โดยนายอิทธิพร โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า คดีนี้พนักงานสอบสวน สน.พญาไท แจ้งข้อหารวม 9 ข้อหาดังนี้ 1.ฐานขับรถโดยประมาท เป็นเหตุให้เฉี่ยวชนผู้อื่นถึงแก่ความตาย 2.ความผิดตามกฎหมาย พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ ฐานรถไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน 3.ขับรถไม่ชิดขอบทางด้านซ้าย 4.ไม่ปฏิบัติตามเครื่องหมายบนพื้นทาง (ไม่หยุดรถให้คนข้าม) 5.พ.ร.บ.รถยนต์ฯ ข้อหา ฝ่าฝืนใช้รถที่ไม่ได้เสียภาษีประจำปี 6.ไม่จัดให้รถในทางเดินรถมีส่วนควบที่ครบถ้วนตามกฎหมายและใช้การได้ดี 7.ไม่จัดให้มีการประกันภัยตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถปี2535 8.ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยและความเดือดร้อนของผู้อื่นและ 9 ขับขี่รถเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด
สำหรับในชั้นต่อไปหลังจากสำนักงานคดีอาญารับสำนวน พร้อมผู้ต้องหาไว้แล้ว ก็จะมอบหมายให้นายธวัชชัย เป็นผู้พิจารณาสำนวน โดยนัดผู้ต้องหามาฟังคำสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้อง วันที่ 22 ก.พ.นี้ 09.00 น.
นายประยุทธ์ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ระบุว่า พนักงานสอบสวนดำเนินคดีข้อหาหนักที่สุด คือ ข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย อัตราโทษจำคุกไม่เกินสิบปี ปรับไม่เกิน 200,000 บาท แต่ข้อหาทั้งหมดที่ทางอัยการจะสั่งฟ้อง ต้องให้คณะทำงานพิจารณาสำนวนคดีก่อน ซึ่งจะพิจารณาอย่างรอบคอบ รัดกุม เป็นธรรม และรวดเร็วที่สุด
นายประยุทธ์ กล่าวต่อว่า กรณีที่อัยการสั่งฟ้องผู้ต้องหาแล้ว ญาติของพญ.วราลัคน์ หรือ หมอกระต่าย ไม่จำเป็นต้องจ้างทนายความฟ้องคดีเรียกค่าเสียหายในทางแพ่ง แต่สามารถยื่นเรื่องให้อัยการดำเนินการให้ได้ ทันนี้โดยอัยการจะแจ้งว่ามีค่าเสียหายอะไรบ้าง และยื่นคำขอค่าเสียหายทางแพ่งต่อศาลอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาคดีทางแพ่ง มาตรา 44/1 นอกจากนี้ อัยการจะพิจารณาประเด็นเพิ่มเติมว่า ถ้าหากผู้ต้องหามีพฤติกรรมร้ายแรงตามพ.ร.บ.จราจรทางบกฯ มาตรา 162 อัยการจะมีคำขอให้พักใบอนุญาตขับขี่ หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ตลอดชีวิต โดยขอให้รอฟังคำสั่งฟ้องในวันที่ 22 ก.พ. นี้
เมื่อถามว่า จะมีการลงโทษส.ต.ต.นรวิชญ์ สถานหนักหรือไหม เพราะเป็นผู้บังคับใช้กฎหมาย นายอิทธิพร กล่าวว่า ในส่วนนี้ขอพิจารณาสำนวนก่อน ถ้าหากตอบในตอนนี้จะเร็วเกินไป
นายธวัชชัย อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 3 ในฐานะหัวหน้าคณะพิจารณาสำนวนคดีนี้ ระบุว่าเนื่องจากคดีนี้เป็นคดีที่อยู่ในความสนใจของประชาชน หากข้อเท็จจริงในสำนวนมีความละเอียดครบถ้วน ทางเรามั่นใจว่าจะสั่งฟ้องคดีได้ทันภายในวันที่ 22 ก.พ. แน่นอน
ด้าน พ.ต.อ.บวรภพ ผกก.สน.พญาไท กล่าวว่า สำหรับประเด็นผู้ครอบครองรถก่อนหน้านี้ ที่ซื้อ-ขายโอนลอยมาเป็นทอด ๆ นั้น เราพบว่าเป็นการซื้อขายอย่างถูกต้องจากร้านขายรถจักรยานยนต์ มีเอกสารสัญญาซื้อขายครบถ้วน รวมทั้งได้ตรวจสอบประเด็นว่า เป็นรถจักรยานยนต์ของกลางในคดี หรือได้มาจากการโจรกรรมในคดีใดหรือไม่อย่างไรโดยตรวจสอบไปยังศูนย์ปราบปรามการโจรกรรมรถ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกองทะเบียนประวัติก็ไม่มีข้อมูลการแจ้งหาย หรือเป็นรถของกลางในคดีท้องที่ใด ผู้ที่ถูกดำเนินคดีและมีความผิดจึงมีเพียง ส.ต.ต.นรวิชญ์ ผู้ต้องหาเพียงรายเดียวเท่านั้น
As part of their spo…
This website uses cookies.