นับตั้งแต่บริษัท วันทูวัน คอนแทคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ OTO เปลี่ยนเจ้า (มือ)…อุ๊ย ย้ายสำมะโนครัวจากครอบครัวบริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAMART มาอยู่กับ “บุญเอื้อ จิตรถนอม” จะเห็นว่าหุ้น OTO เปลี๊ยนไป๋…จากเดิมที่เคยเงียบเป็นเป่าสาก ก็กลายร่างมาเป็นหุ้นร้อนซะงั้น…
ทำให้ที่ผ่านมาต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในคุกแคชบาลานซ์ หรือมาตรการกำกับการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นระยะ ๆ เพิ่งจะมาหายซ่าเมื่อไม่นานมานี้เองนะ…
ด้านโครงสร้างธุรกิจก็เปลี๊ยนไป๋…จากในอดีตทำธุรกิจระบบคอลเซ็นเตอร์ก็ค่อย ๆ เติมธุรกิจใหม่เข้ามา ทั้งธุรกิจด้านผลิตงานซิลค์สกรีนเนมเพลท เลเบล สติ๊กเกอร์, ธุรกิจสุขภาพและธุรกิจ Telepharmacy หรือการให้คำปรึกษาด้านเภสัชกรออนไลน์ และธุรกิจเกมและการแข่งขันกีฬาอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Sports) เป็นต้น
ก็ทำให้โครงสร้างรายได้ของ OTO มีความหลากหลายมากขึ้น…ซึ่งดูไปแล้วก็น่าจะทำให้ผลประกอบการดูดีขึ้นนะ..!!
แต่ที่ไหนได้ ในปี 2565 ประกาศงบออกมาทั้ง 3 ไตรมาส กลับมีตัวเลขขาดทุนทุกไตรมาส ส่งผลให้งบงวด 9 เดือนแรก มีตัวเลขขาดทุนปาไปแล้ว 110 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 56 ล้านบาท…ดูไม่จืดจริง ๆ
ทำให้คาดว่าในปี 2565 OTO น่าจะปิดสถานะด้วยตัวเลขขาดทุนแหง ๆ…
เอาหน่า ว่ากันว่าความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น (ล่ะมั้ง) จึงเห็น OTO พยายามเติมธุรกิจใหม่ (อีกครั้ง) ด้วยการเตรียมจัดตั้งบริษัทใหม่เอี่ยมอ่อง (ยังไม่ได้ตั้งชื่อ) มีทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท คาดจะจัดตั้งแล้วเสร็จภายในเดือน ก.พ. 2566 เพื่อรองรับการขยายสู่ธุรกิจนำเข้า ผลิต ประกอบ และจำหน่ายรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า
การขยับขยายของ OTO ครั้งนี้น่าติดตาม เพราะเป็นการเกาะกระแส EV ซึ่งเป็นเมกะเทรนด์ที่ทั่วโลกให้ความสนใจ นั่นหมายความว่า ตลาดนี้ยังเติบโตได้อีกมาก ซึ่งดูไปแล้ว OTO คงไม่ได้โฟกัสแค่ตลาดในประเทศหรอก แต่คงขยายไปต่างประเทศด้วย
แต่ก็น่าคิด OTO ซึ่งโตมาจากระบบคอลเซ็นเตอร์ ไม่ได้มีโนว์ฮาวในการทำมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า และชิ้นส่วน EV เลย จะสู้ศึกในสนามนี้ยังไง ซึ่งก็คงไม่ง่ายหรอกนะ…ทางแก้คงหนีไม่พ้นต้องดึงพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องนี้เข้ามาร่วมทุนด้วย ส่วนจะเป็นกลุ่มทุนไทยหรือต่างชาติ ต้องติดตามกันต่อไป…
ซึ่งดูไปแล้ว OTO คงหมายมั่นปั้นมือกับธุรกิจมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน EV ไว้เยอะ เพราะขนาดถึงขั้นต้องขายเงินลงทุนในบริษัท ฮินซิซึ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ HS เลยนะ โดยเจียดขายหุ้นออกมา 6 ล้านหุ้น คิดเป็น 3% รวมมูลค่า 52.50 ล้านบาท เพื่อจะนำเงินไปใช้ลงทุนในธุรกิจ EV
อ้อ…คนที่มารับซื้อไปก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นคนกันเองอย่างบริษัท ไซแมท เทคโนโลยี จำากัด (มหาชน) หรือ SIMAT (ผู้ถือหุ้นใหญ่เบอร์ 2 ของ OTO เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เบอร์ 1 ของ SIMAT) โดยราคาที่ OTO ขายก็เป็นราคาเดียวกันกับราคาที่เคยซื้อหุ้น HS จาก SIMAT เมื่อวันที่ 9 ก.ย. 2564 นั่นแหละ
แหม๊…เพิ่งถือหุ้นได้แค่ปีเศษ ๆ ก็ต้องเจียดขายซะละ…ก็ไม่รู้ว่าถ้า OTO ร้อนเงินขึ้นมาอีก จะต้องขายหุ้น HS เพิ่มป๊ะเนี่ย..? ต้องดูกันต่อไป
แต่ดูแล้วทั้งสองบริษัทโยนหุ้น HS กันมันมือเลยนะเนี่ย..!!
…อิ อิ อิ…