5
จากเทรนด์การมุ่งสู่ ‘เศรษฐกิจสีเขียว’ (Green Economy) ที่นอกจากจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อคนทำงานเบื้องหลังในบางอุตสาหกรรมหากไม่มีการปรับปรุงสภาพการจ้างงานให้ดีขึ้น (อ่านย้อนหลังได้ใน: เบื้องหลัง ‘เศรษฐกิจสีเขียว’ ยังมีคนทำงานหนัก เสี่ยงอันตราย และได้ค่าแรงต่ำ) การเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจสีเขียวนี้ จะส่งผลให้เกิดการสูญเสียตำแหน่งงานในอุตสาหกรรมแบบเก่าที่ไม่สามารถปรับตัวตามได้ด้วยเช่นกัน
ในบทความชิ้นนี้จะขอยกตัวอย่างผลกระทบต่อคนทำงานใน ‘อุตสาหกรรมยานยนต์’ ที่กำลังจะเปลี่ยนผ่านจากยุค ‘รถยนต์สันดาปขับเคลื่อนด้วยน้ำมันเชื้อเพลิง’ (Internal Combustion Engine: ICE) ไปสู่ยุค ‘รถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้า’ (Electric Vehicle: EV) ซึ่งในการเปลี่ยนผ่านนี้ เบื้องต้นจะทำให้ชิ้นส่วนรถยนต์ลดลงไปอย่างมาก จากประมาณ 30,000 ชิ้นต่อคัน เหลือเพียงประมาณ 1,500 – 3,000 ชิ้นต่อคัน เท่านั้น โดยชิ้นส่วนที่จะหายไปได้แก่ เครื่องยนต์ ระบบไอเสีย หม้อน้ำ ถังน้ำมัน เป็นต้น ซึ่งแน่นอนว่าจะกระทบต่อคนทำงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์แบบเก่าเหล่านี้เป็นอย่างมาก
สหภาพยุโรป (EU) ถือเป็นภูมิภาคที่จริงจังในการลดการปล่อยมลพิษมากที่สุด โดยกำหนดเป้าหมายยกเลิกการจำหน่ายรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปที่ขับเคลื่อนด้วยน้ำมันเชื้อเพลิงภายในปี 2035 แล้วมุ่งเน้นไปที่รถยนต์ไฟฟ้าแทน
คาดการณ์ว่า คนทำงานในอุตสาหกรรมรถยนต์แบบเก่าจะลดลงและอาจจะหายไปหากรถยนต์ไฟฟ้ามาแทนที่ เนื่องจากอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าจะจ้างคนทำงานที่มีทักษะทางเทคนิคสูงกว่าเดิม สมาคมผู้ผลิตยานยนต์ยุโรป (ACEA) ประเมินว่าจะมีการเลิกจ้างจำนวนมากในอุตสาหกรรมรถยนต์ทั้งทางตรงและทางอ้อมประมาณ 14.6 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วน 7% ของกำลังแรงงานในยุโรปเลยทีเดียว
แม้จะมีความคาดหวังที่ว่าจะมีการสร้างตำแหน่งงานใหม่ๆ ขึ้นมาแทนที่ โดยจากผลการศึกษาของ Boston Consulting Group คาดการณ์ว่าโรงงานแห่งใหม่ที่ผลิตเซลล์แบตเตอรี่เพื่อใช้เป็นพลังงานให้กับรถยนต์ไฟฟ้าจะถูกสร้างขึ้นในยุโรป และอาจจะมีการสร้างงานใหม่มากกว่า 100,000 ตำแหน่ง ในการผลิต ติดตั้ง และงานเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานของสถานีชาร์จประจุไฟฟ้า
แต่กลุ่มสหภาพแรงงานระบุว่าอาจเป็นการมองโลกในแง่ดีเกินไป เพราะคนทำงานที่ถูกเลิกจ้างอาจจะไม่ได้ไปต่อในอุตสาหกรรมใหม่นี้ทั้งหมดทุกคน ยกตัวอย่างเช่น โรงงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ของบริษัท Bosch ในเยอรมนี สหภาพแรงงานประเมินว่าพนักงานกว่าครึ่งจาก 3,700 คน จะถูกเลิกจ้าง ซึ่งการผลิตชิ้นส่วนของเครื่องยนต์ดีเซลนั้นใช้คนทำงานมากกว่าการผลิตเครื่องยนต์ระบบไฟฟ้าถึง 10 เท่า ทั้งนี้ หากไม่ให้คนทำงานเปลี่ยนไปทำงานลักษณะอื่น หรือให้โอกาสในการฝึกอบรมให้มีความชำนาญในเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้า คนทำงานที่ผลิตรถยนต์แบบเดิมก็จะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
สำหรับในเยอรมนี คาดการณ์ว่าจะมีการเลิกจ้างในอุตสาหกรรมรถยนต์แบบเก่าถึง 75,000 ตำแหน่ง ภายในปี 2025 และอาจมากถึง 178,000 ตำแหน่ง หากมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมถูกยกระดับขึ้นไปอีก สถาบัน Ifo ในเครือสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์เยอรมัน ชี้ว่าตำแหน่งงานในอุตสาหกรรมรถยนต์จะลดลงไปอีกเรื่อยๆ บริษัทต่างๆ จึงควรเตรียมความพร้อมและพัฒนาแรงงานไว้เสียเนิ่นๆ
ในสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2018-2019 พบว่าบริษัทผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติอเมริกันรายใหญ่ต่างประกาศทยอยเลิกจ้างพนักงานจำนวนมาก โดยสาเหตุหนึ่งก็คือการปรับองค์กรเพื่อรับมือการเปลี่ยนรูปของอุตสาหกรรมนี้ ที่มุ่งไปสู่การผลิตรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น ตัวอย่างเช่น GM ที่ได้ประกาศเลิกจ้างพนักงานถึง 14,000 ตำแหน่ง เมื่อช่วงปลายปี 2018 รวมทั้ง Ford ที่ประกาศลดพนักงานทั่วโลกถึง 10% ในช่วงปี 2019
ตัวอย่างการเปลี่ยนผ่านไปสู่รถยนต์ไฟฟ้าของ GM ที่โรงงาน Detroit-Hamtramck ในดีทรอยต์ ได้ยุติสายการผลิตรถยนต์ที่ใช้น้ำมันอย่างถาวรเมื่อปี 2020 แม้ว่าตลอดเวลากว่า 35 ปี โรงงานแห่งนี้จะประกอบรถยนต์ไปแล้วกว่า 4 ล้านคัน มีทั้งรถเครื่องยนต์สันดาปที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงและรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริดปลั๊กอิน (Plug-in Hybrid Electric Vehicle: PHEV) ที่ใช้น้ำมันและไฟฟ้าควบคู่กัน แต่การปรับปรุงโรงงานใหม่จะผลิตแค่รถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น และมีการเลิกจ้างพนักงานเดิมถึง 800 คน ทั้งนี้ GM มีแผนจะเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ 20 รุ่นทั่วโลกภายในปี 2023 โดยมีการลงทุนเพิ่มกว่า 2,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ด้านฟอร์ด (Ford) อีกหนึ่งค่ายรถยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ มีเป้าหมายที่จะขายรถยนต์ไฟฟ้าเป็นสัดส่วน 40-50% ของยอดขายทั้งหมดให้ได้ภายในปี 2030 โดยในช่วงเดือนกันยายน 2020 ฟอร์ดแถลงว่าจะมีการเลิกจ้างพนักงาน 1,400 ตำแหน่ง ในสหรัฐฯ เพื่อปรับโครงสร้างบริษัทที่จะมุ่งสู่การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มตัว ต่อมาในเดือนกรกฎาคม 2021 ก็เริ่มประกาศโครงการเลิกจ้างพนักงาน 1,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป้าหมายของโครงการเลิกจ้างนี้ มุ่งไปที่พนักงานที่มีอายุงานมากกว่า 20 ปีขึ้นไป
ทั้งนี้คาดว่าคนทำงานประมาณ 75,000 ตำแหน่ง ในสหรัฐฯ อาจต้องตกงาน หากสัดส่วนรถยนต์ไฟฟ้าคิดเป็น 50% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมดในประเทศภายในปี 2030
รัฐบาลญี่ปุ่นตั้งเป้าจะเป็นประเทศที่มีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ภายในปี 2050 ให้ได้ ซึ่งกว่าจะไปถึงจุดนั้นจะต้องเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงไปสู่ไฟฟ้าครั้งใหญ่ เพราะปัจจุบัน ญี่ปุ่นมีสัดส่วนใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพียง 1% เท่านั้น และคาดการณ์ว่างานในอุตสาหกรรมยานยนต์แบบเก่า (ทั้งรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง) จะหายไป 300,000 ตำแหน่ง หากมีการเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ
ท้องถิ่นที่มีโรงงานผลิตชิ้นส่วนแบบเก่าจะได้รับผลกระทบอย่างหนักด้วยเช่นกัน อย่างเช่นที่จังหวัดชิซูโอกะ อันเป็นที่ตั้งของบริษัทซัพพลายเออร์ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์จำนวนมาก และถือเป็นหนึ่งในศูนย์กลางผู้ผลิตชิ้นส่วนเครื่องยนต์สันดาปที่สำคัญของญี่ปุ่น
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ชิซูโอกะก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นในช่วงทศวรรษ 1960 ถือเป็นบ้านเกิดของผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ในตำนานอย่าง Yamaha Motor, Honda Motor และ Suzuki Motor ซึ่งชิซูโอกะเคยสร้างสถิติเป็นเมืองที่ผลิตรถมอเตอร์ไซค์มากที่สุดในโลกมาแล้ว
นอกจากนี้ก็ยังมีบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปอีกจำนวนมากในชิซูโอกะ ที่ต้องเริ่มมองหาธุรกิจใหม่ ตัวอย่างเช่นบริษัท Fuji Oozx ผู้ผลิต ‘วาล์วไอดี’ มายาวนานกว่า 70 ปี ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซิน ที่ควบคุมการไหลของก๊าซเข้า-ออกจากกระบอกสูบของเครื่องยนต์ ในการผลิตวาล์วไอดีนี้ใช้เทคโนโลยีเก่าที่มีอายุหลายสิบปีและชิ้นส่วนนี้ก็ไม่ได้จำเป็นสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าอีกต่อไป ทำให้ Fuji Oozx ต้องเริ่มหันมาผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์แทน
ก่อนหน้านี้ท้องถิ่นของชิซูโอกะก็ตระหนักถึงการปฏิวัติที่กำลังจะเกิดขึ้น ในปี 2018 มีการก่อตั้ง ‘สถาบันวิจัยรถยนต์แห่งอนาคต’ เพื่อช่วยผู้ผลิตชิ้นส่วนแบบเดิมพัฒนาไปสู่อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า สถาบันนี้ได้รับเงินทุนจากกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น เพื่อให้ความช่วยเหลือธุรกิจต่างๆ ในช่วงเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยี
แต่ถึงอย่างนั้น ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันวิจัยรถยนต์แห่งอนาคตระบุว่า บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนในชิซูโอกะต่างมีความกังวลใจมาก่อนที่รัฐบาลจะประกาศตั้งเป้าหมายปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์อยู่แล้ว ซึ่งมีเพียงบริษัทขนาดใหญ่เท่านั้นที่เริ่มจะปรับตัว แต่บริษัทเล็กๆ กลับยัง ‘หลับใหลอยู่’
สำหรับประเทศไทย รัฐบาลได้วางเป้าหมายผลักดันตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศให้เพิ่มขึ้นอีก 30% หรือประมาณ 700,000 คัน ภายในปี พ.ศ. 2573
ดังที่กล่าวไปในขั้นต้นว่าการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคของรถยนต์ไฟฟ้านั้น ชิ้นส่วนรถยนต์จะลดลงไปอย่างมาก จากประมาณ 30,000 ชิ้นต่อคัน เหลือเพียงประมาณ 1,500-3,000 ชิ้นต่อคัน โดยชิ้นส่วนที่จะหายไปได้แก่ เครื่องยนต์ ระบบไอเสียหม้อน้ำ ถังน้ำมัน เป็นต้นนั้น จากงานวิจัย ‘ผลกระทบของการเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า ต่อแรงงานในอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์’ โดย รศ.ดร.กิริยา กุลกลการ, ภายใต้การสนับสนุนทุนวิจัยของมูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท (FES) ระบุว่าจากข้อมูลในปี พ.ศ.2562 พบว่าประเทศไทยมีผู้ผลิตชิ้นส่วนเหล่านี้จำนวน 816 แห่ง จากผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ทั้งหมดประมาณ 2,500 แห่ง บริษัทเหล่านี้จ้างแรงงานจำนวน 326,400 คน คิด 47% ของกำลังแรงงานในอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ของไทย นอกจากนี้ยังมีอุตสาหกรรมสนับสนุนที่จะได้รับผลกระทบหากมีการเปลี่ยนผ่านไปสู่รถยนต์ไฟฟ้าอีกจำนวน 183 แห่ง ที่มีการจ้างงานจำนวนมาก
กลุ่มสหภาพแรงงานได้ให้ข้อมูลกับงานวิจัยของ รศ.ดร.กิริยา ไว้ว่าอย่างที่ทราบกันว่าบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นได้ยึดครองเทคโนโลยีเครื่องยนต์สันดาปที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงไปทั่วโลก ซึ่งก่อนหน้านี้มีการลงทุนด้วยจำนวนเงินมหาศาล ทำให้ยากที่จะเปลี่ยนไปผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในทันที และทางนายจ้างก็ไม่ได้กล่าวถึงการรองรับคนทำงานจากการเปลี่ยนเทคโนโลยี หรือการเปลี่ยนแปลงผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ในอนาคต ทำให้ฝ่ายคนทำงานค่อนข้างอึดอัดใจต่อทิศทางในอนาคต และเกิดคำถามต่ออนาคตของพวกเขา
จากรายงาน Just Transition – Where are we now and what’s next? A Guide to National Policies and International Climate Governance โดยสมาพันธ์สหภาพแรงงานสากล (International Trade Union Confederation – ITUC), 2017 ระบุว่า ‘การเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม’ (Just Transition) คือข้อเรียกร้องสำคัญที่ปรากฏใน ข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) และได้รับคำจำกัดความเพิ่มเติมในแนวปฏิบัติแรงงานสากลโดย องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ITUC ชี้ว่า ในการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรมนั้น จะต้องมีกระบวนการที่ครอบคลุมทุกภาคส่วนของสถานประกอบการ ในการวางแผนและดำเนินงานเกี่ยวกับความพยายามในการมุ่งสู่เศรษฐกิจสีเขียว ที่ต้องมีการ ‘เจรจาทางสังคม-เจรจาต่อรองร่วม’ ระหว่าง ‘คนทำงาน’ และ ‘ผู้จ้างงาน’
โดยผู้เขียนได้ลองปรับใช้หลักการของการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรมกับอุตสาหกรรมยานยนต์ไว้ดังนี้
อ้างอิง:
Author
วิทย์ บุญ
‘แรงงานรับจ้างอิสระ’ สนใจประเด็นแรงงาน และทำงานเรื่องนี้ร่วมกับสื่อ องค์กรพัฒนาเอกชน สถานศึกษา ฯลฯ มาตั้งแต่ปี 2549 จวบจนปัจจุบัน
Follow
This website uses cookies.