมตีของรัสเซีย ทำให้ทางการออกมาเตือนประชาชนว่าควันที่มาจากการเผาไหม้นั้นเป็นพิษ พวกเขาควรจะปิดหน้าต่างเพื่อไม่ให้ควันเข้าไปในบ้าน วิดีโอในรายงานข่าวหลายชิ้นแสดงให้เห็นถึงควันกลุ่มใหญ่ที่ลอยขึ้นมาจากคลังน้ำมันแห่งนั้น

เมื่อคืนที่ผ่านมา มีเสียงไซเรนเตือนการโจมตีดังขึ้นหลายครั้งในเคียฟ เมืองหลวงของยูเครน ทางการยูเครนก็ออกมาเตือนถึงการโจมตีโดยขีปนาวุธ ผู้แทนในสภายูเครนคนหนึ่งระบุว่ารัสเซียจะโจมตีเราด้วยทุกสิ่งที่พวกเขามี ส่วนประชาชนจำนวนไม่น้อยก็ลงไปอยู่ในหลุมหลบภัยใต้ดิน

นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า ท่อส่งก๊าซในคาร์คิฟ (Kharkiv) ได้เกิดระเบิดหลายครั้ง

ประชาชนจำนวนมากหนีจากยูเครนไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างเช่น โปแลนด์ และมอลโดวา ส่วนคนที่ยังอยู่ตามเมืองต่าง ๆ ก็ติดอาวุธเตรียมพร้อมต่อสู้ รวมทั้งทำระเบิดทำเองเพื่อเอาไว้ตอบโต้กับกองกำลังรัสเซีย

พันธมิตรชาติตะวันตกอย่าง สหรัฐฯ, เยอรมนี และเนเธอร์แลนด์ ออกมาให้คำมั่นว่าจะส่งอาวุธไปให้ยูเครนเพิ่มเติม

ก่อนหน้านี้ประธานาธิบดี โวโลดิเมียร์ เซเลนสกีระบุว่ากองกำลังยูเครนเข้าปะทะกับกองทหารรัสเซียทั้งในเคียฟ โอเดซา อยู่ทางใต้ และคาร์คีฟทางตะวันออกเฉียงเหนือ

“ผู้โจมตีมีแผนจะปิดล้อมศูนย์กลางของประเทศ แต่เราหยุดแผนนี้ได้” เซเลนสกีระบุ

ในขณะที่รัสเซียรุกคืบเข้ามา ทางการยูเครนก็ขอให้ประชาชนอยู่แต่ในอาคารจนถึงเช้าวันจันทร์

ที่มาของภาพ, Reuters

คำบรรยายภาพ,

ชาวยูเครนที่อพยพข้ามพรมแดนเข้าปหนีภัยในโปแลนด์

กระทรวงสาธารณสุขของยูเครนแถลงว่า มีผู้เสียชีวิตจากการสู้รบแล้ว 198 ราย ในขณะนี้รัสเซียไม่ยอมให้ข้อมูลเรื่องการเสียชีวิตในเขตที่ทหารรัสเซียบุกเข้าไปแต่อย่างใด

ด้านสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ระบุว่ามีพลเรือนเสียชีวิตจากการสู้รบอย่างน้อย 64 คน ในยูเครน และบาดเจ็บอย่างน้อย 240 คน

สหประชาชาติระบุด้วยว่า มีชาวยูเครนต้องพลัดถิ่นอพยพออกนอกประเทศไปแล้วกว่า 160,000 คน ขณะที่รัฐบาลยูเครนประเมินว่าการเข้ามารุกรานของรัสเซียอาจจะทำให้ชาวยูเครนกลายเป็นผู้อพยพลี้ภัยจำนวนมากถึง 5 ล้านคน

มาตรการตัดรัสเซียออกจากสวิฟต์

โลกตะวันตกกำลังเพิ่มแรงกดดันต่อรัสเซียด้วยการเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรทางด้านต่าง ๆ ต่อรัสเซียโดยเฉพาะทางเศรษฐกิจ อย่างเช่น การตัดรัสเซียออกจากระบบสวิฟท์ อันเป็นเครือข่ายการแลกเปลี่ยนทำธุรกรรมการเงินระหว่างธนาคารต่าง ๆ ในโลก

นักวิเคราะห์ชี้ว่าหากธนาคารหลายแห่งของรัสเซียไม่สามารถจะเข้าระบบสวิฟท์ได้จะส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจรัสเซียอย่างมาก เพราะจะทำให้รัสเซียต้องหันมาทำธุรกรรมการเงินโดยผ่าน “โทรศัพท์ หรือ เครื่องแฟกซ์” ซึ่งเป็นคำที่ใช้ในการแถลงการณ์ของรัฐบาลสหรัฐฯ เมื่อตัดสินใจออกมาตรการคว่ำบาตรต่าง ๆ ต่อรัสเซีย ถ้อยคำนี้อาจจะรุนแรงเกินเลยไปสักหน่อย เพราะยังมีวิธีอื่น ๆ ในการโอนเงินระหว่างประเทศได้อีก แต่ว่าไม่มีวิธีไหนที่สะดวกและดีเท่าระบบสวิฟท์

เท่าที่ผ่านมามีเพียงประเทศเดียวเท่านั้นที่ถูกตัดออกจากระบบ นั่นก็คืออิหร่าน ซึ่งทำให้การค้าระหว่างประเทศของอิหร่านหายไปร้อยละ 30 ทันทีที่เข้าถึงระบบไม่ได้

การเลือกเพียงธนาคารบางแห่งของรัสเซียก็จะสร้างความเสียหายในรัสเซียได้มหาศาล ในขณะที่ไม่สร้างผลกระทบต่อยุโรปมากนัก เพราะธุรกิจของยุโรปยังสามารถเก็บเงินที่บริษัทรัสเซียเป็นหนี้ได้ และยังสามารถซื้อพลังงานจากรัสเซียได้อีกด้วย

นอกจากนี้การสกัดกั้นไม่ให้ธนาคารกลางรัสเซียทำธุรกรรมการเงินก็จะทำให้รัสเซียไม่สามารถใช้เงินตราต่างประเทศสำรองจำนวนมหาศาลมารองรับแรงกระแทกทางเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังทำให้เงินตราต่างประเทศสำรองของรัสเซียร่อยหรอลงอย่างรวดเร็วด้วย

นักวิเคราะห์กล่าวว่ามาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจนี้อาจจะไม่ส่งผลในระยะเวลาอันใกล้ หากแต่จะมีผลอย่างลึกซึ้งหากดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ

นับตั้งแต่เกิดสงครามเป็นต้นมา ประเทศตะวันตกไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ สหภาพยุโรป (อียู) อังกฤษ เยอรมนี แคนาดา ไต้หวัน นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่นและไต้หวัน ต่างประกาศมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อรัสเซียแล้ว โดยมีเป้าหมายที่ธนาคาร, ธุรกิจส่งออกยุทธภัณฑ์ และธุรกิจกลั่นน้ำมัน

ก่อนหน้านี้สำนักข่าวทาสส์ (Tass) ของทางการรัสเซีย รายงานโดยระบุคำพูดของนายเซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศของรัสเซียว่ารัฐบาลรัสเซียพร้อมที่จะเปิดการเจรจาทันทีหากกองทัพของยูเครนจะยินยอมวางอาวุธ

“เราพร้อมที่จะเจรจาทุกเมื่อ หากทางกองทัพยูเครนจะยอมตามข้อเรียกร้องของประธานาธิบดีของเรา นั่นคือ ยุติการต่อต้านและวางอาวุธ ไม่มีใครจะวางแผนเข้าโจมตีหรือกดดันพวกเขา และจะปล่อยให้พวกเขากลับไปหาครอบครัว และปล่อยให้เราได้ให้โอกาสแก่ประชาชนยูเครนมีโอกาสที่จะตัดสินอนาคตของพวกเขาเอง” นายลาฟรอฟกล่าวเมื่อ 25 ก.พ. ที่ผ่านมา

อับราโมวิช ลดบทบาทตัวเองในการบริหารสโมสรเชลซี

โรมัน อับราโมวิช มหาเศรษฐีชาวรัสเซีย ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของทีมฟุตบอลเชลซี ออกมาบอกว่าเขาได้ส่งมอบการบริหารงานทุกอย่างของทีมให้แก่มูลนิธิการกุศลของเชลซี ทำให้เขาไม่ได้มีอำนาจบริหารและตัดสินใจใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการโอนเงินทุน ผู้จัดการ และเรื่องอื่น ๆ ในสโมสรแห่งนี้อีกแล้ว

ที่มาของภาพ, Getty Images

คำบรรยายภาพ,

โรมัน อับราโมวิช มหาเศรษฐีชาวรัสเซีย เป็นเจ้าของสโมสรฟุตบอลเชลซีมาตั้งแต่ปี 2003

การประกาศนี้คาดว่ามาจากความกังวลของอับราโมวิชว่า หากรัฐบาลอังกฤษตัดสินใจยึดทรัพย์สินของเขาที่อยู่ในอังกฤษ สโมสรฟุตบอลเชลซีก็จะโดนยึดไปด้วย

หากความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย ยูเครน และชาติตะวันตกยืดเยื้อยาวนานออกไป สโมสรเชลซีอาจจะมีปัญหาด้านการเงิน และเนื่องจากอับราโมวิช ไม่ได้มีชื่ออยู่ในคณะกรรมการของมูลนิธีเชลซี ทีมกฎหมายของสโมสรจึงมีข้อต่อสู้ในกรณีที่รัฐบาลอังกฤษต้องการจะยึดทรัพย์สินของอับราโมวิช ซึ่งรวมไปถึงสโมสรฟุตบอลแห่งนี้ด้วย

ออสเตรเลียประกาศให้เงินสนับสนุนอาวุธแก่ยูเครน – มาครง ประณามเบลารุส

นายกรัฐมนตรีสก็อต มอร์ริสัน แห่งออสเตรเลีย ประกาศการตัดสินใจดังกล่าวเมื่อเช้าวันอาทิตย์ในขณะที่เข้าร่วมพิธีสวดมนต์ในโบสถ์แห่งหนึ่งในเมืองซิดนีย์

“รัฐบาลออสเตรเลียจะเดินหน้าเพื่อความถูกต้องในเรื่องยูเครน เรากำลังจะให้ความช่วยเหลือที่เราสามารถทำได้โดยผ่านพันธมิตรนาโตของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร”

การประกาศนี้จะไปเพิ่มจำนวนอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ที่สหรัฐฯ อังกฤษ และกลุ่มพันธมิตรนาโตอื่น ๆ จัดหาให้ยูเครน และเยอรมนีเองก็ตัดสินใจเมื่อวันเสาร์ที่จะส่งอาวุธให้กับยูเครนด้วยเช่นกันหลังจากที่มีท่าทีไม่เห็นด้วยมาก่อนหน้านี้

นอกจากนี้นายมอร์ริสันยังกล่าวด้วยว่า ทางออสเตรเลียจะเร่งกระบวนการพิจารณาวีซาเข้าออสเตรเลียจากยูเครนให้รวดเร็วมากขึ้นด้วย

ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส ได้ออกมาประณามการตัดสินใจของเบลารุสที่อนุมัติให้รัสเซียสามารถยิงขีปนาวุธได้ในดินแดนของตนเอง

มาครงได้คุยโทรศัพท์กับอเล็กซานเดอร์ ลูคาเชงโก ผู้นำของเบลารุส เพื่อเรียกร้องให้เขาบอกให้รัสเซียถอนทหารออกจากเบลารุสให้เร็วที่สุด เพราะกองทัพของรัสเซียกำลังก่อสงครามขึ้น และส่วนหนึ่งของกองกำลังรัสเซียที่เคลื่อนเข้าสู่ยูเครนมีบางส่วนมาจากเบลารุส

ก่อนหน้านี้ไม่นาน ฝรั่งเศสได้ยึดเรือสินค้าของบริษัทซึ่งทางสหรัฐฯ ระบุว่ามีสายสัมพันธ์กับรัสเซียอย่างแน่นแฟ้น การยึดเรือนี้ถือเป็นตัวอย่างหนึ่งในมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อรัสเซีย