เซอร์กิต เดอ โมนาโก สนามแข่งรถที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานเกือบ 100 ปี บนท้องถนนของประเทศที่มีอาณาเขตน้อยที่สุดอันดับสองของโลก จนต้องปิดพื้นที่มากกว่า 1 ใน 20 ของราชรัฐโมนาโก มาเป็นสนามแข่งชั่วคราวในช่วงเดือนพฤษภาคม
แม้จะได้รับเกียรติให้เป็นหนึ่งในรายการ “ตรีเพชรยอดมงกุฎ” หรือ “Triple Crown” ของวงการมอเตอร์สปอร์ต ร่วมกับ อินเดียนาโพลิส 500 กับ เลอ มองส์ 24 ชั่วโมง แต่อนาคตของ โมนาโก กับการแข่งขันฟอร์มูล่าวันก็ยังคงเป็นปริศนาอยู่ หลังจากสัญญาจัดแข่งนั้นจะสิ้นสุดลงในปี 2022 นี้ และมีการถกเถียงอยู่พอสมควรว่า F1 ควรมูฟออนจากสนามประวัติศาสตร์แห่งนี้หรือยัง?
โมนาโก กรังด์ปรีซ์ จะยังปรากฏในการแข่งขันฤดูกาลหน้าไหม? และทำไมสนามสุดขลังแห่งนี้ถึงส่อแววถูกดีดออกจากฟอร์มูล่าวันขึ้นมาได้? ร่วมไขคำตอบไปพร้อมกับ Main Stand ในบทความนี้
ปั่นจักรยานในห้องนั่งเล่น
เป็นที่ทราบดีว่าสนามแข่งขันแบบสตรีทเซอร์กิต หรือการจัดแข่งบนท้องถนนอย่างที่ สิงคโปร์, อาเซอร์ไบจาน และ ซาอุดีอาระเบีย ย่อมมีความท้าทายในเรื่องของพื้นที่สนาม ซึ่งมักมีรั้วคอนกรีตอยู่ชิดติดกับริมแทร็คที่รถวิ่ง ต่างจากสนามแข่งแบบปิด ที่จะเหลือขอบด้านข้างให้วิ่งออกไปได้ นั่นทำให้นักขับในสนามแบบสตรีท ต้องมีโฟกัสมากขึ้นเป็นพิเศษและไม่ก่อข้อผิดพลาดง่ายๆขึ้นมา
แต่กับที่โมนาโก ทุกอย่างถูกยกระดับขึ้นมาอีกหนึ่งขั้น เพราะพื้นที่ที่แคบอยู่แล้วในสนามแบบสตรีท ก็ถูกบีบให้เหลือพื้นที่ความกว้างของสนามเฉลี่ยแค่ 10 เมตรเท่านั้น น้อยสุดในบรรดาทุกสนามแข่งฤดูกาลนี้ ซึ่งถือเป็นความท้าทายขั้นสูงกับนักขับทั้งหลาย ที่การบังคับรถบานออกจากเดิมไปไม่กี่เซนติเมตร ก็สามารถเปลี่ยนจากการทำเวลาได้เร็วที่สุดของรอบแข่งขัน ให้เป็นอุบัติเหตุที่รุนแรงได้ในชั่วพริบตา
เมื่อสนามโดยรวมแทบไม่มีพื้นที่ทางตรงยาวๆให้รถทำความเร็วได้เต็มที่ แถมยังมีโค้งที่ท้าทายความนิ่งกับแม่นยำของนักแข่งอยู่มากมาย จึงไม่แปลกที่ทำไม โมนาโก ถึงถูกยกย่องจากนักขับว่าเป็นสนามที่ท้าทายมาก โดย เนลสัน ปิเกต์ นักขับแชมป์โลก 3 สมัยชาวบราซิล ให้คำนิยามการขับรถในสนามแห่งนี้ว่า “เหมือนคุณปั่นจักรยานรอบห้องนั่งเล่น” เลยทีเดียว
แต่ในเวลาเดียวกัน ข้อจำกัดด้านพื้นที่ของ โมนาโก ก็มีผลทำให้รถแข่งฟอร์มูล่าวันแซงกันได้ค่อนข้างยาก โดยหากย้อนไปเมื่อ 60 ปีที่แล้ว รถสูตรหนึ่งที่วิ่งกันบนถนนแห่งนี้ มีความกว้างแค่ 1.5 เมตร และยาวประมาณ 3.5 เมตรเท่านั้น แต่รถรุ่นปี 2022 มีความกว้างประมาณ 2 เมตร และยาวประมาณ 5.5 เมตร ที่เรียกได้ว่าแค่ขนาดรถก็แทบปิดโอกาสแซงกันได้แล้ว เว้นแต่อีกฝ่ายจะก่อข้อผิดพลาดขึ้นมาจริงๆ
แซค บราวน์ หัวหน้าทีม แมคลาเรน ได้ให้สัมภาษณ์กับ ESPN ก่อนการแข่งขันในปี 2022 ว่า “โมนาโก ควรหาวิธีปรับรูปแบบสนามแข่งได้แล้ว เพราะรถแข่งเรามีขนาดใหญ่ขึ้น และการแข่งขันนั้นก็เป็นเรื่องยากขึ้นเช่นกัน”
ดังนั้น ไฮไลต์ของการแข่งขันจริงๆ จึงมักไม่ได้อยู่ที่การแซงกันบนสนาม แต่จะเกิดกับ 2 ปัจจัยสำคัญ นั่นคือการทำเวลารอบคัดเลือก และการเรียกรถเข้าพิทไปเปลี่ยนยางของทีม ที่สามารถตัดสินชะตากรรมของนักขับได้เลย
กลยุทธ์นั้นสำคัญไฉน?
หลักๆแล้ว การแข่งฟอร์มูล่าวันจะถูกแบ่งออกเป็น 3 วัน คือรอบฝึกซ้อมในวันศุกร์ รอบคัดเลือกวันเสาร์ และแข่งจริงในวันอาทิตย์ ซึ่งการคัดเลือกในวันเสาร์ จะใช้วิธีให้รถแข่งทุกคันออกไปวิ่งทำเวลาให้ได้ดีที่สุด โดยมีรอบคัดเลือกอยู่ทั้งสิ้น 3 ช่วง ที่คัดเอานักขับผู้ทำเวลาได้อันดับ 16-20 ในช่วงแรกออก ต่อด้วยอันดับ 11-15 ในช่วงถัดมา (อิงตามฤดูกาล 2022 หากฤดูกาลใดมีนักขับตามปกติมากกว่า จะเพิ่มผู้ที่ถูกคัดออกตามสัดส่วน) และช่วงสุดท้าย ที่ใครใน 10 คนที่เหลืออยู่ทำเวลาได้เร็วที่สุด จะคว้าตำแหน่งโพล หรือออกสตาร์ทจากหัวแถวไปครอง
เนื่องจากตำแหน่งในกริดสตาร์ท หรือจุดที่รถแข่งแต่ละคันจะเริ่มออกตัวในช่วงเริ่มแข่งขัน จะมีระยะห่างจากคันหน้าถอยไปอีก 8 เมตร โดยเรียงสลับฟันปลา ซ้าย-ขวา ไปเรื่อยๆจนถึงคันสุดท้าย ทำให้การอยู่ในตำแหน่งหัวแถวนั้นเป็นความได้เปรียบอย่างยิ่ง เพราะเมื่อผ่านโค้งหนึ่งไปแล้ว โอกาสที่รถคันอื่นจะทำความเร็วขึ้นมาแซง หรือหาพื้นที่ประกบข้างและเร่งความเร็วนำหน้านั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
เว้นเสียแต่เมื่อเกิดฝนโปรยลงมา อย่างในกรณีของฤดูกาล 2022 ที่แต่ละทีมต้องออกสตาร์ทด้วยยาง Extreme Wet หรือชนิดที่มีดอกยางลึกเป็นพิเศษ เพื่อช่วยรีดน้ำและทำให้รถแข่งเกาะถนนได้ดีที่สุด ก่อนห่าฝนดังกล่าวจะหยุดไป และแต่ละทีมต้องวิเคราะห์กันว่าพวกเขาจะเปลี่ยนยางตอนไหนเพื่อเพิ่มโอกาสให้ชนะได้มากที่สุด
ทีมผู้ผลิตต่างๆต้องวิเคราะห์ว่า เวลาไหนที่ควรเรียกรถมาเปลี่ยนยาง? เปลี่ยนยางจากชนิดนี้ไปชนิดไหนต่อ? ถ้าส่งรถออกไปแล้วจะติดการจราจรจากรถที่ช้ากว่าหรือไม่? มีความสุ่มเสี่ยงจะเสียตำแหน่งไหมถ้าเปลี่ยนยางตอนนี้? โอกาสที่รถเซฟตี้คาร์จะออกมาวิ่งเพื่อชะลอความเร็วในการแข่งขันมีมากเพียงใด? นี่เป็นเพียงปัจจัยบางส่วนที่ต้องถูกพิจารณา เพราะทุกวินาทีที่เสียไปนั้น ยากที่จะไปทวงคืนได้จากการแซงกันในสนามเหมือนที่อื่นๆ
อย่ายึดติดกับอดีต (จนหยุดพัฒนา)
จริงอยู่ที่รูปแบบสนามอายุเกือบ 100 ปี ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับยานยนต์ในอนาคต แต่รูปแบบของสนามใน โมนาโก เซอร์กิต ไม่ได้เป็นเรื่องเดียวที่ถูกเสียงวิพากวิจารณ์จากหลายๆฝ่าย นั่นเพราะนอกจากจะมีความพยายามปรับรายละเอียดโค้งหรือลักษณะสนามเล็กน้อยอยู่ต่อเนื่องแล้ว ยังมีเรื่องอื่นให้ผู้คนบ่นได้อยู่พอสมควร
นอกจากคนดูแล้ว บรรดาหัวหน้าทีมผู้ผลิตก็ไม่ได้ดีใจที่ต้องมาแข่งใน โมนาโก มากนัก “โมนาโก ควรเพิ่มมูลค่าด้านธุรกิจในตัวเองขึ้นมาหน่อย” คือความเห็นของหัวหน้าทีม แมคลาเรน อย่าง แซค บราวน์ นั่นเพราะทุกทีมต้องดำเนินด้วยเม็ดเงิน และดีลต่างๆจากผู้สนับสนุน ซึ่งแม้ โมนาโก จะมีความพิเศษในเรื่องของการอยู่ติดริมทะเล และสามารถต้อนรับเหล่าสปอนเซอร์ที่มาจอดเรือยอชต์ชมการแข่งขันแบบชิดติดขอบได้ แต่นั่นก็ไม่เทียบเท่าสนามใหม่ๆที่มาเพียบพร้อมทั้งคอนเสิร์ต, เทศกาล กับการเอื้ออำนวยโอกาสให้ทีมผู้ผลิตทั้งหลายได้พูดคุยกับว่าที่ผู้สนับสนุนรายใหม่ จนเริ่มสร้างมูลค่าทางการตลาดให้กับทีมได้มากกว่าการแข่งใน โมนาโก เสียแล้ว
คริสเตียน ฮอร์เนอร์ หัวหน้าทีม เรดบูล กล่าวว่า “เรามาแข่งที่ โมนาโก แค่เพราะประวัติศาสตร์เท่านั้นเลย”
ด้วยความที่สัญญาการแข่งขันได้หมดลงไปแล้วในปี 2022 พร้อมกับความเสี่ยงว่านี่จะเป็นครั้งที่สองตั้งแต่ปี 1954 (ครั้งแรกเกิดขึ้นในปี 2020 จากสถานการณ์ COVID-19) ที่การแข่งขัน ณ โมนาโก จะหลุดจากปฏิทินของฟอร์มูล่า วัน คำถามสำคัญคือ พวกเขาจะได้ต่อสัญญาไหม?
แน่นอนว่ายังไม่มีคำตอบตายตัว หรือความชัดเจนใดๆในตอนนี้ แต่ ไมเคิล บอรี่ ประธานของ Automobile Club de Monaco ที่รับผิดชอบจัดการแข่งขัน โมนาโก กรังด์ปรีซ์ เปิดเผยว่าเขา “มั่นใจ” ว่าการต่อสัญญาจะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้ แต่ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าจะถูกขยายไปถึงปีไหน ภายใต้เงื่อนไขเช่นไรบ้าง
แต่ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าประวัติศาสตร์จะยืนยงมานานแค่ไหน แต่หากไร้ซึ่งการปรับตัว โมนาโก ก็อาจไปสิ้นสุดอยู่แค่ในหน้าประวัติศาสตร์เพียงอย่างเดียวได้เช่นกัน ซึ่งเราคงได้รู้กันในเร็วนี้ว่า ปีปฏิทิน 2023 จะยังมี โมนาโก กรังด์ปรีซ์ อยู่หรือไม่?
This website uses cookies.