MotoGP Championship การแข่งขันจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลกที่มีจำนวนผู้เข้าชมสูงสุดติดอันดับต้นๆ ของวงการมอเตอร์สปอร์ตระดับโลก สำหรับรายการซิ่งสองล้อสุดฮิตดังกล่าวที่กำลังจะระเบิดความเร็วในสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต บุรีรัมย์ ช่วงวันเสาร์-อาทิตย์นี้ (วันที่ 1-2 ตุลาคม 2565) ได้รับการจัดตั้งขึ้นในยุโรป หลังจาก FIM (Federation Internationale de Motocyclisme) ได้ควบรวมกฎข้อบังคับสำหรับการแข่งขันรถจักรยานยนต์ขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.2492 ของรุ่นพรีเมียร์ ซึ่งเป็นจักรยานยนต์แข่งรุ่น 500cc ในรายการ Road Race World Championships แต่ในปี พ.ศ. 2545 กฎระเบียบดังกล่าว ถูกเปลี่ยนแปลงมาเป็น MotoGP ที่ใช้เครื่อง 2 จังหวะ ความจุไม่เกิน 500 ซีซี ใน Moto 2 และเครื่องยนต์ 4 จังหวะ ความจุไม่เกิน 990 ซีซี ใน Moto GP
MotoGP ฤดูกาลที่ 74 เริ่มต้นเมื่อวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2565 โดยมีนักแข่ง 24 คนจาก 12 ทีมลงทำการแข่งขันกันเพื่อชิงแชมป์โลก เมื่อลงลึกถึงมอเตอร์ไซค์ที่ใช้ในการแข่งขัน MotoGP ทั้งหมดไม่ใช่รถจากโรงงานที่ส่งออกขาย แต่เป็นรถต้นแบบสำหรับการแข่งขันที่ผ่านการปรับแต่งอย่างเข้มข้น แต่ละคันมีราคามากกว่า 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ บางคนก็สงสัยว่าทีมแข่ง MotoGP หนึ่งทีมต้องมีมอเตอร์ไซค์แข่งกี่คัน สำหรับการแข่งขันในแต่ละสนาม ทีมแข่ง MotoGP แต่ละทีมสามารถส่งรถเข้าทำการแข่งขันได้สี่คัน สองคันสำหรับนักแข่งสองคนในทีม โดยปกติ นักแข่งแต่ละคนจะได้รับอนุญาตให้ใช้มอเตอร์ไซค์ได้เพียงแค่คันเดียวต่อการแข่งขัน เมื่อสภาพสนามเปลี่ยนไป อาจเกิดฝนเริ่มตกระหว่างการแข่งขัน นักแข่งอาจเปลี่ยนไปใช้มอเตอร์ไซค์แข่งอีกคันที่เซ็ตอัพไว้สำหรับสนามที่เปียกชื้น
จำนวนมอเตอร์ไซค์แข่งที่ทีมสามารถมีได้นั้น ไม่มีการจำกัดจำนวนจาก FIM เฉพาะจำนวนมอเตอร์ไซค์ที่ทีมสามารถส่งเข้าร่วมการแข่งขันได้นั้นจะขนไปเท่าไหร่ก็ได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วนักแข่งจะมีรถที่ใช้แข่งแค่หนึ่งคัน พร้อมกับรถแข่งสำรองระหว่างการแข่งขันอีกหนึ่งคัน ตลอดทั้งฤดูกาล ทีมพัฒนารถแข่ง ต้องทดสอบและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ในรถมอเตอร์ไซค์ที่ใช้สำหรับการแข่งขัน โดยจัดเตรียมไว้สำหรับฤดูกาลต่อไป เนื่องจากมอเตอร์ไซค์ที่ใช้แข่ง จะได้รับการปรับแต่งให้เหมาะกับนักแข่งแต่ละคนแบบเฉพาะตัว ทีมแข่งจะต้องเตรียมมอเตอร์ไซค์แข่งที่สำรองเอาไว้ให้พร้อม หากรถแข่งคันใดคันหนึ่งได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงระหว่างการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นรอบซ้อม รอบจับเวลาหาตำแหน่งสตาร์ต หรือแม้แต่ในวันแข่งขันจริงที่รถอาจเกิดอุบัติเหตุ หรือขัดข้องจนไม่สามารถส่งลงทำการแข่งขันได้ ก็จะมีรถสำรองเตรียมพร้อมเอาไว้เสมอ
ทีม MotoGP จะใช้มอเตอร์ไซค์กี่คัน?
แม้ว่าทีม MotoGP จะถูกจำกัดให้ส่งรถเข้าร่วมการแข่งขันได้แค่ 2 คันต่อนักแข่งหนึ่งคน แต่ไม่จำกัดจำนวนมอเตอร์ไซค์แข่งที่ใช้เพื่อจุดประสงค์อื่น อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เข้าใจอย่างแท้จริงว่าทีม Moto GP สามารถมีรถได้กี่คัน จำเป็นต้องพิจารณาก่อนว่า MotoGP ทำงานอย่างไร ควบคู่ไปกับกฎข้อบังคับของ MotoGP ที่เกี่ยวข้องกับตัวรถแข่งโดยเฉพาะ
สำหรับฤดูกาล 2022 ผู้ผลิตหรือผู้สร้างหกแบรนด์ เข้าร่วมทำการแข่งขันในรายการจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก MotoGP ได้แก่ Aprilia, Ducati, Honda, KTM, Suzuki และ Yamaha ผู้ผลิตเหล่านี้แต่ละบริษัทจะมีทีมแข่งที่เรียกกันว่า “ทีมโรงงาน” ซึ่งเป็นทีมที่บริษัทผู้ผลิตเป็นเจ้าของ
ทีมแข่ง MotoGP ใช้มอเตอร์ไซค์แข่งแบบไหน?
แม้ว่าทีม MotoGP จะเป็นแบรนด์ผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ชั้นนำ หรือทีมโรงงาน แต่จักรยานยนต์ที่ใช้ในการแข่งขันนั้นไม่ได้ถูกผลิตขึ้นมาในจำนวนมากๆ เพื่อขาย เนื่องจากเป็นจักรยานยนต์ต้นแบบพิเศษ ที่ได้รับการปรับแต่งให้เหมาะกับนักแข่งแต่ละคนเท่านั้น การปรับแต่งพิเศษเฉพาะตัว สำหรับสรีระและสไตล์การขับของแต่ละคน จะทำให้นักแข่งสามารถแสดงศักยภาพระหว่างการแข่งขันได้ดีที่สุด จักรยานยนต์เหล่านี้ มีความเฉพาะตัว และได้รับการปรับแต่งให้เหมาะสมกับสไตล์ของนักบิดที่ไม่เหมือนกัน ทำให้ไม่สามารถที่จะใช้ทดแทนกับเพื่อนร่วมทีมได้ นักแข่งแต่ละคนจะได้รับการจัดสรรเครื่องยนต์ที่เหมือนกันเจ็ดเครื่องต่อหนึ่งฤดูกาล โดยไม่อนุญาตให้มีการพัฒนาใดๆ ในระหว่างฤดูกาลแข่งขัน เครื่องยนต์มีความจุสูงสุด 1,000 cc. และเครื่องยนต์เหล่านี้ ต้องเป็นไปตามข้อกำหนดความจุ กำลังอัด ได้รับการติดตั้งระบบการจัดการอิเล็กทรอนิกส์และยางมิชลินแบบเดียวกันกับทุกทีม
ความเป็นจริงก็คือรถแข่งสองล้อในรายการนี้เป็นเครื่องจักรสุดอันตราย เนื่องจากมอเตอร์ไซค์ที่ใช้ในการแข่งขัน MotoGP มีความเร็วที่สูงมาก จากพลังอันน่าทึ่ง การเร่งความเร็วที่รวดเร็วปานสายฟ้า และการเบรกที่เฉียบคม ทำให้แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่คนธรรมดาทั่วไปจะซิ่งด้วยความเร็วสูงอยู่บนอานมอเตอร์ไซค์แข่ง MotoGP ได้แบบง่ายๆ ส่วนทีมทดสอบ มักจะใช้รถมอเตอร์ไซค์แข่งของปีที่แล้วกับมอเตอร์ไซค์รุ่นล่าสุด เพื่อทำการพัฒนารถแข่งสำหรับฤดูกาลหน้า รถแข่งทดสอบเหล่านี้ ยังเป็นรถต้นแบบที่มีเทคโนโลยีเดียวกับรถที่ใช้แข่ง รวมถึงระบบการจัดการอิเล็กทรอนิกส์และยางมิชลิน หน่วยงานกำกับดูแลของ MotoGP สนับสนุนให้บริษัทผู้ผลิตทำการพัฒนาเทคโนโลยีให้กับทีมแข่งของตนอย่างเต็มที่แต่ต้องอยู่ภายใต้กฎข้อบังคับของการแข่งขันเพื่อความเท่าเทียม แม้ว่าการแข่งขันจะเพิ่มจำนวนสนามแข่งมากกว่าเดิม และอาจไม่เหมาะสมสำหรับทีมโรงงาน แต่ข้อดีของการทำเช่นนี้คือ มีบริษัทผู้ผลิตมอเตอร์ไซค์ทุกแบรนด์ต้องวิจัยเทคโนโลยีใหม่ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพ ปรับปรุงรถจักรยานยนต์สำหรับแข่งขันในฤดูกาลหน้าต่อไป
กฎระเบียบของ MotoGP กำหนดโดยคณะกรรมการ FIM เครื่องยนต์สี่สูบที่มีขนาดความกว้างกระบอกสูบไม่เกิน 81 มิลลิเมตร นักแข่งแต่ละคนจะได้รับการจัดสรรเครื่องยนต์ 7 เครื่องสำหรับหนึ่งฤดูกาลแข่ง โดยไม่ได้รับอนุญาตให้มีการพัฒนาใดๆ ในระหว่างฤดูกาล
การจัดสรรยางแบบเรียบจำนวน 21 เส้น โดย 10 เส้นเป็นยางหน้าสำหรับนักแข่งแต่ละคน เพื่อให้ครอบคลุมการแข่งขัน ทั้งการฝึกซ้อมและรอบคัดเลือกทั้งหมด ในจำนวนยางหน้า 10 เส้นนี้ ยางหน้าสูงสุด 6 เส้นอาจเป็นสเปค A (แบบแข็ง) หรือแบบ B (แบบอ่อน) สำหรับยางสลิคหลัง 11 เส้น สูงสุด 5 เส้น จะเป็นสเปค A (แบบแข็ง) หรือแบบสูงสุด 7 เส้น ก็ได้ มีการจัดสรรยางเปียก 10 เส้น: ยางเปียกหน้า 5 เส้น และยางเปียกหลัง 5 เส้น ตามข้อกำหนดมาตรฐาน นักแข่งทุกคนสามารถใช้ยางชนิดเดียวกันได้ และผลิตโดยมิชลิน
การเลือกยางที่เหมาะสม เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญที่สุดในการวางแผนก่อนทำการแข่งขัน ยางเป็นจุดสัมผัสระหว่างจักรยานยนต์กับผิวแทรคแอสฟัลต์ มีหลายองค์ประกอบที่วิศวกรในทีมแข่งจะต้องพิจารณา เมื่อทำการเลือกชนิดของยาง อุณหภูมิและสภาพอากาศในสนามแข่งแต่ละพื้นที่ที่แตกต่างกัน สภาพอากาศถือเป็นตัวแปรที่มีความสำคัญในการเลือกใช้ยางระหว่างการแข่งขัน ยางจะมีพฤติกรรมและสมรรถนะที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับเลย์เอาต์ของสนามว่ามีหลายโค้งหรือทางตรงที่ทอดยาวเป็นต้น
การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ ทำให้การแข่งขันจักรยานยนต์ทางเรียบ MotoGP อยู่ในยุคใหม่ได้อย่างมั่นคง เครื่องจักรของมอเตอร์ไซค์แข่งในรุ่น MotoGP มีกำลังสูงสุดกว่า 240 แรงม้า และความเร็วสูงสุดมากกว่า 340 กม./ชม. ความจุถังเชื้อเพลิง 22 ลิตร เทคโนโลยีการควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ล่าสุดถูกนำมาใช้ การแข่งขันจะแข่งกันในสนามแข่ง บนทางลาดยางที่ปกติแล้วจะมีความยาวระหว่าง 4-5 กม. โดยมีระยะทางในการแข่งขันทั้งหมดระหว่าง 110-130 กม. ใช้เวลาประมาณ 40-45 นาที.